4 มิ.ย. 2021 เวลา 23:00 • ปรัชญา
ดั่งสายน้ำไหล (๒๐)
เรามาที่นี่เพื่อศึกษาชีวิตจิตใจ ชีวิตจิตใจที่จับเกาะอยู่ที่ร่าง สิงสถิตอยู่ที่ร่าง ในการศึกษาชีวิตนั้นเราใช้ตาดูไม่เห็น สิ่งที่เห็นนั้นเป็นรูปทรงของชีวิต เช่น ผมกะพริบตา นักศึกษาพอสันนิษฐานได้ว่าคนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าไม่ได้เห็นชีวิต เห็นสัญญาณบางสิ่ง ผมพลิกมือนี่ รู้ คนตายแล้วกะพริบตาไม่ได้ การศึกษาชีวิตนั้นจะให้เข้าถึงจริงๆ ต้องถึงซึ่งชีวิต
สำนวนของคนไทย “ถึงซึ่งชีวิต” แปลว่าตาย เคยได้ยินไหมครับ บุคคลนั้นถึงซึ่งชีวิตนั้นแปลว่าตายแล้ว เราจะรู้จักชีวิตจริงๆ หรือสัมผัสได้จริงๆ เราต้องตายจากความคิดนึกนานาประการ ทันใดที่เรามารู้สึกตัวตรงๆ นี้ เราได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว แต่เข้าไปร่วมกันกับชีวิต ดังนั้นเราจึงเป็นขึ้นอีกทีหนึ่งที่ใดนอกเหนือกาลเทศะ
เมื่อเราเดินไปที่ถนนในฤดูร้อนที่แดดร้อนจัด เราจะเห็นสิ่งที่เรียกว่าภาพลวงตา หรือ Mirage เช่นเป็นน้ำนอง เราเข้าไปถึงแหล่งกำเนิดมันก็ไม่มี แต่ครั้นเราถอยมายืนที่จุดยืนนี้อีก มันปรากฎอีก ดังนั้นจึงเรียกมันว่า “มายา” คือมันปรากฎได้ทั้งๆ ที่มันไม่มี แต่ครั้นสติสมประดีของเราหดกลับเข้าไปในตัว มันหมดสิ้นเหมือนเต่าหดในกระดอง หมดสิ้น มันกลับไม่มีเพราะที่ศูนย์กลางของมันเป็นความไม่มี
พอเราคิดถึงตัวเรา ความมีก็ปรากฎ เมื่อคิดถึงตัวเรา ตัวเราก็มี โลกนี้ก็มี พ่อแม่ก็มี แต่พอเรามีสติกลับหดเข้าไปในตัวมันเองอย่างหมดสิ้น ถ้าผมพยายามทำว่าผมกำลังเข้าไปข้างใน ดังนั้นผมไม่ได้กลับ ผมกำลังแสดงละครให้ดู เมื่อกลับเข้าไปในนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเอง เหมือนปูเสฉวนกลับเข้าไปในเปลือกของมัน โลกทั้งหมดก็พ้นจากความรับรู้
ในวิชาการแพทย์นั้นรู้กันดีว่าการนอนของคนตามปรกติ คนทั่วไปก็ ๘ ชั่วโมง แต่สภาวะซึ่งเรียกว่าหลับสนิท หลับจริงๆ ประมาณ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น พอล้มหลับมันจะไปสู่สภาพซึ่งไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือเวลา และที่หลับสนิทโดยไร้ฝันนั่นเอง ตัวเราไม่ปรากฎ แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป ความรับรู้เป็นหญิงเป็นชายมี่ ชื่ออะไรนั้นไม่มีเลย แต่ชีวิตยังอยู่ไม่งั้นเราจะตื่นมาไม่ได้
เรากำลังเดินทางไปหามัน คือเรากำลังเดินทางเข้าไปหาความดับสนิทของโลก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจสี่ ท่านตรัสว่า “โลกก็ดี เหตุเกิดโลกก็ดี ความดับสนิทของโลกก็ดี หนทางที่จะไปให้ถึงความดับสนิทของโลก ตถาคตชี้ไว้ในกายที่ยาววาหนึ่งที่ยังเป็นๆ ในชีวิตที่ยังเป็นชีวิตอยู่”
คำว่า “โลก” ก็คือโลกนี้ โลกก็คือความทุกข์ทรมานต่างๆ นานา เราเกิดมาในโลกนี้ก็เกิดมาในความทุกข์ ที่ท้องของเราที่ลำคอของเรา ราวกับผีแช่งไว้ ๒-๓ ชั่วโมง เดี๋ยวก็หิวอีกแล้ว, ปวดหิวข้าว พอไม่ได้กินก็ตาย, หิวน้ำ ลมหายใจที่หายใจเข้าถ้าไม่ออกก็ไปเลย หายใจออกแล้วสูดกลับไม่ได้ก็ไปทันทีเหมือนกัน ไป นี่หมายถึง ตาย
ธรรมชาติได้ให้รูปทรงมาจำกัดจำเขี่ยพร้อมๆ กับปัญหา แต่พร้อมๆ กันนั้น ธรรมชาติได้สอดใส่สติปัญญามาให้ด้วย ถ้าเราไม่เห็นสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าเราก็จะดูแคลนมัน เราก็พลาดจากโชคอันนี้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่รู้สึกตัวได้
ทำไงดีหนอ... เราจึงจะรู้สึกว่าสภาพรู้ตัวนี้เป็นเหมือนแก้ววิเศษ ตราบใดที่เรายังคิดว่า เงิน ทอง ชื่อเสียง กามารมณ์ บ้านใหญ่ๆ หรือรถเก๋งสวยๆ คันใหม่ๆ เป็นสิ่งมีค่า เราจะไม่เห็นค่าของอันนี้ หากว่าคนหนึ่งล้มป่วยนอน เป็นอัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้สักส่วนเดียวมา ๒๐ ปี ทั้งๆ ที่เป็นคนร่ำรวยมีเงินมากแต่ชีวิตสิ้นหวัง เงินเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อีก
หากว่า...เช้าตรู่ วันหนึ่งผู้ป่วยคนนั้นเพียงสามารถกระดิกนิ้วก้อยได้เท่านั้น ความหวังอันมากมายปรากฎขึ้นแล้ว พอกระดิกนิ้วได้ รู้สึกตัวได้ ชีวิตจะกลับคืนมาใหม่
รวบรวมจากคำแนะนำต่อกลุ่มธรรมจาริณี ในรายการภาวนาประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ณ อาศรมศานติ-ไมตรี นิคมพึ่งตนเองขุนทะเล จ.สุราษฎร์ธานี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา