8 มิ.ย. 2021 เวลา 23:00 • ปรัชญา
ดั่งสายน้ำไหล (๒๔)
หลักธรรมที่โดดเด่นในพุทธศาสนามี ๒ หลัก หลักแรกคือ “กัลยาณมิตตา”
กัลยาณมิตตาหมายความว่าความมีมิตรดี ผู้อาจจะประคับประคองคุณธรรมให้กับเราได้ อย่างนี้เรียกว่า “กัลยาณมิตร” พระอานนท์นั้นได้เคยทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า “ข้าพระองค์เห็นว่ากัลยาณมิตรนั้น เป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์” พรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึงการปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นนั่นเอง
พระพุทธเจ้าทรงค้านว่าเธออย่ากล่าวอย่างนั้น “กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์” การมีกัลยาณมิตรนั้นเปรียบเหมือนรุ่งอรุณของพระนิพพาน เมื่อแสงเงินแสงทองปรากฎทางท้องฟ้าตะวันออก ย่อมเป็นสัญลักษณ์ว่า วันใหม่กำลังมาถึง
หลักธรรมข้อสองที่เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาคือ “อัปปมาทธรรม” ความไม่ประมาท ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท อันนี้ เล็งเอาสติ, อินทรีย์สังวร สิ่งเหล่านี้หลากชื่อ หลากนาม ที่จริงเรื่องเดียวกันทั้งนั้น เรียกอินทรีย์สังวรก็เรียก เรียกว่าสติก็เรียก เรียกว่าโยนิโสมนสิการ เรื่องเดียวกันทั้งนั้น
แต่ตอนที่มันมีชื่อว่า สติ หมายถึงความรู้ตัว ความระลึกได้ ความตระหนักรู้ เหตุที่ได้ชื่อว่า ความรู้ตัวเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความไม่รู้ตัว เมื่อบุคคลมีสติ ความมีอยู่ ความปรากฎอยู่ของความรู้สึกตัวนั้นเด่นชัด มันจึงขจัดความไม่รู้ตัวออกไปได้
ทีนี้เมื่อมีการเจริญสติอยู่ให้ต่อเนื่อง เหมือนกับสะสมน้ำทีละหยดหรือสะสมเหรียญทีละบาทๆ ก็เกิดเป็นจำนวนมากขึ้น ในที่สุดก็มีกำลัง เหมือนเงินล้านหนึ่งก็มีกำลังที่จะซื้ออะไรที่เราต้องการได้
เมื่อตอนที่มันมีกำลังเราเรียกว่า “สมาธิ” บัดนี้มันมีพลังเกิดความแน่วแน่ใจ มั่นคงขึ้น มีอารมณ์ไม่ว่อกแว่ก อย่างนี้เรียกว่ามันทำหน้าที่ต่อเนื่องไปจนถึงขั้นสมาธิ เหตุที่ชื่อสมาธิเพราะมันขจัดความฟุ้งซ่านซัดส่ายของอารมณ์
ต่อมาสมาธินี้แปรสภาพไปเป็นปัญญา เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง ไม่ใช่เห็นตามที่อยากจะให้มันเป็น
รวบรวมจากคำแนะนำต่อกลุ่มธรรมจาริณี ในรายการภาวนาประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ณ อาศรมศานติ-ไมตรี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา