20 มิ.ย. 2021 เวลา 23:00 • ปรัชญา
ศิลปะในการปฏิบัติธรรม (๗)
พระพันธ์ อินทผิว
พระพันธ์มีความเข้าใจชัด และมีมติว่าธรรมแท้นั้นรู้เอาล่วงหน้าไม่ได้ เพียงรู้คิดนั้นยังห่างไกลธรรมราวฟ้ากับดิน ทั้งนี้เพราะเกิดเมาสมมุติ เมาถ้อยคำ เมาเหตุผลที่สร้างขึ้นโดยปราศจากสภาวะรองรับ
แต่เมื่อความคิดได้ถูกแลเห็นแล้ว แล้วไม่มีเรื่อง, ไม่ใช่เรื่องอะไร, ไม่มีอะไร มีอยู่แต่การรู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ ต่ออารมณ์ที่เข้ามาในรูปของความคิด (นามรูป รูปรอยแห่งนาม รวมไปถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งเป็นญาณที่ไม่อยู่ในลำดับ เมื่อนั้นความรู้ตัวก็จะออกหน้า หรือแสดงตัวออกมาเอง
ดังนั้นการปฏิบัติจึงต้องเป็นไปอย่างฉับพลัน หรือ ชนิด อึดใจเดียว ต้องให้สิ่งที่เป็นแล้ว มีแล้ว ได้โอกาสแสดงตัวออกมา
ในการปฏิบัติจึงไม่มีการกระทำอันใดอื่นทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับพิธีรีตอง การท่องบ่นมนตร์ ภาวนาถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่การกำหนดลมหายใจเข้าออก, ควบคุมลม (ซึ่งถือว่าเป็นเพียงขั้นต้นเท่านั้น) ฯลฯ
นอกจากการ “ไม่ขึ้นกับความคิด ไม่เข้าไปในความคิด และไม่มุ่งขจัดความคิด”
และทันทีที่สภาวะแห่งความรู้สึกตัวเช่นนั้น ถือว่าเป็นทุกอย่างในทางปฏิบัติ กล่าวคือ เป็นศีล – สมาธิ – ปัญญา อยู่เบ็ดเสร็จ และการทั้งนี้ก็คือ การปล่อยให้สภาพที่เป็นแล้ว มีแล้ว ได้ทำงานตามธรรมชาติของมันเอง ไม่มีทั้งการกำหนด ไม่หวังทั้งผล ไม่มีการกระทำใดๆ คงปล่อยให้สภาพ เป็นเองอย่างไว ให้เป็นไปอย่างนั้น
เพียงแต่ประคองไม่ให้เผลอเข้าไปในความคิดเท่านั้นเป็นพอ การทั้งนี้ผู้ปฏิบัติต้องอาศัย ความรู้สึกตัวตามธรรมดา และการปล่อยให้ความจริงตามสภาวะวิสัย การเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง และการรู้ได้ ได้ทำหน้าที่เผยตัวมันเองออกมา
จึงไม่มีทั้งการหลับตาทำความสงบขึ้น เพื่อกลบหรือหลบหลีก ไม่มีทั้งการสร้างกำลังใจ (สมถะ) ไม่มีทั้งการรักษาศีลตามข้อบัญญัติ ซึ่งถือว่าเป็นการหน่วงติดอยู่กับสมมุติ ไม่มีการเจริญปัญญาหรือพิจารณาอารมณ์ในแง่ไตรลักษณ์ ซึ่งถือเป็นเพียงการให้กำลังแก่อวิชชายิ่งขึ้น
ไม่มีการจดบันทึกไม่ว่าเป็นบันทึกในคลองความจำ หรือในสมุด ไม่มีแม้การหาเหตุผลตามแนวปฏิจจสมุปบาท หรือปัจจยาการหรือตรรก ไม่มีการกำหนดให้รู้ให้เห็นเป็นอะไรอื่น ไม่มีการสร้างภาวะใด ๆ ขึ้น
มีอยู่แต่ การรู้แล้วทิ้งเลย
รุ่งอรุณ ณ สนธยา ในนามมูลนิธิอริยาภา กรุงเทพฯ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา