Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
6 ก.ค. 2021 เวลา 00:04 • นิยาย เรื่องสั้น
4.28. ยึดครองอย่างชอบธรรม
กระบี่คู่หนึ่งทวน สามองครักษ์พระกาฬแห่งเผ่าเกี๋ยง
กลับมาทางสถานการณ์เมืองเสฉวน ซึ่งขุนพลหนุ่มฉกรรจ์นามเตียวหยิม กระทำการอุกอาจ อาศัยจังหวะที่เล่าเจี้ยงไว้วางใจมันให้คุมกองทัพหลัก และเปิดโอกาสให้เข้ามาตั้งหลักรอรับการโจมตีจากพวกเล่าปี่นั้นเอง ถึงกับหักหลังเจ้านาย หมายจับกุมเล่าเจี้ยงไปคุมขังเอาไว้เป็นตัวประกัน และชิงอำนาจการบริหารเมืองมาไว้เสียเอง
หากแต่เล่าเจี้ยงยังไหวตัวทัน รีบหลบหนีไปซ่อนตัวในจวนที่พักพร้อมกับขุนพลที่เหลือ และกองทหารองครักษ์ จากนั้น ขุนนางที่จงรักภักดียังระดมราษฎรมาสร้างกำแพงมนุษย์ขวางกั้นไว้โดยรอบอีกชั้นหนึ่ง ป้องกันมิให้ทหารกล้าบุกโจมตีในเวลาอันสั้น นอกจากนั้น ยังมีความพยายามติดต่อกับเบ้งตัดที่คุมทหารอยู่นอกเมืองให้เข้ามาช่วยเหลือ
ที่จริงแล้ว หลังจากที่เตียวหยิมได้นำจดหมายก่อนตายของเตียวล่อ บิดา ไปให้หวดเจ้งแล้ว องครักษ์เผ่าเกี๋ยงทั้งสี่ ยังนำจดหมายอีกฉบับมามอบให้มัน ใจความก็ยังคงมีเพียงสี่ประโยคเช่นกัน “หงส์ร่วงให้ตั้งมั่น มังกรมาให้ล่าถอย ยึดเมืองเสฉวน จับกุมรัชทายาท”
มันจึงได้แต่ย้อนรอยจับกุมตัวเล่าเจี้ยงเอาไว้ตามคำสั่งเสียของบิดา ท่านพ่อคงต้องการหลอกล่อเพื่อให้เล่าเจี้ยงเผยช่องโหว่ ไร้ผู้ปกป้องคุ้มกัน แล้วค่อยให้มันรวบรัดยึดครองอำนาจเอาไว้เสียเองกระมัง นี่จึงเป็นแผนการที่แท้จริง การยึดเมืองเสฉวนไว้เป็นฐานที่มั่นเพื่อก่อการอันใด
นั่นคือความคิดของเตียวหยิม บุตรชายของเตียวล่อ โดยที่มันไม่ล่วงรู้ว่า บิดาของมันนั้นมีสถานะเป็นนักย้อนเวลา สมญานาม หัวขวาน แห่งหน่วยปักษาสวรรค์ นายทหารที่มุ่งมั่นจะแก้ไขอดีตให้ตรงกับประวัติศาสตร์ให้มากที่สุด
เตียวล่อ-หัวขวานยึดครองฮันต๋งมาเนิ่นนาน ลอบศึกษาเรื่องราวในเสฉวน จนพบพานความยุ่งยากบางประการ นั่นคือ การบุกโจมตีด้วยกำลังทัพเพียงลำพังนั้นยากลำบากยิ่งนัก และกระแสความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อเล่าเจี้ยงกลับรุนแรงยิ่งกว่า แม้ว่าใครจะมาบุกยึดเมืองได้ ก็ไม่อาจได้ใจประชาชนอยู่ดี
มันจึงคิดวางแผนสร้างเตียวหยิมขึ้นมาให้เป็นที่เชื่อถือของคนเสฉวนก่อน แล้วจึงชักใยสร้างให้เตียวหยิมแปรเปลี่ยนเส้นทาง ทรยศต่อเล่าเจี้ยง จนเปิดช่องทางให้เล่าปี่ก้าวเข้ามาเป็นพระเอก ช่วยเหลือเล่าเจี้ยง สร้างศรัทธาให้กับทหารและประชาชน เพื่อยึดครองอำนาจแทนอย่างชอบธรรม แทนที่จะเข้ามาแบบศัตรูผู้รุกรานดินแดนแถบนี้
แน่นอน เตียวหยิม ผู้น่าสงสาร ย่อมมิใช่บุตรชายที่แท้จริงของเตียวล่อ-หัวขวาน หากแต่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกนำมาเลี้ยงดู เพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่นี้เท่านั้นเอง เตียวหยิมก็เป็นเพียงเบี้ยหมากตัวหนึ่งในกระดานของมัน
…
เมื่อข่าวที่เตียวหยิมก่อการขบถ และจับกุมตัวเล่าเจี้ยงไปคุมขังไว้นั้น เริ่มเป็นที่เปิดเผยออกมา กระแสการต่อต้านจากคนในเมืองกลับรุนแรงดั่งที่คาดคิดด้วยความจงรักภักดีต่อเล่าเจี้ยงมายาวนาน จนกลายเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทั้งเมือง
นอกจากการมารวมตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์แล้ว ชาวเมืองพากันเรียกร้องให้ญาติพี่น้องที่เป็นทหารในกองทัพหยุดให้ความร่วมมือกับพวกขบถชิงแผ่นดิน จนเร่ิมมีคนทะยอยย้ายฝ่าย สร้างความสับสนให้กับกองทัพขบถที่กำลังรายล้อมจวนที่พัก
เตียวหยิมเห็นความวุ่นวายยากควบคุม จึงสั่งการให้เร่ิมบุกโจมตีใส่กำแพงมนุษย์ หวังบุกเข้าจับกุมตัวเล่าเจี้ยงให้ได้ แต่แล้ว กองทัพนอกเมืองนำโดยเบ้งตัดพลันโผล่ขึ้นมาอีกด้าน จึงเกิดการต่อสู้กันเองระหว่างขุมกำลังเสฉวนทั้งสองฝ่ายภายในเมืองแล้ว
ในขณะที่กองกำลังปฏิวัติเร่ิมถดถอยโรยแรงลงด้วยความขัดแย้งทางความคิดของคนสองฝ่ายนั้นเอง กองทัพใหญ่ของเล่าปี่ เตียวหุย และขงเบ้งทั้งสามสายก็เคลื่อนเข้ามาถึงหน้าเมือง ทำให้ผู้คนที่ยังภักดีต่อเล่าเจี้ยง ช่วยกันเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพต่างถิ่นที่เป็นแซ่เล่าเช่นเดียวกัน แทนที่จะช่วยเหลือเตียวหยิม อดีตขุนพลคนกล้าของเสฉวน
เตียวหยิม และสี่องครักษ์เผ่าเกี๋ยง เห็นท่าไม่ดี จึงคิดถอดใจ ชิงหลบหนีออกจากเมือง หากแต่กลับตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพเตียวหุย ม้าเฉียว เพราะหวดเจ้งคาดเดาเส้นทางหลบหนีได้แม่นยำยิ่งนัก จึงวางบุคคลสำคัญให้ดักรอไว้แล้ว
เนื่องจากฝีมือยุทธ์ของคนทั้งห้าเหนือกว่าทหารทั่วไปอยู่มาก เตียวหุย ม้าเฉียวจึงต้องลงมือเอง แต่สองต่อห้าเป็นตัวเลขที่ยังแตกต่างกันเกินไป สองขุนพลฝ่ายเล่าปี่แทบจะพลาดท่าเสียที จนกระทั่ง หวดเจ้ง ปล่อยไม้เด็ดออกมาอีกครั้ง เป็นเงียมหงัน ขุนพลเฒ่าที่ถูกคุมตัวอยู่ในกรงขังมาตั้งแต่เมืองลกเสียนั่นเอง
ที่จริงนั้น เงียมหงันจงรักภักดีต่อเล่าเจี้ยงถึงที่สุด เพียงแต่แสร้งขบถไปตามแผนการ ดังนั้น ตลอดเส้นทางที่รับฟังความเปลี่ยนแปลง จึงชิงชังรังเกียจเตียวหยิมที่เป็นกบฏตัวจริงเป็นที่สุด หวดเจ้งจึงเปิดโอกาสให้เงียมหงันออกมาสร้างผลงานแก้ต่างให้กับตนเอง เพื่อประโยชน์แก่พวกตนเองในภายภาคหน้า
พอมีเงียมหงันเพิ่มขึ้นมาเป็นสามต่อห้า สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ที่สูสีใกล้เคียงกันมากขึ้น จนมีเวลาเพียงพอให้พวกเล่าปี่ทั้งหลายตามมาสมทบจากอีกทิศทางหนึ่ง จูล่ง อุยเอี๋ยนรีบเข้าร่วมวงต่อสู้ จนกลายเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้ว
การต่อสู้ของคนทั้งสิบดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ บางครั้งก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนคู่ต่อสู้กันไปมาตามสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ที่จริง นางแอ่น-เตียวหุยยังคงออมมือ ไม่ได้ใช้วิชาเต็มที่นัก จึงมีเวลาพอให้ประเมินสถานการณ์ แล้วนึกหาวิธีทำลายความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้เรื่องราวยืดเยื้อเกินพอดี
จึงเห็นเตียวหุยหมุนตัวผลัดเปลี่ยนคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ จนได้จังหวะ ใช้ทวนอสรพิษสังหารองครักษ์ที่ใช้ทวนไปก่อนเป็นคนแรก ทำให้แรงกดดันโดยรวมผ่อนคลายลง ตามด้วยม้าเฉียว และจูล่งที่กำราบสององครักษ์พี่น้องที่ใช้กระบี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน กลายเป็นสามศพที่ล้มตายไปก่อน สามขุนพลเอกไม่ต้องการกลุ้มรุมให้เสียเกียรติศักดิ์นักรบ จึงกลับไปเฝ้าระวังการหลบหนีของฝ่ายตรงข้ามแทน
หลงเหลือเพียงอุยเอี๋ยนที่กำลังลงมือกับองครักษ์หญิงที่ใช้กระบี่คู่ในแขนเสื้อ ซึ่งที่จริงเป็นพี่ใหญ่ที่มีวิทยายุทธ์สูงสุดในฝ่ายตรงข้าม และเงียมหงัน อดีตพรานเฒ่าที่ยังคงต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่กับเตียวหยิม คนทรยศแห่งเสฉวนอีกด้านหนึ่ง
ในที่สุด เงียมหงันผู้สูงวัย ก็ยังสู้แรงหนุ่มไม่ไหว โดนทวนแทงไปหลายแผล และถูกเกี่ยวข้อเท้าจนเสียหลักล้มลง จูล่งอยู่ใกล้สุด จึงขยับเข้าไปเปลี่ยนตัวรับมือกับฝ่ายตรงข้ามแทน เตียวหยิมสังเกตรูปลักษณ์ศัตรู ถึงกับเอ่ยปากถาม “ท่านหรือคือขุนพลเมฆขาว จูล่งแห่งเสียงสาน”
จูล่งงุนงงวูบ แต่ไม่หยุดต่อสู้ พลางกล่าวตอบอย่างไว้ศักดิ์ศรี “ถูกต้องแล้ว เจ้าจะได้นำไปแจ้งกับพญายมได้ไม่ผิดคน”
เตียวหยิมไม่ตอบคำอีก รีบสะบัดทวนทมิฬในมือขึ้นสูงเหนือหัว แล้วฟาดลงมาตรงๆดั่งการใช้ไม้พลอง พอจูล่งยกทวนไร้น้ำใจของตนขึ้นรับกระบวนท่า กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทวนไร้น้ำใจอันเลื่องชื่อที่สืบทอดมาจากขุนพลลิโป้ในอดีต ถึงกับหักเป็นสองท่อนทันที พร้อมกับฝุ่นควันสีขาวพวยพุ่งกระจายออกมาจากภายในทวน สร้างความมึนงงและบดบังสายตาของจูล่ง
ยังดีที่จูล่งมีไหวพริบ รีบเบี่ยงตัวไปทางด้านข้างได้ทัน คมทวนของเตียวหยิมจึงเพียงเรียกแผลลึกจากหัวไหล่ไปถึงชายโครง แทนที่จะผ่ากลางตัวเป็นสองท่อน แต่ก็เพียงพอที่จะส่งให้จูล่งซวนเซล้มไปกับพื้นเป็นคนที่สอง
เตียวหุย ม้าเฉียวขยับกายหมายจะเข้าแทนที่ แต่ฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ที่ยืนนิ่งเคียงข้างเล่าปี่มานาน กลับก้าวออกมาพร้อมประกาศอาสารบบ้าง
เห็นฮองตงยืนปักหลักตั้งมั่นในระยะไกล เริ่มต้นยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่เตียวหยิมทีละดอก สองดอก จนไปถึงสามดอกในคราวเดียวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เตียวหยิมมือไม้ปั่นป่วน ต้องใช้ทวนคุ้มกันกายอย่างจดจ่อ ในขณะที่ฮองตงยิ่งใช้กระบวนท่า ก็ยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ทีละก้าวสองก้าว กดดันเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย อยู่ห่างกันเพียงสิบกว่าก้าวแล้ว
เตียวหยิมเหลือบมองเห็นว่า เกาทัณฑ์ในกระบอกเหลือน้อยลงทุกที จึงค่อยมีกำลังใจขึ้น แต่แล้ว ฮองตงถึงกับใช้กระบวนท่าพิสดารยิงลูกเกาทัณฑ์ออกมาคราวเดียวถึงห้าดอกแล้ว เป็นการยิงจากเกาทัณฑ์สามดอก พร้อมกับ เกาทัณฑ์ลับในแขนเสื้ออีกสองดอก พร้อมขยับตัวเข้ามาอีกสามสี่ก้าวใหญ่อย่างมีเลศนัย
เตียวหยิมทั้งเหวี่ยงทวนทั้งหมุนตัวหลบลูกเกาทัณฑ์ทั้งห้า กลับรู้สึกตึงวูบที่หัวเข่าทั้งซ้ายขวา เกิดบาดแผลลึกจนต้องทรุดตัวลง เมื่อมองดู กลับไร้ร่องรอยของอาวุธปรากฏ ถึงกับเป็นเกาทัณฑ์ไร้ลักษณ์ในดอกที่หกและเจ็ด
ที่แท้ ฮองตงต้องการอวดวิชาลับที่เพิ่งฝึกฝนสำเร็จหมาดๆ เป็นดรรชนียิงตะวัน อันเป็นสาเหตุให้ฮองตงต้องพยายามเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อลดทอนความห่างไกลลงให้อยู่ในระยะหวังผลนั่นเอง
เตียวหยิมรับรู้ชะตากรรม มิอาจถอยหลัง จึงตัดสินใจเสี่ยงตาย ขว้างทรายพิษออกมากำมือใหญ่ กึ่งเปิดทาง กึ่งสกัดกั้นพวกฮองตงกับเหล่าขุนพลทั้งหลาย พร้อมกับใช้ทวนดันร่างของตัวเองพุ่งเข้าหาเล่าปี่ ส่งทวนคู่กายไปด้านหน้า
ตอนแรก ยังเห็นว่าอยู่ห่างไกลหลายก้าว ไม่อาจทำร้ายถึงท่านผู้นำได้ แต่เมื่อเตียวหยิมกดกลไกในทวน ทำให้ปลายทวนติดโซ่ดีดตัวหลุดออกจากด้าม และพุ่งตรงออกไปดั่งสายฟ้าแลบ ก็เกือบจะถึงเป้าหมายแล้ว
ขงเบ้งที่อยู่บนเก้าอี้ล้อหมุนอยู่ใกล้เล่าปี่ที่สุด จึงรีบกดปุ่มกลไกที่เก้าอี้ จนทั้งคนทั้งเก้าอี้ลอยตัวขึ้นสูง หมุนตัววนเข้าขวางเป้าหมายเอาไว้ แล้วทิ้งน้ำหนักหันส่วนที่เป็นพนักเก้าอี้รับปลายทวนที่พุ่งเข้ามา จนปลายทวนปักตรึงกับแผ่นไม้อย่างแรง ช่วยชีวิตเล่าปี่ไว้ได้ทันเวลา แต่หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย นั่นหมายถึงปลายทวนอาจจะทะลุหลังของขงเบ้งเสียเองแล้ว นับว่า ครั้งนี้ ดูเหมือนขงเบ้งทุ่มเทเสี่ยงชีวิตยิ่งนัก
หากแต่สำหรับขงเบ้งแล้ว กลับเชื่อมั่นต่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้อย่างมาก เพราะหลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารที่กลางเนินผาทุ่งดอกเบญจมาศนั้น มันได้ให้ฮองเย่อิง ภรรยา ปรับปรุงพนักพิงหลัง เสริมไว้ด้วยแผ่นเหล็กบางซ่อนไว้ภายในอีกชั้นหนึ่ง และแข็งแรงพอที่จะรับแรงอาวุธได้ดั่งเกราะเหล็กชั้นดี ป้องกันการลอบทำร้ายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง
เมื่อหันมองเตียวหยิมอีกครั้ง แทนที่จะมีโอกาสเข้ามาจับกุมตัวเล่าปี่ กลับล้มลงกองอยู่กับพื้น นัยน์ตาเบิกโพลงคล้ายไม่ยินยอมเชื่อ กลางอกมีทวนครึ่งท่อนปักทะลุออกมา เป็นทวนไร้น้ำใจ ด้วยฝีมือของขุนพลเมฆขาว จูล่ง ที่ยังไว้ลายแก้ตัวได้อีกครั้ง
เตียวหยิมลืมเลือนไปว่าจูล่งล้มทอดกายอยู่ตรงนั้น เมื่อเตียวหยิมลอยตัวผ่านมาใกล้ จูล่งจึงฉวยอาวุธใกล้ตัวขว้างเข้าใส่ได้ในระยะประชิดตัว สำหรับจอมยุทธ์ระดับนี้แล้ว ย่อมปรับเปลี่ยนให้ทวนหักกลายเป็นอาวุธสังหารได้ไม่ยาก
…
สุดท้าย จึงเป็นอุยเอี๋ยนที่ต่อสู้อยู่กับองครักษ์หญิงเนิ่นนาน ยังไม่อาจเอาชนะได้ ทำให้รู้สึกเสียหน้าย่ิงนัก จึงเร่งลงมือง้าวสั้นสองมือให้หนักหน่วงขึ้น แต่ก็ยังทำอะไรกับฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
พอเตียวหยิมพลาดท่า เสียชีวิตไปแล้ว องครักษ์หญิงกลับฮีดสู้เอาตัวรอดอีกครั้ง สาดทรายพิษเข้าใส่อุยเอี๋ยนกำใหญ่ เป็นการสกัดกั้นกึ่งโจมตี กลับทำให้อุยเอี๋ยนต้องกุมใบหน้า เพราะโดนทรายพิษเข้าเต็มแรง จนได้รับบาดเจ็บเอาไว้ แล้วนางก็รีบชิงหนีออกจากวงต่อสู้ เฉียดผ่านไปทางเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม
เตียวหุยขยับเข้าขวางทาง แทนที่จะโดนทรายพิษเช่นกัน กลับโดนขว้างด้วยลูกเหล็กทรงกลม ลวดลายแปลกตา เตียวหุยรับไว้ กลับรู้สึกถึงความพิสดารของลวดลาย จนตะลึงงัน ลืมเลือนการติดตาม ปล่อยให้องครักษ์หญิงเผ่าเกี๋ยงหลุดรอดไปจนได้ พอรู้สึกตัว จึงเสแสร้งโอดโอย เหมือนโดนเข็มอาบยาพิษ จนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อขุนพลเตียวหยิม ตัวการใหญ่ตายแล้ว จึงไม่มีใครติดใจต่อตัวประกอบที่หนีรอดไปได้ เหตุการณ์บ้านเมืองจึงสงบลง เล่าปี่นำพวกเข้าไปยึดอำนาจแทน และช่วยเหลือเล่าเจี้ยงออกจากสถานที่ควบคุมตัว เพื่อเชื้อเชิญให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองดังเดิม
การแสดงออกเช่นนี้ กลับเป็นคำแนะนำของขงเบ้ง เพื่อแสดงภาพลักษณ์น่าเลื่อมใสศรัทธา ซื้อใจประชาชนที่ยังคงรายล้อมจ้องมองดูท่าทีของขุมกำลังเกงจิ๋วอยู่ เมื่อครู่ ฝ่ายบู๊ได้แสดงฝีมือแล้ว ยามนี้ ฝ่ายบุ๋นจำต้องเล่นละครบ้าง
หากแต่เล่าเจี้ยงที่ใช้ชีิวิตเยี่ยงนักโทษการเมืองอยู่หลายวัน คล้ายปลงตก ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ จึงสั่งการให้จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อตอบแทนอาคันตุกะทั้งหลาย และขุนนางที่จงรักภักดี
หลังจากเสียงโห่ร้องยินดีสงบลง เล่าเจี้ยงพลันเอ่ยปากยกเมืองเสฉวนให้กับเล่าปี่ ตรงกับใจของขุนนางและประชาชนทั้งหลาย สุดวิสัยที่เล่าปี่จะบ่ายเบี่ยง ส่วนตนเองขอออกบวชเป็นหลวงจีนในพุทธศาสนา อาศัยในสำนักสงฆ์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกต่อไป และถึงกับเตรียมตัวออกเดินทางไปจาริกแสวงบุญต่อในเมืองอื่นทันที
…
ในที่สุด เล่าปี่จึงได้ครองเมืองเสฉวนอย่างชอบธรรม และเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลาย โดยเล่าปี่ยกย่องเชิดชูให้หวดเจ้ง ขุนนางเก่ามีผลงานเป็นที่หนึ่ง ตั้งให้เป็นกุนซือใหญ่ ทดแทนตำแหน่งบังทอง กุนซือหงส์ผงาดที่เสียชีวิตไปแล้ว และทัดเทียมกันกับขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อน ที่เพิ่งมีผลงานช่วยชีวิตตัวมันไว้
เล่าปี่ต้องการรักษาสมดุลย์แห่งอำนาจระหว่างขุมกำลังเกงจิ๋วเดิมกับพวกคนฝั่งเสฉวน จึงยังรักษาขุนนางสายเสฉวนให้คงอยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นส่วนใหญ่ พร้อมทั้งซื้อใจยกย่องเคาเจ้ง อุยก๋วน ขุนนางผู้ใหญ่ให้เป็นที่ปรึกษาสายบุ๋น-บู๊ ศักดิ์ศรียังเหนือกว่าพวกกลุ่มบิต๊ก ซุนเขียนที่เคยติดตามมานานด้วยซ้ำ เท่ากับเชิดชูกลุ่มเสฉวนเดิมให้พึงพอใจในระดับหนึ่ง ยอมทุ่มเทในการทำงานการปกครองต่อไปได้แล้ว
ส่วนขุนพลนายทหารทั้งหลาย เล่าปี่มอบหมายให้ขงเบ้งจัดการ ขงเบ้งจึงเสนอให้ตั้งเป็น ห้าขุนพลสวรรค์ เลียนอย่างฝ่ายโจโฉที่มีสี่เทวะ ห้าพยัคฆ์ อันได้แก่
กวนอู อันดับหนึ่ง ใช้ธงสีเขียว ธาตุไม้ เปลี่ยนชื่อจาก ขุนพลสยบมังกร เป็น ขุนพลจันทร์พิฆาต เพื่อเชิดชูวีรกรรมสังหารสองขุนพลแดนเหนือ งันเหลียง บุนทิว ในง้าวเดียว และเรื่องราวการฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพลอันโด่งดังในอดีต
แต่ที่จริงแล้ว ตัวมันเองเป็นมังกร จึงไม่ชื่นชอบคำ “สยบมังกร” มาโดยตลอด เมื่อได้โอกาส จึงหาเหตุแก้ไขเสีย
เตียวหุย อันดับสอง ใช้ธงสีน้ำเงิน ธาตุน้ำ ยังคงใช้ ขุนพลฟ้าคำราม เช่นเดิม เพื่อตอกย้ำวีรกรรมยืนเดี่ยวต้านกองทัพที่สะพานเตียงปัน ด้วยพลังเสียงอันกังวาน
ฮองตง เลื่อนมาเป็นอันดับสาม ใช้ธงสีน้ำตาล ธาตุดิน เปลี่ยนจาก จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ เป็นขุนพลยิงตะวัน ย้ำเตือนผลงานการปราบขบถเตียวหยิมด้วยเกาทัณฑ์ไร้ลักษณ์อันสุดแสนพิสดาร
จูล่ง ตกลงมาเป็นอันดับสี่ เปลี่ยนจากขุนพลเมฆขาว เป็น ขุนพลท่องเมฆา เพื่อระลึกถึงวีรกรรมทุ่งเตียงปันที่ตะลุยผ่านกองทัพนับหมื่นอย่างห้าวหาญ และผลงานลุยเดี่ยวช่วยอาเต๊าจากซุนฮูหยินจากเรือรบอีกครั้ง ใช้ธงสีขาว ธาตุสว่าง (หยาง)
และผู้มาใหม่ ม้าเฉียว อันดับห้า จากขุนพลหัวสิงห์ เปลี่ยนเป็นขุนพลเงาหิมะ เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์จิ้งจอกหิมะ และกลยุทธ์เงาหิมะที่ก่อกวนกองทัพหลายสิบหมื่นโจโฉเสียย่อยยับ ใช้ธงสีดำ ธาตุมืด (หยิน)
ฉายา จันทร์พิฆาต ฟ้าคำราม ยิงตะวัน ท่องเมฆา เงาหิมะ จึงกลายเป็นที่จดจำโดยง่าย และร่ำลือถึงวีรกรรมต่างๆไปทั่วทั้งแผ่นดิน สร้างความกดดันแก่ฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจโฉ หรือ ซุนกวน ให้ต้องกริ่งเกรงต่อขุนพลระดับเยี่ยมทั้งห้าคนนี้ นับว่า ฝีมือการรังสรรค์ของขงเบ้งครั้งนี้ ไม่เสียเปล่าเลย
และด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ คำว่า ขุนพลหัวสิงห์ จึงค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน และบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ จนภายหลัง พงศาวดาร และการเล่าเรื่อง ถึงกับสับสนปนเปไปลงที่ลิโป้ อดีตขุนพลผู้อื้อฉาว จากฉายานามที่แท้จริง “ทวนไร้น้ำใจ” กลับกลายไปเป็นขุนพลหัวสิงห์แทนม้าเฉียว นักรบคะนองศึกจากนอกด่าน
ทั้งนี้ ขงเบ้งต้องการสร้างกองทัพสวรรค์ เน้นหลักเบญจธาตุขั้นสูงตามสายลัทธิเต๋า อันได้แก่ ห้าธาตุหลัก บวก ธาตุเสริม หยิน-หยาง รวมเป็นหลักสัตตธาตุ โดยเว้นธงสีเหลือง ธาตุทองนั้น ไว้ให้กับกองกำลังของเล่าปี่ ผู้เป็นนาย และธงสีแดง ธาตุไฟ ให้กับกองกำลังของตนเอง อีกทั้งละเลยกองกำลังของหวดเจ้ง กุนซือหลักอีกคนอย่างจงใจ
ต้องไม่ลืมว่า จูกัดเหลียง ขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อนนั้น เป็นสายธาตุไฟตามที่ปราชญ์ใหญ่ สุมาเต๊กโชทำนายไว้ ซึ่งข่มทำลายธาตุทองโดยตรง ดังนั้น เปลือกนอก เหมือนว่า ขงเบ้งยกย่องเชิดชูเล่าปี่ขึ้นสูงส่ง หากแต่กลับเป็นการใช้ธาตุพื้นฐานของตนสะกดข่มไว้อย่างมีเลศนัย โดยที่ไม่มีใครตามทัน
…
ส่วนขุนพลที่พลาดท่าเสียทีในการรบมาบ้าง อันได้แก่ อุยเอี๋ยน เงียมหงัน รวมทั้ง ม้าต้าย เบ้งตัด ลิเงียม งออี้ งอปั้น จึงถูกจัดเป็นขุนพลระดับรองร่วมกันกับเล่าฮอง กวนเป๋ง จิวฉอง คนเก่าแก่ไปก่อน ซึ่งคนอื่นๆยังพอทำเนา โดยเฉพาะนายทหารเสฉวนย่อมยอมรับได้ เพราะกลุ่มห้าขุนพลสวรรค์ล้วนแกร่งกล้าในระดับแผ่นดินจริงๆ
คงมีแต่อุยเอี๋ยนที่โดนทรายพิษทำลายใบหน้าไปบางส่วนจนต้องใช้หน้ากากปิดบังเอาไว้ครึ่งหน้า คล้ายดั่งชะตากรรมของอาจารย์บังทองไม่ผิดเพี้ยน ยังคงไม่ยินยอมรับการตัดสินครั้งนี้ เพราะฝีมือที่แท้จริงของมันเหนือกว่าพวกระดับรองอย่างเด่นชัด หากไม่ติดเรื่องอายุแล้ว มันสมควรจัดอยู่ในกลุ่มขุนพลเอกมากกว่า
อีกทั้ง ที่จริงแล้ว ด้วยกรอบความคิดตามผลงานเช่นนี้ จูล่งก็ยังไม่สมควรได้รับความชอบ เนื่องจากเป็นผู้พลาดท่าเสียทีต่อเตียวหยิมจนบาดเจ็บสาหัสไปเช่นกัน หากแต่เล่าปี่ ขงเบ้ง ยังเห็นแก่ผลงานในอดีตที่เคยช่วยเหลือกันมาหลายครั้ง จึงยกย่องไว้ให้เป็นกำลังใจ แต่ก็จัดลำดับตำแหน่งไว้ในตำแหน่งธาตุเสริม คู่กับม้าเฉียว แทนที่จะเป็นธาตุหลักอย่าง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ฮองตง และตัวขงเบ้งเอง
ดังนั้น เล่าปี่จึงเอ่ยปากให้ขุนพลยิงตะวัน ฮองตง ขุนพลเงาหิมะ ม้าเฉียว ซึ่งยังไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด เป็นแม่ทัพใหญ่ กับ อุยเอี๋ยน เงียมหงัน ม้าต้าย เบ้งตัด ลิเงียม เป็นนายทหารรอง และหวดเจ้ง เป็นกุนซือใหญ่ ตระเตรียมทัพไปบุกยึดเมืองฮันต๋งด้านเหนือ ซึ่งอยู่ในการดูแลของแฮหัวเอี๋ยน กับโจหอง เพื่อเปิดโอกาสให้ขุนพลหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือสร้างผลงาน โดยเฉพาะอุยเอี๋ยน จะได้มีคุณสมบัติขึ้นมาเป็นทหารเอกอันดับที่หกให้ได้ ไม่จำเป็นต้องจำกัดมีขุนพลสวรรค์เพียงห้าคนแต่อย่างใด
ในใจของเล่าปี่ แม้ว่าเริ่มระแวงในตัวกุนซือมังกรซ่อน ขงเบ้ง จูกัดเหลียง และขุนพลท่องเมฆา จูล่ง แต่การที่ทั้งสองเสี่ยงชีวิตป้องกันตัวมัน ก็นับว่า แสดงถึงความจงรักภักดีไม่น้อย จึงยังไว้หน้าวางตำแหน่งไว้เช่นเดิม และรั้งตัวขุนพลฟ้าคำราม เตียวหุย ซึ่งเป็นน้องเล็กคนสนิทเอาไว้ข้างกาย
ตอนนี้ เล่าปี่กลับคาดหวังในตัวของหวดเจ้ง กุนซือร่างบอบบางที่ชมชอบรูปนกยูงเป็นพิเศษ จนภายหลัง เล่าปี่นึกสนุก ตั้งฉายาให้เป็นกุนซือเดชนกยูง พร้อมให้ใช้กองกำลังแถบสีม่วงอันหมายถึง สัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ เพื่อรำลึกถึงบังทอง กุนซือหงส์ผงาด อีกหนึ่งปักษาผู้ล่วงลับ ไปแล้ว
…
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย