26 ก.ค. 2021 เวลา 23:39 • นิยาย เรื่องสั้น
5.14. ชีวิตหลังความตาย
งอหยี่เหนียง เกียวชวน บังเต๊กกง ติดบ่วงรักขาดวาสนา
พวกปักษาสวรรค์อันประกอบด้วย หมอฮัวโต๋-นกฮูก เตียวหุย-นางแอ่น ม้ากิ๋น-หัวขวาน และเหยี่ยวดำ รวมสี่คน พร้อมกับเด็กทารกแฝดในอ้อมแขนของนางแอ่น แยกตัวออกมาจากซัวบุ้นกีแม่ลูกที่แยกตัวไปพักผ่อนอีกห้องหนึ่ง กำลังนั่งปรึกษากันอยู่ในห้องนอน เพื่อกำหนดความเคลื่อนไหวต่อไป
“เจ้าสัวเกียวกับซุนไท่ไถ้ ผู้เฒ่าทั้งสอง หลุดจากวงจรประวัติศาสตร์ออกมาแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องไปเปิดโปงพวกท่าน” หมอฮัวโต๋-นกฮูก เสนอก่อนด้วยความเมตต
“ชีเซ่ง เตงฮอง ก็เช่นกัน เป็นเพียงตัวเล็กๆในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีผู้ใดใส่ใจ แต่เพียงน่าประหลาดใจอยู่บ้างที่นักพรตโจวจู๋กลับมาเร้นกายปลีกวิเวกอยู่ที่นี่” เตียวหุย-นางแอ่น เสริม สำหรับคนที่เคยผ่านตาพงศาวดารสามก๊ก ย่อมจดจำผู้วิเศษโจวจู๋ที่อาละวาดก่อกวนโจโฉจนแทบคลั่งใจตายได้
ตามพงศาวดารสามก๊ก โจโฉได้ยินกิตติศัพท์ของเซียนโจวจู๋ แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงให้คนตามตัวเข้ามาทดสอบ และด้วยความที่ไม่ถูกชะตากัน หรือ เพราะเกิดการลองของ ไม่เคารพจริงจัง ทำให้เซียนโจวจู๋แสดงปาฏิหาริย์ สร้างความปั่นป่วนให้กับโจโฉและพวกพ้อง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โจโฉปวดหัวเรื้อรังไปจนตาย
“เช่นนั้น ก็ต้องละเว้นพวกมันไปเถิด เหลือ เภาเจ๋ง ซัวบุ้นกีแม่ลูก กับ ลกซุน จะจัดการเช่นไรดี” ม้ากิ๋น-หัวขวาน กล่าวบ้าง
“เภาเจ๋ง ยังคงมีความสำคัญอยู่บ้าง แต่อาการสาหัสนัก คงต้องรักษาตัว ตรวจอาการดูอีกพักใหญ่ เราคงต้องดูแลมันอย่างใกล้ชิด ส่วนซัวบุ้นกีสองแม่ลูกนั้น เราอาจต้องนำตัวไปรักษาต่อ และซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ต่อไปอาจจะมีประโยชน์ให้ใช้งานได้” นกฮูกแจ้งให้ทราบ “มีแต่ลกซุนที่ล่วงรู้เรื่องราวความลับมากเกินไป อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้คนในวงกว้าง เราคงต้องหาทางสะกดจิตล้างความจำมันอีกสักรอบนึง เพียงแต่คราก่อน อาจจะเร่งรีบเกินไป มันจึงสามารถรับมือการสะกดจิตได้ และแสร้งสลบไสลบนเตียงนอน รอการลงมือใส่โจโฉ ศัตรูของมัน”
ทุกคนในหน่วยล้วนทราบ การสะกดจิตไม่สามารถทำได้กับทุกผู้คนเช่นเดียวกันกับการอ่านจิตของจ้าวอินทรี มีคนบางจำพวก เช่น คนที่ฝึกฝนพลังจิตเช่นกัน หรือ คนที่เคยกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักมาก่อน จะมีแรงต้านทานมากกว่าคนทั่วไป จึงเป็นวิธีการที่ต้องใช้ออกด้วยความระมัดระวัง จากประวัติที่ตรวจสอบนั้น ลกซุนเอง น่าจะเป็นพวกที่มีปัญหาทางด้านจิตใจในวัยเด็กแล้ว
เหยี่ยวดำที่สนิทสนมกับลกซุนที่สุด จึงเอ่ยปากขอร้อง “จะอย่างไรก็เก็บความสัมพันธ์กับลกซุนไว้ให้เป็นพวกของเราเถิด คนของหน่วยเราเองร่อยหรอไปหลายคน ตัวมันยังมีจิตใจที่ดีงามเป็นพื้นฐาน และก็ยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์ได้ยาวนานคนหนึ่ง น่าจะช่วยเหลือพวกเราได้มากในระยะยาว”
นกฮูกพยักหน้ารับคำ ขณะนี้มันคือหัวหน้าหน่วยที่ไม่ยึดติดกับภารกิจดั้งเดิมแล้ว การตัดสินใจของมันจึงเป็นที่สุด “ย่อมได้ เรามีทางจัดการมันอยู่ แล้วเด็กทารกทั้งสองเล่า”
“ให้เราดูแลพวกมันเอง” เป็นนางแอ่นที่กล่าวสวนขึ้นในทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “เตียวหุยต้องการลูกสาวฝาแฝดจากสกุลแฮหัวอยู่แล้ว มิใช่หรือ”
ถึงตรงนี้ พวกปักษาสวรรค์พลันนึกออกว่า นอกจากเตียวเปา บุตรชายที่เป็นนักรบองอาจแล้ว เตียวหุยยังต้องมีเตียวซิงไช่ เตียวซิงเหอ ลูกสาวฝาแฝดที่สุดท้ายต้องไปใช้ชีวิตคู่กับอาเต๊า เล่าเสี้ยนในอนาคต นี่คงเป็นลิขิตฟ้าอีกครั้งหนึ่งที่ชักนำทายาทของตระกูลแฮหัวให้มาพบกับเตียวหุยเข้าจนได้
“น่าประหลาดใจยิ่งนัก บางครั้ง พวกเราไม่ได้จัดแจงเตรียมการอันใด แต่กลับเกิดเหตุโยงใยให้เป็นไปตามประวัติศาสตร์ได้เอง ราวกับมีผู้ใดเดินหมากเดินแผนเอาไว้แล้ว” หัวขวาน โพล่งด้วยความยินดี
นกฮูก นางแอ่น และเหยี่ยวดำกลับรู้สึกไม่สบายใจต่อคำพูดดังกล่าว หากเรื่องราวคนเดินหมากกระดานนั้นเป็นความจริง อาจจะมีเรื่องน่ากลัวอีกมากมายรอคอยพวกมันอยู่ก็ได้ แค่นิกายแสงจรัสอันลึกลับนั่น ก็สร้างความปวดหัวให้ยิ่งนักแล้ว
“บังเต๊กกง เป็นคนผู้นี้อีกแล้วรึ” ลกซุนนึกในใจขณะที่นอนพักผ่อนบนเตียงนอน คนผู้นี้สร้างเครือข่ายอิทธิพลไว้มากมายราวกับแมงมุมสร้างใยตาข่าย อาจมากกว่าแค่นิกายแสงจรัส และที่นี่คงเป็นรังลับอีกแห่งหนึ่งที่มันใช้หลบซ่อนตัว หรือ ส้องสุมกำลังอันใดเอาไว้ แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจ สละที่มั่นออกเดินทางไปแหล่งอื่นแทน
เพียงแต่ที่มันสงสัยต่อไปก็คือ จิวยี่ ซุนกวน ถึงกับเชื่อใจในตัวบังเต๊กกงได้ถึงขั้นที่ส่งผู้เฒ่าของตนเองมาหลบซ่อนตัวกันตามลำพัง แสดงว่า ระดับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันต้องไม่เลวทีเดียว หรือว่า พวกตระกูลซุนที่จริงก็เป็นหมากอีกชุดหนึ่งของนิกายแสงจรัสด้วยเช่นกัน เพราะวันนั้น จิวยี่ก็ถูกเอ่ยอ้างถึงในฐานะผู้ร่วมขบวนการที่สูญเสียไป
ลกซุนนึกย้อนไปถึงโฉมหน้าของบุคคลระดับหัวหน้าที่อยู่ในอารามวัดป่าน้อยที่สอง มีเตียวเจียว เสนาบดีผู้เฒ่าที่เป็นเสาหลักค้ำกังตั๋งมานาน เป็นหนึ่งในหัวหน้าของนิกายแสงจรัส อีกทั้งยังมีฐานะซ่อนเร้นเป็นดาวนักปราชญ์ ตัวจักรสำคัญที่เกาะกุมขุมกำลังสัตตดาราที่แท้จริง ยิ่งทำให้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างนิกายแสงจรัส กับพวกตระกูลซุนซับซ้อนมากขึ้น เป็นไปได้ว่า ซุนกวนอาจจะเบื้องหลังมากมาย และมีความคิดที่สุขุมลึกซึ้งเกินกว่าที่มันรู้จักเสียแล้ว
พอทบทวนความคิดไปมา เรื่องราวก็มาสะดุดลงที่ความสัมพันธ์ที่มึนตึงของตัวมันเองกับพวกของท่านอาเหยี่ยวดำ ที่จนบัดนี้ ฝ่ายนั้นก็ยังไม่แสดงท่าทีอันใดกลับมา ตั้งแต่ได้รับช่วยเหลือเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้
ล่าสุด มันถูกขัดขวางจากฝ่ายตรงข้ามหลายครั้ง เพื่อปกปิดความลับของเตียวหุย หรือหญิงงามคนนั้นบ้าง เพื่อปกป้องโจโฉ ศัตรูคู่อาฆาตบ้าง แสดงว่า ตัวมันกับฝ่ายเหยี่ยวดำเอง ก็มิใช่พวกเดียวกันอย่างสนิทใจแล้ว เพียงแต่ร่วมมือกันในบางเรื่องบางราวเท่านั้น แต่ทว่า กลุ่มของท่านอา ที่แท้คือสังกัดฝ่ายใด ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่ โจโฉ ซุนกวน เล่าปี่ เหี้ยนเต้ บังเต๊กกง หรือ ยังมีขุมกำลังอื่นใดแอบซ่อนอยู่อีก
ลกซุนเหมือนตกอยู่ในม่านหมอก คล้ายเข้าใจ คล้ายไม่เข้าใจต่อเรื่องราวดังกล่าว จนเสียงเคาะประตูดังขึ้น มองเห็นท่านอาเหยี่ยวดำยืนกอดอกพิงประตูอยู่ภายในห้องแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามคิดจะลงมือจริงๆ มันคงหมดหนทางต่อสู้ไปแล้ว เพราะรู้ดีว่า ฝีมือยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามยังเหนือกว่ามันอยู่หลายขั้น
เหยี่ยวดำยังคงทำตัวเป็นญาติผู้ใหญ่ คล้ายลืมเลือนความหมางใจกันบนลำเรือไปแล้ว กล่าวอย่างแย้มยิ้ม “ป้อเอี๋ยน เจ้าประมาทเกินไปแล้วกระมัง ข้าเข้ามาตั้งเนิ่นนานกลับไม่ทันรู้ตัว มัวแต่คิดฟุ้งซ่านอันใดหรือ”
ลกซุนหรือป้อเอี๋ยนในอดีต ลดความรู้สึกต่อต้านลงไปมาก พลางลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะรับรอง รินน้ำชาพูดคุยกับท่านอา พร้อมเล่าถึงเรื่องราวความรัก และการผจญภัยของเจ้าสัวเกียว แม่เฒ่าซุน โดยไม่ปิดบัง พร้อมทั้งทิ้งท้ายเรื่องบังเต๊กกง ประมุขผู้ก่อตั้งหุบเขาให้รับฟังจนหมดสิ้น
ล่วงเลยถึงยามค่ำคืนดึกดื่น เสียงเคาะเกราะบอกเวลาดังขึ้นภายนอก เหยี่ยวดำคล้ายกลัดกลุ้มเรื่องเบาะแสของบังเต๊กกง จนคิ้วขมวด ใบหน้ายุ่งเหยิง ลกซุนจึงขยับจะรินน้ำชาเติมให้อีกรอบหนึ่ง แต่เหยี่ยวดำยังรวดเร็วกว่า คว้าป้านน้ำชาไปก่อน บรรจงเทให้กับทั้งสองคน แล้วชักชวนให้ดื่มพร้อมกัน
“เรื่องนี้เอาไว้ให้พวกข้าดูแลกันเอง เจ้ามิต้องกังวลอันใด ไปพักผ่อนเถอะ” เหยี่ยวดำเอ่ยคำ แต่ยิ่งมาคล้ายยิ่งแผ่วเบา ลกซุนพยายามตั้งใจฟัง แต่กลับค่อยๆฟุบลงกับโต๊ะรับรองเสียแล้ว เหยี่ยวดำรีบตรงเข้าประคองร่างให้ไปนอนบนเตียง พลางส่งสัญญาณเรียกหมอฮัวโต๋ให้เข้ามาจัดการตามแผนการลบล้างอดีต สมดั่งกับนามของหุบเขาแห่งนี้
นักพรตพิการอัปลักษณ์โจวจู๋ปล่อยนกพิราบสื่อสารออกไปตั้งแต่ช่วงค่ำวันวานหลังจากที่ช่วยเหลือคนทั้งหลายกลับมายังหุบเขา มันในฐานะที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ ย่อมมีหน้าที่ต้องรายงานเรื่องสำคัญให้กับหัวหน้าใหญ่ ซึ่งในยามนี้ ก็คือ ท่านบังเต๊กกง
เดิมที ตัวมันได้รับมอบหมายจากซุนแจ้ง ผู้นำตระกูลซุน ให้มาเป็นพ่อบ้านใหญ่ผู้ก่อตั้งหุบเขาแห่งนี้ก่อน จากนั้น ซุนแจ้งค่อยแนะนำให้มันรับคำสั่งจาก บังเต๊กกง ซึ่งรับตำแหน่งประมุขหุบเขาคนแรกของหุบเขาละทิ้งอดีต แต่มันตระหนักดีว่า เหนือจากซุนแจ้งขึ้นไป ยังมี คนเล่นพิณที่มีนักทำนาย และองครักษ์ถือทวน เป็นผู้ติดตามใกล้ชิด อีกทอดหนึ่ง ขุมกำลังลับกลุ่มนี้ ช่างลึกลับยิ่งนัก
ช่วงแรก มันยังพอเห็นกลุ่มคนเล่นพิณ และซุนแจ้ง แวะเวียนมาพูดคุยหารือกับบังเต๊กกงอยู่บ้าง หากแต่คล้ายพูดคุยไม่ใคร่ถูกคอกันกับบังเต๊กกงเท่าไหร่นัก จนเมื่อมีสองผู้อาวุโสกังตั๋งเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก พวกชนชั้นผู้นำไม่เพียงไม่ยอมให้เอ่ยถึง แต่ยิ่งทำตัวล่องหนหายไปจากหุบเขา เปิดทางให้บังเต๊กกงสวมบทบาทเป็นหัวหน้าใหญ่ตามลำพัง โดยมีสองคนชราเป็นอาคันตุกะพิเศษผู้ทรงเกียรติ และยังมี ชีเซ่ง เตงฮอง ตามมาเป็นองครักษ์ให้ในภายหลังอีกด้วย
 
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ จนมาระยะหลัง เมื่อบังเต๊กกงได้รับข่าวการตายของบุตรชาย ก็คล้ายกระทบกระเทือนจิตใจสาหัส มักทำตัวประหลาดพิกล ยากจะคาดเดาได้ จากหน้าตารูปร่างที่เคยอิ่มเอิบสมบูรณ์ กลับกลายเป็นคนผอมซูบ หน้าตาซีดเซียว และในที่สุด ถึงกับออกเดินทางท่องเที่ยวไร้จุดหมาย และโยนตำแหน่งประมุขหุบเขาให้กับสองตายายไร้วิทยายุทธ์เป็นผู้ดูแลแทน คล้ายไร้เยื่อใยผูกพันต่อกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่บังเต๊กกงเคยกำชับไว้ก็คือ หากมีเรื่องราวอันใดสำคัญ ให้ส่งเป็นนกพิราบแจ้งเหตุออกไป แล้วมันจะรีบกลับมาจัดการเอง
ผ่านพ้นเที่ยงคืนของวันถัดมา เสียงนกพิราบกระพือปีกดังที่ริมหน้าต่าง นักพรตโจวจู๋ลุกขึ้นมาหยิบข้อความลับจากกระบอกไม้ไผ่ คำสั่งของท่านบังเต๊กกงรวบรัดชัดเจนยิ่งนัก คือ “สังหารอาคันตุกะให้หมดสิ้น ละเว้นไว้เพียงลกซุน”
โจวจู๋ทำตาลุกวาว นึกเตรียมแผนการอันใดที่จะจัดการกับเหล่าอาคันตุกะให้ได้อย่างไม่ต้องเปลืองเรี่ยวแรง จนเวลาผ่านไปถึงยามฟ้าสาง กลับได้ยินเสียงต่อสู้ด้วยอาวุธดังมาแต่ไกลจากทางด้านท่าเรือ “พวกมันนำพาเผือกร้อนมาด้วยแล้วกระมัง”
นักพรตอัปลักษณ์วิ่งปราดออกมาด้านนอก แล้วลอยตัวขึ้นสู่หอคอยเฝ้าระวัง เพื่อดูสถานการณ์ฝั่งท่าเรือ พบเห็นเรือเร็วจำนวนนับสิบฝ่าพ้นอุปสรรคทางธรรมชาติเข้ามาจอดเทียบอยู่เต็มท่าเรือ เป็นกองทหารสังกัดเมืองอ้วนเซียที่ห้าวหาญและดุดัน กระโจนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว ชูธงอิกิ๋มแห่งอ้วนเซีย หนึ่งในทหารเสือห้าพยัคฆ์ฝ่ายโจโฉ
ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้ ย่อมเป็นโจโฉที่กระโดดลงแม่น้ำไต้กัง หลบหนีการควบคุมจากพวกปักษาสวรรค์นั่นเอง แต่ที่จริง เพียงดำน้ำชั่วครู่ และยังคงแอบเกาะอยู่ท้ายเรือ ไม่ห่างจากจุดเดิมมากนัก จึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ที่เรือโดยสารเกิดระเบิดจมลง ไปจนกระทั่งมีเรือปริศนาเข้ามาให้การช่วยเหลือคนกลุ่มใหญ่
“คนนี้คือท่านลกซุนนี่นา” ประโยคเดียวกันกับที่เหยี่ยวดำได้ยินก่อนสลบไสล โจโฉซึ่งย้ายมาแอบเกาะอยู่ที่กราบเรือก็ได้ยินเช่นเดียวกัน มันรู้ได้ในทันทีว่า ผู้มาใหม่เป็นพวกกังตั๋ง และคนหนึ่งในลำเรือเมื่อครู่ ก็คือ ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองที่ลือนามอยู่ พิจารณาจากอายุแล้ว น่าจะเป็นชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นทายาทของลิแปะเฉียผู้นั้น จึงรีบซ่อนตัวให้พ้นแสงไฟ ไม่เผยตัวขอความช่วยเหลือจากกระแสน้ำเชี่ยว ยินยอมเสี่ยงลอยคอไปเกาะเรือโดยสารอื่นที่ผ่านทางมา และเฝ้าดูทิศทางที่เรือปริศนาล่องหายลับสายตาไป จนเห็นปากทางเข้าที่ลับสายตาผู้คน
แน่นอนว่า เสียงระเบิด และแสงไฟกลางน้ำครั้งนั้น ไม่เพียงเรียกพวกของชีเซ่ง เตงฮองให้มาช่วยเหลือพวกลกซุน เหยี่ยวดำ หากแต่ยังชักจูงให้อิกิ๋มที่กำลังค้นหาซากศพของโจโฉมาตรวจดูพื้นที่ด้วยเช่นกัน โจโฉที่ซ่อนตัวอยู่ตามเรือโดยสารทั่วไปในลำน้ำ จึงแสดงตัวให้ทหารฝ่ายเดียวกันช่วยเหลือ และส่งคนลอบติดตามทิศทางของเรือลำนั้น จนค้นพบทางเข้าลับ จึงคิดประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้าโดยเร็ว
เนื่องจากโจโฉใจร้อนที่จะช่วยเหลือซัวบุ้นกีแม่ลูกไม่ให้ต้องตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูให้กลายเป็นเหยื่อล่อได้อีก จึงสั่งกำชับให้ปกปิดร่องรอยการกลับมาของตนเองไว้ก่อน ไม่ให้ส่งข่าวรั่วไหลจนทำให้เสียการใหญ่ เมื่อประเมินกำลังพลแล้ว จึงรีบสั่งการให้อิกิ๋มนำกองทหารที่ลาดตระเวนหาซากศพของตนเองทั้งห้าร้อยคนนั้น ลงเรือย้อนกลับไปชิงตัวหญิงคนรักกลับคืนในทันที
กองเรือเร็วหลายสิบลำในคราบกองเรือพ่อค้าพาณิชย์จึงฝ่าความมืดตามกระแสน้ำแข่งกับเวลา ผ่านน่านน้ำเมืองเกงจิ๋ว มุ่งสู่หุบเขาละทิ้งอดีตได้ในเวลาพลบค่ำวันเดียวกัน อาศัยความมืดและความเร็ว เปลี่ยนทิศทางบุกจู่โจมถึงรังลับในทันที ก่อนที่ยามรักษาการณ์ที่อ่อนด้อยประสบการณ์ จะทันสังเกตพบความผิดปกติ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทหารเมืองอ้วนเซียได้รับการฝึกฝนการจู่โจมทางน้ำมาเป็นอย่างดี เพื่อฝึกความพร้อมในการรับมือกับพวกกังตั๋ง จึงอาศัยความมืด บุกฝ่าผ่านช่องหลืบหินผา ที่เป็นอุปสรรคทางธรรมชาติ และตรงเข้าทำลายป้อมยามรักษาการณ์ด้วยความชำนาญการรบ กว่าที่คนของหุบเขาจะได้ทันตั้งตัว ป้อมยามชายฝั่งก็พังพินาศไปหลายส่วน จนฝ่ายตั้งรับต้องแตกร่นไปถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว ต้องถือว่า เป็นผลงานการรบที่อิกิ๋มได้แสดงให้โจโฉเห็นเข้าตาอีกครั้ง
ลกซุนเผลอหลับใหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจจดจำได้ กลับสะดุ้งตื่นด้วยเสียงการต่อสู้ที่ดังเข้ามาทางด้านนอกที่พัก มันทบทวนความทรงจำตั้งแต่ที่ช่วยเหลือพวกท่านอาเหยี่ยวดำขึ้นเรือโดยสารล่องแม่น้ำไต้กัง จนมาพบกับกลุ่มคนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าแล้ว ก็คล้ายลืมเลือนประสบการณ์บนลำเรือหลังจากนั้นจนหมดสิ้น ค่อยกลับมาจดจำได้อีกครั้งก็เป็นช่วงเวลาที่ฟื้นคืนสติในหุบเขาละทิ้งอดีตแห่งนี้ และรับรู้เรื่องราวของเจ้าสัวเกียว และบังเต๊กกงเท่านั้น นอกนั้น ยังคงพร่ามัวเลือนราง ไม่อาจรื้อฟื้นได้
มันนึกถึงช่วงที่เดินสำรวจภายในหุบเขาพร้อมกันกับชีเซ่ง เตงฮองเมื่อช่วงเย็นนั้น ที่พักของมันเป็นคฤหาสน์ใหญ่ สวนสวยด้านหลังยึดครองไปถึงส่วนที่ลึกสุดของหุบเขา ด้านหน้าเต็มไปด้วยบ้านเรือนน้อยใหญ่จำนวนมาก ราวกับกระโจมแม่ทัพที่ตั้งอยู่ด้านหลังพยุหะกระโจมกองทหาร
สังเกตว่า ผู้ที่อยู่อาศัยตามบ้านเรือน ล้วนแล้วแต่เป็นทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บจนพิกลพิการไปบางส่วน เช่น ตาบอด แขนขาด หูแหว่งวิ่น เป็นต้น ซึ่งโดนปลดออกจากกองทัพไปโดยปริยาย หากแต่ยังสามารถทำงานหนักได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนปกติทั่วไป แสดงว่า บังเต๊กกงเปิดพื้นที่ให้คนที่พิกลพิการเหล่านี้ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือ ฝังกลบบาดแผลจากสงคราม ผลักดันให้เป็นแรงต่อสู้กับชะตาชีวิตต่อไปได้อีกครั้งในลักษณะของกองทัพขนาดย่อม โดยมีปากทางเข้าออกแห่งเดียวคือ เส้นทางน้ำเข้าหุบเขาที่เป็นซอกหลืบซ่อนอำพรางอยู่กับแนวหุบเขา ริมฝั่งแม่น้ำไต้กัง
อันที่จริงแล้ว ผู้ที่ผลักดันให้เกิดกองทัพคนพิการเหล่านี้ มิใช่บังเต๊กกง แต่เป็นนักพรตโจวจู๋เองที่เห็นใจในชะตากรรมของคนที่หลุดพ้นจากวงจรกองทัพด้วยสาเหตุของความพิการ จนตกยากขาดแคลนอาหาร จึงนำความคิดนี้มานำเสนอให้กับบังเต๊กกง เพื่อสร้างขุมกำลังลับตามแบบฉบับของมันเองในหุบเขาแห่งนี้ คำว่า ละทิ้งอดีต ก็มุ่งหวังให้คนเหล่านี้อยู่กับปัจจุบัน พิการร่างกายได้ แต่อยากปล่อยให้จิตใจบกพร่องไปด้วย
ตามหลักการวางกำลังป้องกันของคนนับพันเช่นนี้ สมควรรับมือการจู่โจมจากภายนอกได้ไม่ยากนัก แต่บัดนี้ กองทหารที่กำลังบุกรุกเข้ามา คล้ายมีจำนวนมากเกินต้านทาน
เสียงเข่นฆ่าดังใกล้เข้ามาในคฤหาสน์ใหญ่ กลุ่มนักรบพิการที่ปลอมแปลงเป็นชาวประมงมาเนิ่นนาน อยู่ในช่วงเวลาหลับใหล ไม่ทันได้ตระเตรียมการรบ จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดนกองกำลังทหารเมืองอ้วนเซียที่มีความสามารถทางการรบมากกว่า บุกทำลายได้โดยง่าย จนกระทั่งเกิดพลุไฟดังสนั่น เกิดเป็นแสงสว่างโดดเด่นบนท้องฟ้าที่ยังไม่หายมืด ปลุกเร้าให้ทุกคนตื่นตัว รับรู้ถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง
เสียงกลองรบทุ้มดังขึ้นอย่างเร่งร้อนมาจากหอคอย เป็นการส่งสัญญาณให้เหล่านักรบแปรขบวนต้านศึกนอก ผู้ที่ลงมือควบคุมสถานการณ์กลับเป็นนักพรตอัปลักษณ์โจวจู๋ ผู้วิเศษประจำกองทัพ และพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้มานาน
ชีเซ่ง เตงฮอง ผู้เป็นทั้งองครักษ์พิทักษ์เจ้านายผู้เฒ่า และอาจารย์ควบคุมการฝึกสอนเหล่านักรบพิการมาโดยตลอดในระยะหลัง รีบออกไปรวบรวมกองกำลังทหารพิการ ตรงเข้าต้านทานกองทัพขนาดย่อมที่กำลังบุกฝ่าเข้ามา เสียงการต่อสู้ดังสับสนวุ่นวายทำให้ประมุขหุบเขา เกียวชวน ซุนไท่ไถ้ ต้องออกมาเฝ้ารอข่าวที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกันกับเหล่าอาคันตุกะทั้งหลาย ด้วยความกังวลใจ
แม้ว่าทุกคนเคยผ่านศึกสงครามมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกเปราะบางเหมือนในครั้งนี้ กองกำลังมนุษย์พิการจำนวนหลักร้อย กำลังต่อสู้กับกองทหารมากประสบการณ์ที่ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด หากแต่ฟังเสียงการศึกแล้ว มันช่างใกล้ชิดเสียเหลือเกิน
คนของหน่วยปักษาสวรรค์ลอบมองดูตากันไปมา สุดท้าย จึงเป็นนางแอ่นที่พยักเพยิดให้นกฮูก-หมอฮัวโต๋เป็นคนตัดสินใจในฐานะผู้นำคนปัจจุบัน งานนี้ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์ก็จริง แต่การลงมือผิดพลาดอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาพใหญ่ได้ หมอฮัวโต๋จึงถอนใจหรุบตา เป็นสัญญาณให้ทุกคนรอคอยดูเหตุการณ์ไปพลางก่อน
แสงพลุไฟรูปเสือสีเขียวสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้ายามรุ่งสางเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ทางตะวันออกห่างออกไปหลายสิบลี้กลับปรากฏพลุไฟลึกลับรูปทรงเดียวกันสว่างขึ้นเป็นทอดๆยาวไกลไปตามลำน้ำไต้กัง ราวกับพยัคฆ์หยกกำลังวิ่งทะยานไปตามแนวเขายาวไกล
ณ ฐานทัพเรือชีสอง เสียงผู้นำทัพสั่งการระดมพลเร่งด่วน ลงเรือล่องทวนกระแสน้ำขึ้นมาโดยเร็ว เห็นเป็นกองทัพเรือเร็วขนาดย่อมร้อยกว่าลำ ล่องมาเป็นแถวยาวเหยียดด้วยความเร็วทวนกระแสน้ำที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในแม่น้ำไต้กัง มุ่งหน้ามาสู่หุบเขาลึกลับอย่างเร่งร้อน คล้ายไม่แยแสว่า จะทำให้ตะเข็บชายแดนแตกตื่นตกใจ
ด้านหลัง ยังมีเรือเร็วทวนกระแสน้ำมาแต่ไกล น่าจะมาจากเมืองต๋องง่อ และสมทบเข้ากับกองทัพเรือชีสองอย่างเร่งด่วน ถึงกับเป็นซุนกวน ผู้นำแห่งขุมกำลังกังตั๋ง ต้องการตามมาสั่งการด้วยตนเอง โดยมีองครักษ์จิวท่ายยืนเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คาดว่า สมรภูมิหุบเขาละทิ้งอดีต ศึกน่านน้ำที่ไม่มีใครคาดคิด กำลังจะเกิดขึ้นแล้วกระมัง
เรือโดยสารของกลุ่มทหารเตียวเลี้ยว แต่เดิม ปกปิดร่องรอยให้ดูคล้ายเรือสินค้าทั่วไป พอพบเห็นการเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ รับรู้ว่า ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต จึงรีบบังคับเรือให้หลบเข้าหาฝั่งโดยเร็ว
สักพักใหญ่ รอจนขบวนเรือเร็วผ่านพ้นไปหมดสิ้น จึงเห็นเป็นเตียวเจียวที่ไอโขลกๆ พร้อมก้าวออกมาจากด้านใน “พลุพยัคฆ์หยก สัญญาณฉุกเฉินสูงสุดของขุมกำลังกังตั๋งหรือพวกมันพบเห็นเรื่องราวอันใดเข้าให้แล้ว”
เตียวเจียวประเมินกำลังตนเอง เห็นว่า ไม่อาจตอแยกับกองทหารใดๆ จึงได้แต่สั่งการถอนตัวออกจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว กลับสู่ฐานที่มั่นเมืองหับป๋า รอรับฟังว่า ริมฝั่งน้ำไต้กัง เกิดเหตุอันใดกัน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจโฉด้วยหรือไม่
ห่างไกลออกไปอีกหลายร้อยลี้ บังเต๊กกงในชุดนักสู้รัดกุม กำลังควบม้าตรงมายังหุบเขาละทิ้งอดีตอย่างเร่งรีบตลอดทั้งคืนเช่นกัน ตัวมันสำนึกเสียใจที่ปล่อยให้อารมณ์เศร้าเสียใจครอบงำ จนละเลยหน้าที่สำคัญในการรักษาดูแลหุบเขาละทิ้งอดีต ที่มันสู้อุตส่าห์ปลุกปั้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม กลับออกเดินทางไปทำกิจธุระด้านนอกเสียเนิ่นนาน
หากกล่าวว่า บังทอง บังเต๊ก มีความสำคัญต่อมันในฐานะทายาทสืบสกุล หุบเขาละทิ้งอดีตก็เป็นความผูกพัน เฉกเช่นสถานที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับมัน แน่นอนว่า มันต้องไม่ยอมให้ใครก็ตาม มาก่อกวนทำลายหุบเขานี้โดยง่ายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนของหน่วยปักษาสวรรค์เพียงไม่กี่คน ที่มันเคยลังเลใจที่จะจัดการกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา