28 ก.ค. 2021 เวลา 00:41 • นิยาย เรื่องสั้น
5.15. โศกนาฏกรรมความรัก
เอียนมี่ โจผี โจสิด พี่น้องรักสามเส้า
กลับมาทางด้านหุบเขาละทิ้งอดีต เวลาผ่านไปถึงยามเช้าตรู่แล้ว เสียงการต่อสู้คล้ายเบาบางลงไปบ้าง เป็นการบอกเหตุว่า การศึกเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
เตงฮองที่บาดเจ็บสาหัสด้วยเกาทัณฑ์ และคมอาวุธตามตัว ว่ิงกลับเข้ามารายงานผลการรบ การที่ผู้นำการรบล่าถอยเช่นนี้ คงมีแต่ข่าวร้ายเสียแล้ว “ท่านผู้เฒ่ารีบหนีโดยด่วน พวกเราคนน้อยกว่า ต้านทานไม่ไหวแล้ว เป็นโจโฉนำทัพมาด้วยตนเอง” เพียงขาดคำ เตงฮองก็ฟุบกายลงสิ้นสติไปกับพื้นห้องทันที
เหยี่ยวดำ นางแอ่น สองยอดฝีมือแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ยังคงอยู่ในคราบชาวบ้านธรรมดา ไม่สะดวกในการออกหน้า คนอื่นที่เหลือก็มิใช่นักสู้มีฝีมืออันใด จึงหลงเหลือเพียงลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองที่พอจะเป็นที่พึ่งพาได้เท่านั้น
“ท่านผู้อาวุโส ที่นี่พอจะมีทางลับออกไปสู่ภายนอกอีกหรือไม่ พวกเราจะได้ใช้หลบหนีไปก่อน” ลกซุนได้แต่รีบไต่ถามเส้นทางจากผู้อาวุโสทั้งสอง
เจ้าสัวเกียวชวนเหมือนนึกขึ้นได้ จึงรีบพยักหน้าตอบ พร้อมคว้าคบไฟขึ้นมานำทาง “ด้านหลังคฤหาสน์มีเส้นทางลับที่พวกห้องครัวใช้ออกไปเก็บผลไม้ล่าสัตว์ในป่า และออกไปซื้อของในเมืองได้ ตามข้ามา”
ทั้งหมดจึงเดินอ้อมไปทางด้านหลังของที่พัก โดยมีลกซุนและเหยี่ยวดำ รับอาสาแบกร่างที่ยังสลบไสลของซัวบุ้นกี กับหลวงจีนเภาเจ๋ง ตามไปรั้งท้าย
เมื่อถึงกำแพงคฤหาสน์ด้านหลังสวนดอกไม้ที่ติดกับภูเขาใหญ่ด้านหลัง เจ้าสัวเกียว ยกมือลูบไล้ทุบตีไปตามกำแพงพักหนึ่ง ประตูกลไกก็เลื่อนเปิดออกเป็นช่องมืดดำราวกับถ้ำลึกแคบ พอให้คนเดินผ่านไปทีละคน นางซุนไท่ไถ้จุดคบไฟเพิ่ม แล้วจูงมือตังชง เดินนำทางเข้าไปก่อน ม้ากิ๋นที่ยังหอบหิ้วถุงผ้าเครื่องใช้สำคัญและอาวุธที่ติดตัวมา ฮัวโต๋และนางแอ่นที่ดูแลเด็กทารกสองคน เหยี่ยวดำที่แบกร่างเภาเจ๋ง จึงเดินตามเข้าไปตามลำดับ ยังคงเหลือเพียง ลกซุนที่แบกร่างซัวบุ้นกี และเจ้าสัวเกียวชวนรั้งท้ายเพื่อคอยปิดกลไกลับ ปกปิดร่องรอยการหลบหนี
เสียงความเคลื่อนไหวคล้ายเงียบหายไป เจ้าสัวเกียว ที่เฝ้ามองเส้นทางเข้าสู่สวน หันมามองหาลกซุน กลับไม่พบพาน จึงส่งเสียงถามไถ่เข้าไปในถ้ำลึก สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกปักษาสวรรค์ทั้งหลายทันที
“ลกซุนออกไปล้างแค้นกับโจโฉอีกแล้วกระมัง” นกฮูก-ฮัวโต๋ ผู้เป็นหัวหน้าหน่วย คาดเดาแล้วจึงรีบสั่งการต่อพลพรรค “น้องเก้า น้องเล็กรีบวางเภาเจ๋งไว้ก่อน แล้วออกไปลากตัวลกซุนกลับมาโดยเร็ว”
นางแอ่น เหยี่ยวดำ ไม่รอช้า รีบวางคนให้ผู้อื่นดูแล และรับเอาอาวุธคู่มือจากหัวขวาน เพื่อออกไปเสาะหาลกซุน ตัวปัญหา โดยไม่กังวลว่าจะเปิดเผยร่องรอยตัวตน เพราะความเร่งร้อนของเหตุการณ์เฉพาะหน้า น่าเป็นห่วงมากกว่า ลกซุนยังมีเรื่องราวอีกมาก ไม่อาจปล่อยให้ตายในที่นี้ เวลานี้
แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนที่ออกไป เสียงดังขวับหลายสายกลับดังขึ้นที่ด้านหน้าถ้ำแล้ว ทั้งสองวิ่งโผล่พ้นออกมา กลับเห็นเกาทัณฑ์หลายดอกปักเข้าที่หน้าอก และตามลำตัวของเจ้าสัวเกียวชวนที่ยืนละล้าละลังอยู่ภายนอกเสียแล้ว จึงรีบประคองร่างผู้เฒ่าหลบเข้าข้างหลังก้อนหินใหญ่ พลางส่งเสียงเรียกหมอฮัวโต๋ให้ออกไปช่วยรักษาบาดแผล
มือเกาทัณฑ์ฝ่ายตรงข้ามวิ่งใกล้เข้ามาอีก พร้อมตั้งแถวเล็งไปเบื้องหน้า ตามมาโดยโจโฉ อิกิ๋ม แสดงว่า สถานการณ์ด้านนอกถูกฝ่ายโจโฉควบคุมไว้ได้หมดแล้ว พอเห็นชัดตาว่าเป้าหมายผู้โชคร้ายเป็นใคร โจโฉก็รีบส่งเสียงห้ามปราม เดินนำหน้าออกมาหลายก้าว ค่อยประสานมือคารวะพร้อมกล่าวคำพูดมาแต่ระยะไกล “ผู้น้อยไม่ทราบว่า ท่านเจ้าสัวพักอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จึงนำกองกำลังมาช่วยเหลือคนอย่างอุกอาจ นี่ยังพลาดพลั้งทำให้ท่านบาดเจ็บอีก ต้องขออภัยอย่างยิ่งยวดแล้ว”
ปกติ โจโฉ ขึ้นชื่อว่า เป็นจอมทรนงที่ฆ่าคนไม่กระพริบตา แต่คราวนี้ กลับพร่ำเพ้อเสียยืดยาว หนึ่ง เพราะฝ่ายตรงข้ามคือเจ้าสัวเกียวชวน ผู้เป็นบิดาของไต้เกี้ยว - เสียวเกี้ยว สองพี่น้องที่เคยหมายปองในวัยหนุ่ม นับเป็นผู้อาวุโสของมันมาเนิ่นนานแล้ว แม้ว่าอายุจริงของคนทั้งสองจะห่างกันไม่มากนักก็ตาม สอง อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในเรือโดยสารที่ทำให้จอมมารอำมหิตกลับมีจิตใจที่อ่อนโยนลงกว่าเดิมไปแล้วจริงๆ
เจ้าสัวเกียวโบกมือสั่นเทา ให้อภัยอย่างอ่อนล้า แต่บาดแผลคล้ายสาหัสเกินไป จนเริ่มส่งเสียงครวญครางออกมา หมอฮัวโต๋กับนางซุนไท่ไถ้เห็นความเปลี่ยนแปลงภายนอกแล้ว จึงรีบออกจากถ้ำ เพื่อมาดูอาการบ้าง สถานการณ์ต่อสู้กลับชะงักงันลงชั่วครู่
นางซุนไท่ไถ้ น้ำตานองหน้า ไม่เกรงกลัวคำครหาใดๆอีกต่อไป ตรงเข้าประคองชายคนรัก พลางพร่ำบ่นตามประสาคนสูงวัย “ข้าไม่ควรรั้งท่านไว้ที่นี่เลย หากข้าตัดใจไปให้ไกลห่างจากผู้คนตามที่ท่านเสนอแนะตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้”
เจ้าสัวเกียวชวนเผยอยิ้มปลอบใจ ทั้งๆที่มีโลหิตไหลรินออกจากปากด้วย “หยี่เหนียงเอย เป็นเพราะท่านยังมีห่วงกังวลใจอยู่ที่กังตั๋งมากมาย คนที่มีลูกมีหลาน ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ครั้งนั้น ตัวข้าหมดสิ้นห่วงผูกมัด ไต้เกี้ยวเสียวเกี้ยวล้วนลาจากไปหมดแล้ว จึงได้หลุดปากว่ากล่าวไปเช่นนั้นเอง เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย”
หมอฮัวโต๋ตรวจดูบาดแผล เห็นว่ายากต่อการรักษาแล้ว จึงได้แต่ลอบถอนหายใจ ไม่กล้าดึงเกาทัณฑ์ออกจากร่างกาย และส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้กับนางซุนไท่ไถ้ เพื่อสั่งเสียร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างกายที่อ่อนล้าเริ่มกระตุกเป็นสัญญาณ เจ้าสัวเกียวจึงรีบกล่าวคำสั่งเสียก่อน “เมื่อข้าจากไปแล้ว เจ้าจงกลับคืนสู่นครกังตั๋ง กลับไปหาลูกหลานของท่านเถิด เพียงเก็บความทรงจำของพวกเราไว้ ณ ที่แห่งนี้ ก็เพียงพอแล้ว” ขาดคำ เจ้าสัวนักการค้าผู้ทรงอิทธิพลแห่งแผ่นดิน แต่กลับงมงายในความรักสมัยวัยเยาว์ ก็หลับตาลงอย่างสงบ
นางเฒ่าซุนส่งเสียงร่ำไห้ดังขึ้น พร้อมฟุบร่างลงไปกับเจ้าสัวเกียว จนนิ่งเงียบไปสักพัก นกฮูก-ฮัวโต๋ยื่นมือเข้าประคอง กลับพบเห็นสิ่งผิดปกติไหลออกจากร่างของนางซุนไท่ไถ้ เป็นโลหิตสีดำไหลผ่านปิ่นทองที่ปักอยู่กับลำคอของพระมารดาแห่งกังตั๋ง
ตามยุคสมัยแห่งสงคราม สตรีผู้สูงศักดิ์มักจะมีปิ่นที่มียาพิษติดตัวไว้ใช้ เพื่อฆ่าตัวตายในยามกระทันหัน นางซุนไท่ไถ้อยู่ในแวดวงขุนนางนายทหารมานาน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีอาวุธมรณะซ่อนไว้ปลิดชีวิตตัวเองได้เช่นนี้
เมื่อนางซุนไท่ไถ้กลับเลือกเส้นทางการจบชีวิตตนเองตามคนรัก นกฮูก นางแอ่น เหยี่ยวดำทั้งสาม ที่อยู่ด้านหน้าถ้ำ จึงรู้สึกสะทกสะท้อนใจที่นำพาเภทภัยตามเข้ามาสู่หุบเขา ทรุดตัวลงคุกเข่าไว้อาลัยต่อสองผู้เฒ่าผู้มีพระคุณ
ที่จริง บุคคลในที่เกิดเหตุนี้ คนที่ใกล้ชิดกับผู้เฒ่าทั้งสองที่สุด ก็คือ โจโฉ เพราะคนหนึ่งคือบิดาของสองสาวพี่น้องที่เคยชอบพอในวัยหนุ่ม อีกคนหนึ่งก็เป็นภรรยาของอดีตสหายสนิท แต่โจโฉกลับเป็นต้นเหตุของโศกนาฎกรรมครั้งนี้ จึงได้แต่น้อมตัวทำการคารวะต่อซากศพของบุคคลทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง ทำให้อิกิ๋ม และเหล่าทหารทั้งหลาย ต้องพลอยคุกเข่าคารวะตามไปด้วยเช่นกันในฐานะผู้น้อย ทำให้บรรยากาศสวนดอกไม้ดูหดหู่ โศกเศร้าไปทั้งบริเวณ
เงาร่างโฉบวูบลงมาจากต้นไม้ใหญ่ พุ่งเข้าใส่โจโฉ แต่อิกิ๋มยังคงตาไว ขยับกายชิงสกัดหน้าเอาไว้ก่อน โจโฉรีบถอยเข้าไปอยู่ในวงล้อมทหารอารักขา เห็นเป็นบัณฑิตหนุ่มบนเรือที่อ้างตนว่าเป็นบุตรของลิแปะเฉีย กำลังใช้กระบี่ฟาดฟันตอบโต้อยู่กับอิกิ๋มได้อย่างสูสีกัน คงหมายจะเอาชีวิตมันเป็นการล้างแค้นส่วนตัวอีกครั้ง
โจโฉรีบมองกลับไปที่ด้านบนต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง ถึงกับเห็นเป็นชุดเสื้อผ้าผู้หญิงโผล่ออกมา แสดงว่า เจ้าหนุ่มน้อยคู่อาฆาตน่าจะซุกซ่อนหญิงสาวไว้ด้านบน หรือว่านางก็คือซัวบุ้นกีที่มันกำลังตามหาอยู่
เมื่อนึกได้เช่นนั้น โจโฉจึงรีบสั่งเคลื่อนกำลังไปทางต้นไม้ใหญ่ และให้ทหารรีบปีนขึ้นไปค้นหาด้านบนของต้นไม้นั้นทันที แต่เมื่อทหารขึ้นไปถึงจุดหมาย กลับมีเงาร่างผอมซูบกระโจนเข้าใส่ และถีบร่างทหารตกจากต้นไม้ทันที
เงาร่างนั้นยืนนิ่งบนกิ่งไม้ใหญ่ และคว้าร่างของนางซัวบุ้นกีออกมาให้ปรากฏต่อสายตาคนทั่วทั้งบริเวณ พลางตะโกนท้าทายไปยังโจโฉด้วยแววตาที่อาฆาตเคียดแค้น “โจโฉผู้ชั่วช้า ข้านึกไม่ถึงเลยว่า ในที่สุด เจ้าจะมายืนอยู่เบื้องหน้าข้าอีกครั้งหนึ่ง ยังจำสหายเก่าผู้นี้ได้หรือไม่”
โจโฉพิจารณาผู้มาใหม่ เป็นนักพรตชราตาเดียวใส่ชุดลายพร้อย ร่างกายผอมซูบ ใบหน้าอัปลักษณ์เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลจากไฟไหม้ แม้จะรู้สึกคุ้นตา แต่ยามกระทันหัน ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นกันที่ใด ทหารอ้วนเซียที่เคยได้ยินชื่อเสียง รีบส่งเสียงบอกว่า ผู้มาคือนักพรตผู้วิเศษ นาม โจวจู๋
โจโฉจึงได้แต่ประสานมือเจรจา “พี่ท่านค่อยๆพูดจากันเถิด จะเป็นเรื่องราวอันใด ข้าขอรับผิดชอบไว้เอง จงปล่อยตัวหญิงสาวลงมาก่อนเถิด นางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความอาฆาตแค้นของเราสอง”
“ใครว่าไม่เกี่ยวข้อง ครั้งนั้น เป็นเพราะหญิงร้ายคนนี้แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้ข้าต้องสูญเสียตำแหน่งการงาน และหมดสิ้นอนาคต จนต้องมาจมปลักอยู่ในหุบเขาแห่งนี้มานานหลายปี” นักพรตชรา ซึ่งเป็นพ่อบ้านของหุบเขาละทิ้งอดีต กลับมีความเป็นมาซับซ้อนเสียแล้ว
โจโฉพลันนึกขึ้นได้ รีบโพล่งออกมา “ท่านคือโจวจู๋ หัวหน้ากองตรวจการประจำเมืองหลวงที่เคยเป็นหัวหน้าเก่าของข้าเมื่อหลายสิบปีกระมัง”
โจโฉนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เมืองหลวง มันที่ยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เติบโตมาจากต่างเมือง เพิ่งถูกย้ายมาอยู่ในกองตรวจการประจำเมืองหลวงได้สักพักหนึ่ง ยังไม่ทันรู้ประสีประสามากนัก เกิดพบปะชอบพอกับหญิงงามเมืองคนเดียวกันกับโจวจู๋ หัวหน้ากองรูปงาม ทำให้โจวจู๋ขุ่นเคืองใจ จึงอาศัยอำนาจหน้าที่ที่เหนือกว่า ดุด่าคาดโทษเด็กใหม่ไว้อย่างสาหัส และแอบกลั่นแกล้งสั่งสอนอยู่เนืองๆ
ต่อมา มันกล่าวพาดพิงถึงนางซัวบุ้นกีที่เพิ่งถูกนับรวมเป็นสามดรุณีเมืองหลวง ก็ทำให้เกิดปากเสียงโต้แย้งกับโจวจู๋อีก จนมันเกิดความแค้นเคืองตามประสาวัยหนุ่มเลือดร้อน จึงนัดแนะกับอ้วนเสี้ยว ซุนเกี๋ยน เพื่อนรักในกลุ่มทหารรุ่นใหม่ด้วยกัน ปิดบังหน้าตา ลอบสั่งสอนทุบตีโจวจู๋ จนสลบไสลอยู่ในตรอกข้างถนนยามราตรี
เรื่องราวสมควรจบลงแค่นั้น แต่แล้ว กลับเกิดเหตุการณ์พลิกผัน เพียงแค่ทั้งสามกำลังหันกายจะจากไป โจวจู๋ที่สมควรนอนหมดสติอยู่กับพื้นตรอก กลับย้ายตำแหน่งไปดิ้นทุรนทุรายอยู่ข้างๆเตาไฟที่กำลังสุมหลอมเหล็กขึ้นรูปในเพิงหลอมอาวุธ ขาขวาโดนเหล็กหลอมร้อนๆเผาไหม้จนเนื้อยุ่ยสลาย และเหล็กหลอมบางส่วนยังกระเด็นไปโดนดวงตา กับใบหน้าจนยับเยิน หมดสิ้นความหล่อเหลาไปด้วย
พวกโจโฉทั้งสามรีบพาตัวไปให้หมอมีฝีมือช่วยรักษาบาดแผล แม้ว่า ชีวิตรอดปลอดภัย แต่รูปโฉมไม่อาจกลับคืน ซ้ำยังพิกลพิการที่ขาขวา จนเดินกระเผลกเป็นคนขาเป๋ไปแล้ว ดูไปย่อมไม่รักษาตำแหน่งการงานไว้ได้ ตัวโจโฉเอง สะเทือนใจในชะตากรรมฝ่ายตรงข้าม แบกรับความผิดไว้คนเดียว และขอลาออกจากราชการ มุ่งหน้าสู่บ้านนอกเช่นเดิม
แต่แล้ว ฝ่ายโจวจู๋ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน สรุปว่า เหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนั้น ทำให้วงการราชการต้องสูญเสียเจ้าหน้าที่ฝีมือดีไปถึงสองคน แต่ก็เป็นสาเหตุให้อ้วนเสี้ยว กับซุนเกี๋ยน กลายเป็นดาวเด่นดวงใหม่ในวงราชการเมืองหลวงไปในทันที
จนเรื่องราวผ่านไปหลายปี อ้วนเสี้ยว เพื่อนรักผู้ทรงอิทธิพลเริ่มมีตำแหน่งการงานมั่นคง จึงค่อยเชื้อเชิญโจโฉกลับมาเข้ารับราชการทหารอีกครั้ง ทำให้โจโฉขาดอายุงานไปนาน และมีตำแหน่งการงานล่าช้ากว่าเพื่อนรักทั้งสองอยู่ชั้นหนึ่ง
โจโฉเริ่มเหงื่อแตก กังวลใจในท่าทีของโจวจู๋เสียยิ่งไปกว่าทายาทลิแปะเฉียเสียอีก เพราะโจวจู๋มีความแค้นเชื่อมโยงไปถึงนางคนรักด้วย จึงรีบร้องห้ามปรามไว้ “ท่านหัวหน้า ค่อยๆลงมาพูดจากันก่อนเถอะ นางยังบาดเจ็บสาหัสอยู่”
โจวจู๋กลอกตาที่เหลือเพียงข้างเดียววูบหนึ่ง กลับแสยะยิ้มจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็น ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม “อ้อ ในเมื่อนางบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ก็จงรีบไปเกิดใหม่เสียเถิด” ว่าแล้ว พ่อบ้านแห่งหุบเขาถึงกับผลักไสนางซัวบุ้นกี และฟันซ้ำด้วยหนึ่งดาบเข้าที่กลางหลังตามมา ทำให้ร่างหญิงสาวตกลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ พร้อมบาดแผลลึก สุดวิสัยที่ใครๆจะช่วยไว้ได้ทัน
โจโฉสุดแสนจะเสียใจ รีบพุ่งตัวไปรับร่างของนางเอาไว้ก่อนจะตกลงถึงพื้นดิน เหล่าทหารอารักขาไม่ต้องรอคำสั่ง รีบระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่โจวจู๋ ตัวการ จนร่างที่ผอมซูบติดตรึงอยู่บนต้นไม้ ตายคาที่ไปในทันที
โจโฉเห็นกลางหลังคนรักชุ่มโชกด้วยเลือด ใบหน้าขาวซีด ลมหายใจขาดห้วง จึงตัดสินใจกวักมือเรียกหาหมอฮัวโต๋ให้เข้ามาช่วยดูอาการ แล้วจดจ่ออยู่กับอาการของคนรัก แต่แล้ว กลับได้ยินเสียงระเบิดตูมใหญ่ที่กำแพง พอมองออกไป กลับเป็นเด็กน้อยตังชงที่วิ่งตรงเข้ามาเพียงผู้เดียว ไม่เห็นเงาร่างของหมอเทพยดาแล้ว
“ท่านลุงบอกว่า อาการท่านแม่สาหัสนัก ไม่มีทางช่วยเหลือได้แล้ว จึงให้ข้าเลือกว่าจะพบหน้าท่านแม่เป็นครั้งสุดท้าย หรือจะหลบหนีไปกับท่าน” ตังชงร่ำไห้พลางบอกเล่าความให้โจโฉ ทั้งๆที่สายตาจับจ้องอยู่ที่มารดาของตนเอง
เมื่อโจโฉสำรวจดูทั่วบริเวณ พบเห็นเพียงซากศพของสองผู้เฒ่าพิงกำแพงเช่นเดิม และอิกิ๋มที่นอนนิ่งห่างออกไป โดยมีทหารสองสามคนเข้าไปดูอาการอยู่ ส่วนพวกหมอฮัวโต๋กับบัณฑิตหนุ่มกลับหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ทหารอารักขารีบรายงานว่า อิกิ๋มและบัณฑิตหนุ่มต่อสู้กันไปมายังไม่แพ้ชนะกัน แต่แล้ว เห็นเงาร่างของชายหญิงในชุดชาวบ้านแยกย้ายกันลงมือ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ฟันใส่ต้นคอทั้งสองจนสลบไสลในทันที แล้วอุ้มเอาไปเฉพาะตัวบัณฑิต ท้ิงอิกิ๋มไว้กับพื้นเพียงคนเดียว หลบหนีหายเข้าไปในทางลับที่ผนังกำแพง พร้อมกับท่านหมอ แล้วก็เกิดระเบิดขึ้น ทำลายเส้นทางการติดตามไปแล้ว
“พี่เมิ่งเต๋อ..” เสียงเบาบางจากซัวบุ้นกีดังขึ้น โจโฉรีบรวบรวมสติ กุมมือคนรักเพื่อฟังคำสั่งเสียสุดท้าย “ชงน้อย ที่จริงคือ ลูกชายพยานรักของท่าน เรากับตังกี๋เป็นเพียงสามีภรรยากันในนาม เพราะตัวมันป่วยไข้เรื้อรัง ไม่อาจมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาได้ ต่อไปจากนี้ ท่านจงดูแลมันเป็นอย่างดีแทนข้าด้วย”
สิ้นคำสั่งเสีย นางซัวบุ้นกี ผู้อาภัพต่อความรักอีกคนหนึ่งก็หมดสิ้นลมหายใจไป ตังชงร่ำไห้ไม่ส่งเสียงใดๆ ปล่อยให้โจโฉนิ่งตะลึงไปพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลรินไปตามใบหน้า
“บุ้นกีเอย เจ้าทำร้ายข้าสาหัสนัก เรื่องเช่นนี้กลับปิดบังเสียเนิ่นนาน จนข้าเกือบจะทำร้ายเชื้อสายของตัวเองเสียตั้งหลายครั้งแล้ว มิน่าเล่า ฮัวโต๋ถึงได้ยินยอมปล่อยตัวชงน้อยกลับมา เพราะมันก็คงรู้ดีว่า ชงน้อยนี้ คือ ทายาทของคนแซ่ใด เช่นกัน” ภาพเหตุการณ์คับขันหลายครั้งที่เกิดขึ้นกับซัวบุ้นกี ตังชง ล้วนผุดขึ้นในความคิดของโจโฉ จนสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก
“ชงน้อย ต่อไปเจ้าจงใช้แซ่ตามบิดา เจ้าคือ โจชง ลูกชายอันเป็นที่รักของวุยก๋ง โจโฉ จงจดจำไว้ให้ดี และยืนหยัดต่อไปเพื่อแม่คนเก่งของเจ้า” โจโฉกระตุ้นเตือนโจชงในช่วงเวลาสำคัญแห่งชีวิต เพื่อให้ลูกชายคนนี้จดจำได้อย่างแม่นยำ
เสียงโห่ร้องเข่นฆ่า พร้อมเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งทางฝั่งแม่น้ำ กองทหารเร็วรีบเข้ามารายงานสถานการณ์ให้โจโฉ และอิกิ๋มที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว “มีเรือรบด่วนใช้ธงรูปพยัคฆ์สีเขียวหลายสิบลำกำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางนี้ คาดว่า จะเป็นกำลังเสริมของฝ่ายตรงข้าม โปรดสั่งการด้วย”
โจโฉตาลุกวาว ธงพยัคฆ์หยกสมควรจะเป็นฝ่ายกังตั๋ง ในเมื่อที่นี่เป็นแหล่งกบดานของสองผู้อาวุโสกังตั๋ง หรือว่า ครั้งนี้ ซุนกวนจะลงมือเอง แต่แล้ว เมื่อกวาดตาดูกองกำลังฝั่งของตนเอง อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการสู้รบครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจล่าทัพไปก่อน “รีบล่าถอยขึ้นเรือ กลับอ้วนเซียโดยด่วน”
สายตาของโจโฉ โจชงพ่อลูกประสานกัน พลางมองไปยังซากศพของโจวจู๋อีกครั้งด้วยความเคียดแค้น “หุบเขาละทิ้งอดีต เฮอะ สังหารเชลยที่ถูกจับกุมทั้งหมด และเผาที่นี่ให้หมดสิ้น เริ่มจากต้นไม้ใหญ่ต้นนี้” โจโฉสั่งการ แล้วโอบอุ้มร่างไร้ชีวิตของคนรัก พยักหน้าให้โจชงรีบเร่งฝีเท้า หลบหนีไปขึ้นเรือของฝ่ายตนเองไปโดยเร็ว ก่อนที่กองเรือฝ่ายตรงข้ามจะมาถึง
ในขณะที่ทุกคนกำลังล่าถอยกลับสู่ท่าเรือ เงาร่างผอมซูบพลันโฉบเข้าใส่โจโฉที่กำลังโอบอุ้มซัวบุ้นกีด้วยตนเองอีกครั้ง เป็นเงาร่างของโจวจู๋ที่บาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ยอมตาย ถึงกับใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย รอคอยจังหวะลงมือล้างแค้นให้จงได้ ดาบที่เมื่อครู่ฟันใส่นางซัวบุ้นกีถูกผนึกกับร่างของโจวจู๋คล้ายเป็นหนึ่งเดียวกัน พุ่งเข้าใส่โจโฉที่หันหลังให้แบบไม่ให้ทันตั้งตัว
มิคาด เด็กน้อยโจชงยังเคียดแค้นไม่หาย หันกลับมามองซากร่างที่ติดตรึงบนต้นไม้นั้นอีกครั้ง ทันเห็นการประทุษร้ายของศัตรูผู้สังหารมารดา จึงรีบทิ้งตัวกระแทกร่างโจโฉให้พ้นรัศมีการสังหารได้อย่างหวุดหวิด โจวจู๋ทุ่มสุดตัวจึงได้แต่กลิ้งไปตามพื้นดิน ไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้ เปิดโอกาสให้ทหารองครักษ์ช่วยกันรุมสับสังหารนักพรตอัปลักษณ์ จนร่างกายยับเยินคาที่ ไม่อาจรอดชีวิตได้อีกแล้ว
โจโฉตั้งสติได้แล้ว จึงโอบประคองเด็กน้อยโจชงที่เพิ่งช่วยชีวิตมันไว้จากประตูนรก “ชงน้อย เจ้าทำคุณอย่างใหญ่หลวง ข้าสาบานว่า จะส่งเสริมเจ้าให้ถึงที่สุด”
ซุนกวนยืนมองดูกองเพลิงที่ตัดกันกับท้องฟ้ายามสาย ตรงหน้าหุบเขาละทิ้งอดีตด้วยความแค้นเคืองใจ ถึงแม้ผู้ตายจะเป็นเพียงมารดาบุญธรรม แต่ก็เป็นผู้ที่เฝ้าเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กๆ จึงผูกพันกันไม่น้อย มันจึงยอมละทิ้งโอกาสตามล่าศัตรูเพื่อเข้ามาให้การช่วยเหลือสองผู้เฒ่าก่อน
แต่ชีเซ่ง เตงฮองที่บาดเจ็บสาหัส กำลังรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ท่านผู้เฒ่าทั้งสองล้วนสิ้นใจตายไปเสียแล้ว คนทั้งสองเห็นกับตา หากแต่ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน จึงได้แต่กล้ำกลืนความอัปยศ ยอมรักษาชีวิตเพื่อมาบอกเล่าเหตุการณ์ให้เจ้านายรับฟังความจริงที่เกิดขึ้น
“โจโฉเป็นต้นเหตุนำความพินาศมาสู่หุบเขาละทิ้งอดีต มันคือศัตรูคู่แค้นของพวกเราชาวกังตั๋งแล้ว” พยัคฆ์น้อยแห่งกังตั๋งตาลุกวาว สะท้อนกับเปลวไฟที่ยังลุกโชติช่วงอยู่ จนไม่แน่ใจว่า เพลิงที่กำลังเผาทำลายหุบเขาหรือเพลิงอาฆาตในใจคนจะร้อนแรงไปกว่ากัน สกุลโจและสกุลซุนเกิดเรื่องพัวพันกันไม่สิ้นสุดจริงๆ
บังเต๊กกงหยุดม้า มองดูเปลวควันไฟที่พุ่งขึ้นจากทิศทางที่สมควรเป็นหุบเขาละทิ้งอดีต พลันรับรู้ได้ทันทีว่า เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเสียแล้ว แทนที่จะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดิม บังเต๊กกงจึงบังคับม้าออกนอกเส้นทางหลวง ตัดเข้าสู่ป่าลึกแทน เป็นเส้นทางลับที่พวกคนครัวมักใช้กันตอนออกไปหาของป่า หรือซื้อของจากหัวเมืองใกล้เคียง
เมื่อพบเห็นกระท่อมรกร้างซึ่งสร้างไว้ปิดบังทางลับ จึงรีบผูกม้าไว้แต่ไกล แล้วค่อยพุ่งตัวเข้าไปยังประตูกล แต่แล้ว กลับได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว คล้ายระเบิดดังขึ้นมาจากภายใน บังเต๊กกงฉุกคิดขึ้น จึงคว้าชุดฟางแบบชาวนาข้างกาย แล้วลอยตัวขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนขื่อคา รอคอยว่า เป็นผู้ใดกำลังใช้เส้นทางลับหลบหนีออกมาจากรังใหญ่ของมัน อาจจะเป็นมิตรหรือศัตรูที่จะมาพบเจอในทางแคบครั้งนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา