28 ก.ค. 2021 เวลา 23:13 • นิยาย เรื่องสั้น
5.16. เรื่องเล่าคนรู้แจ้ง
ซุนกวน ผู้นำสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก- จิวท่าย องครักษ์ภูษาเหล็ก - อิกิ๋ม ขุนพลเสือขาว
นกฮูก-ฮัวโต๋ หัวขวาน-ม้ากิ๋น นางแอ่น-เตียวหุย และเหยี่ยวดำ มือดีจากหน่วยปักษาสวรรค์ทั้งสี่ นำพาร่างที่สลบไสลของเภาเจ๋ง ลกซุน และเตียวซิงไช่ เตียวซิงเหอ ทารกฝาแฝดทั้งสอง กึ่งวิ่งกึ่งเดินหลบหนีความร้อน และควันไฟจากการเผาไหม้ครั้งใหญ่ไปตามถ้ำลับที่คับแคบอย่างรีบเร่งแข่งกับเวลา
หัวขวาน มีแต่หอบหิ้วสัมภาระไร้ชีวิต รั้งท้ายอย่างจงใจ เพื่อขว้างระเบิดอัคคีไปทางด้านหลังเป็นระยะๆ ถล่มถ้ำหินลงมาปิดเส้นทางติดตาม และชะลอความร้อนกับควันไฟที่รุกไล่ตามเส้นทางถ้ำไปในตัว ความเป็นนักประดิษฐ์อัจฉริยะทำให้มันนึกวิธีการซื้อเวลาได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับความตาย หากหนทางข้างหน้าตีบตัน
กว่าทั้งหมดจะโผล่ออกมาพ้นจากถ้ำลับคับแคบที่เส้นทางซับซ้อนผ่านภูเขาออกมาได้ ก็กินเวลาไปจนใกล้เที่ยงแล้ว ทำให้ทั้งหมดเหนื่อยล้าเต็มทน ยังดีที่ทารกน้อยทั้งสองนอนหลับสนิท ไม่ก่อกวนเรื่องราวเพิ่มขึ้นไปด้วย
หัวขวานสำรวจประตูกลไกพบว่า ปากทางออก ถึงกับเป็นส่วนหนึ่งของห้องครัวใหญ่ภายในกระท่อมชาวนาหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยหยากไย่รกร้าง และเศษใบไม้เหี่ยวแห้ง เครื่องมือเครื่องใช้วางกระจัดกระจาย คล้ายปราศจากคนดูแลมานาน
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะได้ทันตั้งตัวปรับสายตาเข้ากับแสงแดดจ้า เงาร่างสายหนึ่งกลับทิ้งตัวห้อยหัวลงมาจากขื่อคาด้านบน สะกดจุดนางแอ่นที่โอบอุ้มทารกซิงเหอ ซิงไช่ และเหยี่ยวดำที่อุ้มร่างของเภาเจ๋งไว้ได้โดยง่ายดาย เพราะฝ่ายตรงข้ามเลือกจู่โจมมาจากมุมที่อับสายตา และฝ่ายตนเองก็เคลื่อนไหวไม่ถนัดจากการโอบอุ้มผู้อื่นอยู่ จึงเหลือเพียงนกฮูกที่ยังประคองร่างลกซุน และหัวขวานที่รีบวางถุงสัมภาระใหญ่ลงโดยเร็ว เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
“วิทยายุทธ์ของเจ้าทั้งสองต่ำต้อยนัก ไม่อาจเป็นคู่มือต่อต้านข้าได้ดอก” เสียงยะเยียบดังออกจากคนในชุดเสื้อฟางชาวนา มีหมวกปีกกว้างบังลมปกปิดใบหน้าไว้ ดูแล้วคงจะเพิ่งหยิบยืมมาจากกระท่อมรกร้างแห่งนี้เอง เพราะยังคงมีฝุ่นผงค้างคาอยู่ประปราย ชายลึกลับพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้นกฮูกและหัวขวานขยับกายออกจากพวกที่เหลือ เพื่อไม่ให้มีโอกาสได้ช่วยเหลือกัน นกฮูกคล้ายยอมรับชะตากรรม วางร่างลกซุนลงกับพื้นดิน และขยับเข้ารับทารกน้อยทั้งสองมาจากนางแอ่นมาดูแลแทน
“ตอนแรก ข้าคิดจะเข้าไปในหุบเขาละทิ้งอดีต เพื่อติดตามสถานการณ์ความคืบหน้า ไม่คาดคิดว่า จะพบกับตัวการที่ทำให้หุบเขาของข้าต้องถูกเผาทำลายในครั้งนี้ แต่ก็ไม่เลวนัก ข้าจะได้สะสางเรื่องราวกับพวกเจ้าโดยไม่มีใครล่วงรู้ ฮาฮ่าฮ่า”
หัวขวานรับฟังคำพูดของชายลึกลับด้วยความตื่นเต้นตกใจ พลางอุทานสวนขึ้นในทันที “เจ้าน่ะหรือ คือ บังเต๊กกง ประมุขนิกายแสงจรัส”
“ไม่เลว ไม่เลว เก่งมากที่คาดเดาเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้ากำลังจะต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันสมควรแล้ว” ชายลึกลับไม่ปฏิเสธ เหมือนยอมรับโดยดีว่า มันคือ บังเต๊กกง ด้วยความที่ถือไพ่เหนือกว่า จึงคล้ายไม่แยแสต่อนกฮูกกับหัวขวานมากนัก สายตาภายใต้หมวกปีกกว้างยังคงจ้องมองไปทางนางแอ่นและเหยี่ยวดำที่มีวิทยายุทธ์สูงเสียมากกว่า
นางแอ่นกับเหยี่ยวดำถูกสกัดจุดไม่อาจขยับเขยื้อน แต่ปากยังคงเจรจาได้อยู่ เหยี่ยวดำปิดปากเงียบตามอุปนิสัย แต่นางแอ่นในคราบหญิงสาวกลับชวนให้สนทนาต่อ “ท่านวางแผนมากมายซับซ้อน หมายจะจับตัวโจโฉ น่าเสียดายที่ผิดพลาดล้มเหลวในนาทีสุดท้าย จนสูญเสียกองทัพธรรม และกองทัพฟ้าเหลืองไปไม่น้อย ตัวการสำคัญอย่างเล่าเจี้ยง เล่าฉวน และเตียวเฟิง ลิเจียง ก็ล้วนตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว”
“ข้าจัดฉากวุ่นวายให้กับคนในนิกายนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่โจโฉเพียงประการเดียว ที่จริง การจับตัวโจโฉเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ ให้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาติดกับดักต่างหาก กลุ่มคนที่มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างปัญหาให้กับข้าต่างหาก” บังเต๊กกงยังคงอธิบายเพิ่มเติม
นางแอ่นและพวกตาลุกวาว บังเต๊กกงคือใครกัน ถึงได้ล่วงรู้ว่า มีกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ซึ่งก็คือ หน่วยปักษาสวรรค์ของพวกมันได้เล่า นอกเสียจากว่า ... “ท่านคือสมาชิกขององค์กรย้อนเวลาฯ หรือองค์กรป่วนอดีตฯ”
“ความฉลาดของเจ้า น่าจะอยู่ในระดับขงเบ้ง บังทอง ไม่ควรมารับบทบาทเป็นแค่เตียวหุยเลยนะ นางแอ่นน้อย” บังเต๊กกงบิดตัว เร่ิมผ่อนคลายมากขึ้น ยอมเปิดเผยเรื่องราวความลับออกมาเรื่อยๆ “องค์กรที่พวกเจ้าได้รับการบอกเล่าว่าเป็นสององค์กรขับเคี่ยวกันมาเนิ่นนานหลายครั้งในหลายๆเหตุการณ์ในอดีตนั้น ที่จริงก็คือองค์กรที่มีรากเหง้าเดียวกันนั่นแหละ พวกมันจัดฉากหลอกลวงขึ้น เพื่อให้บุคคลสำคัญคนหนึ่งย้อนอดีตกลับมาให้ถูกที่ ถูกเวลา ตามที่พวกมันค้นพบหลักฐานโบราณเท่านั้นเอง พวกมันยอมทุ่มเทการย้อนเวลามาปรับแก้ประวัติศาสตร์กัน ที่จริง ก็เพื่อคนคนนั้น แต่กลับสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับแผ่นดิน และผู้คนตั้งมากมาย ที่ข้ารู้ชัดเจนเพราะข้าคือสมาชิกคนหนึ่งที่ก่อตั้งโครงการทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองกับมือ”
จนถึงบัดนี้ เหยี่ยวดำที่นิ่งเงียบมานาน ค่อยกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ “บังเต๊กกงคือนกกระเรียน ลำดับสองของหน่วยปักษาสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเรานั่นเอง” คนทั้งหมดตื่นตะลึงในคำกล่าวของเหยี่ยวดำ และได้รับการยืนยันด้วยเสียงหัวร่ออันดังของบุคคลปริศนา
“ฮาฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ข้าคือ ผู้เฒ่ากระเรียน คนตายที่ฟื้นคืนมาหลอกหลอนพวกเจ้า คงไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถสกัดจุดพวกเจ้าสองคนได้ในกระบวนท่าเดียวดอก” บังเต๊กกง หรือ เฒ่ากระเรียน ยอมเผยโฉมหน้าออกมาแล้ว จึงปลดหมวกปีกกว้าง และถอดชุดเสื้อฟางออก เห็นเป็นอดีตนักพรตชราในชุดรัดกุม ใบหน้าดูแก่กร้านขึ้นกว่าที่เคยเป็น และผมเผ้าที่ขาวโพลน แทนผมสีดอกเลาที่ทุกคนคุ้นตา
ผู้วิเศษกระเรียนที่ใครๆคิดว่า ถูกกระสา-อ้วนเสี้ยวฆ่าตายในการลอบสังหารที่ล้มเหลว เหยี่ยวดำเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เป็นพยานยืนยันมาโดยตลอด ดังนั้น จึงไม่เคยมีใครสงสัยเคลือบแคลงในเรื่องนี้มาก่อน
กระเรียนเว้นจังหวะหายใจ แล้วค่อยกล่าวต่อ “เอาเถิด ข้าจะเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังไว้สักครา เพื่อเป็นบทส่งท้ายให้กับหน่วยปักษาสวรรค์”
กระเรียน ลำดับสองแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้ง รับภารกิจมาในยุคอดีตกาลนี้มาก่อนคนอื่นๆ เพื่อมาสวมบทบาทเป็นอาจารย์ ผู้กำหนดชะตาชีวิตให้กับเตียวก๊ก ตั๋งโต๊ะ และสุมาเต๊กโช ต้นกำเนิดความวุ่นวายของแผ่นดินฮั่น
เมื่อภารกิจแรกเสร็จสิ้น เขาก็ใช้เวลาอีกหลายปีที่จะวางรากฐานความคิดต่อไปในบทบาทของผู้วิเศษลึกลับ และราชครูตามพื้นที่ชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะเผ่าเย่ทางด้านใต้ ขุมกำลังที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฝ่ายกังตั๋งมาโดยตลอด
กระเรียนมีอายุมากขึ้นตามเวลาจริงที่ผ่านไปอย่างเดียวดาย จึงเริ่มติดสุราอย่างหนัก และใช้เวลาว่างในการเสาะแสวงหาประสบการณ์ที่ตนเองสนใจใฝ่รู้ ครั้งหนึ่ง เขาจึงเดินทางมายังเมืองหลวง อาศัยเครื่องอำพรางกาย แอบสำรวจชีวิตในวัยหนุ่มของโจโฉ อ้วนเสี้ยว และซุนเกี๋ยน แต่ก็บังเอิญที่พบกับเหตุการณ์ที่สามสหายวัยร้อนแรง กำลังรุมซ้อมหัวหน้าโจวจู๋ในยามราตรีเข้าพอดี
ขณะที่พวกโจโฉวางใจหันหลังจากไป โจวจู๋ที่แกล้งหมดสติ รอคอยจังหวะโต้กลับ จึงตรงไปคว้าเหล็กดาบที่กำลังถูกหลอมจากเพิงหลอมอาวุธข้างทาง หมายจะเหวี่ยงไปสังหารฝ่ายตรงข้าม กระเรียนที่อยู่ในสถานะอำพรางกาย จึงตัดสินใจพุ่งตัวไปปัดมือให้เสียจังหวะ แต่ด้วยความมึนเมาอยู่หลายส่วน ควบคุมจังหวะไม่ได้ กลับทำให้โจวจู๋เสียหลัก กระแทกโดนเตาหลอมล้มลง เหล็กหลอมกระเด็นใส่ใบหน้า และร่างกาย จนทำให้ใบหน้าเสียโฉม ตาบอดไปข้างหนึ่ง และขาเสียไปข้างหนึ่ง กลายเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนระบบราชการของเมืองหลวงไปในภายหลัง
กระเรียนสำนึกเสียใจในการกระทำผิดครั้งนั้นอย่างมาก จนสูญเสียตัวตนความเชื่อมั่นที่มี จึงคิดจะละทิ้งเรื่องราวทั้งปวง ใช้สุราเป็นเครื่องปลดปล่อยความกลัดกลุ้ม เดินทางเปะปะออกนอกด่านไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อเยียวยาบาดแผลในใจของตนเอง และที่นั่น ก็ได้พบกับประสบการณ์ลึกลับ ที่อาจจะเรียกได้ว่า ประสบการณ์หลังความตาย
ครั้งนั้น กระเรียนนั่งดื่มสุราเมามายอยู่บนหลังอูฐปะปนไปกับขบวนพ่อค้าต่างถิ่นที่นับถือนิกายบูชาไฟ เดินทางไปบนเส้นทางทะเลทรายใหญ่ (เส้นทางสายไหม) ท่ามกลางลมร้อนทรายระอุ ลำพังสุราก็ทำร้ายผู้คนยิ่งนักแล้ว ยังซ้ำเติมด้วยแสงแดดแรงกล้า ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ารุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยิ่งกระหายน้ำมากขึ้น กลายเป็นวงจรกระตุ้นให้มันดื่มสุราหนักหน่วงจนเกินไป
มันทั้งอ่อนล้า ทั้งมึนเมา ควบคุมสติไม่อยู่ จนตำแหน่งค่อยๆถดถอยมารั้งอยู่ท้ายขบวน แล้วตัวมันพลัดหล่นไปจากพาหนะในที่สุด แต่อูฐหนุ่มยังคงสดชื่นเข้มแข็ง มุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจ ทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่าตัวมันฟุบร่างลงไปกับกองทรายที่นั่น จนเวลาผ่านไปถึงยามสนธยา คล้ายสว่าง คล้ายมืด
ขณะที่ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี แล้วจู่ๆ กลับมีแสงประหลาดเจิดจ้าสายหนึ่งส่องตรงมายังตัวมัน พร้อมกับเสียงนุ่มนวลที่กังวานชัดเจนว่า “จงตื่นขึ้นเถิด ท่านคือผู้ที่ถูกเลือกแล้ว”
มันรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว และมีเทวทูตสองตนบินมาประคองร่างให้ นอนลอยไปตามลำแสงประหลาดขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เริ่มมืดสนิท ลำแสงที่ห่อหุ้มตัวมัน ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้มันสัมผัสกับความรู้สึกปลดปล่อย และเผลอตัวหลับไปไม่ทันรู้ตัว
เมื่อมันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาที่จุดเดิมในเช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนพ่อค้าต่างถิ่น นับว่ามีน้ำใจสูงส่ง ถึงกับย้อนกลับมาช่วยเหลือมันไว้ โดยบอกเล่าว่า ไม่เคยมีใครสามารถรอดชีวิตจากการนอนหมดสติข้ามคืนบนกองทรายเช่นนั้นได้มาก่อน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับขบวนอื่น ก็คงถูกละทิ้งไปแล้ว แต่ด้วยความที่ผู้ร่วมขบวนพ่อค้านี้ล้วนเป็นผู้เคร่งต่อนิกายบูชาไฟในต่างแดน จึงมีศรัทธาต่อชีวิต และเชื่อมั่นต่อชะตากรรม จนยอมเสียเวลาย้อนกลับมาตรวจดูสักครา
กระเรียนจึงขบคิดเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์แสงประหลาดนั้น และบังเอิญ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นทราย สะท้อนเข้าสู่สายตาของมัน ทำให้มันเกิดสภาวะ “รู้แจ้ง” ขึ้นได้ในทันที
นัยน์ตาของบังเต๊กกงหรือ เฒ่ากระเรียนเลื่อนลอยไปตามความคิด จนพวกนกฮูกต่างไม่กล้าออกเสียง ปล่อยให้ “คนที่รู้แจ้ง” ได้ปลดปล่อยอดีตภายหลังความตายออกมาให้มากที่สุด เพื่อรับรู้ความคิดและประสบการณ์ของฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ เพราะเรื่องราวอาจจะเกี่ยวพันถึงชะตากรรมของผู้คนจำนวนมากมาย
ลกซุนที่ทอดกายอยู่กับพื้นดิน ค่อยๆฟื้นสติ ลืมตาขึ้นช้าๆ แต่เหยี่ยวดำที่ถูกสะกดจุด รีบขยิบตาสะกดไว้ ลกซุนรับรู้ว่าเกิดเรื่องราวสำคัญ จึงแกล้งนิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนนี้คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านอาเหยี่ยวดำขัดขวางการลงมือกำจัดศัตรูคู่แค้นของตนเอง
มันหรี่ตาดูสถานการณ์ไปรอบๆ ปล่อยให้ชายชราแปลกหน้าที่ใช้ชื่อ ผู้เฒ่ากระเรียน แห่งหน่วยปักษาสวรรค์ เล่าเรื่องราวต่อไป
ประเด็นที่กระเรียนหนุ่มใหญ่ค้นพบในครั้งนั้น ก็คือ ภารกิจโครงการสามก๊กที่ตัวมันเชื่อมั่นมาโดยตลอดนั้น เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป จากเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเนื่อง ราวกับการโยนก้อนหินลงในบึงน้ำ จนเกิดระลอกน้ำกระจายเป็นวงกว้าง หากจัดการถูกต้อง ก็แล้วไป แต่หากผิดพลาด จะทำให้ประวัติศาสตร์พลิกผันไป อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโจวจู๋ ผู้วิเศษที่ส่งผลกระทบต่อวงการราชการเมืองหลวงในครั้งนั้น
ในเมื่อตัวมันคือผู้ที่ถูกเลือก มันจึงควรควบคุมให้เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย และรวบรัดที่สุด เพื่อลดผลกระทบที่ตามมา สรุปง่ายๆก็คือ แทนที่จะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็เพียงควบคุมสถานการณ์ และกำจัดเฉพาะคนสำคัญที่ทำให้เกิดผลกระทบออกไป เพื่อให้เหตุการณ์เบาบางลงไปเท่านั้นเอง
ใช่แล้ว สิ่งที่กระเรียนค้นพบ ก็คือ สมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์ นี่แหละที่เป็นตัวก่อปัญหา และส่วนเกินของประวัติศาสตร์ การกำจัดหน่วยปักษาสวรรค์ให้หมดสิ้น จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด และเพื่อสานต่อเจตนารมณ์แห่งฟ้า มันจึงจะปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่ “เคยเป็น” ในประวัติศาสตร์ แล้วสุดท้าย มันค่อยกำจัดส่วนเกินกลุ่มนี้ จนไม่มีใครทันสังเกตว่า มีการแทรกแซงเกิดขึ้นแล้ว
ดังนั้น มันจึงต้องการสร้างขุมกำลังลับที่เข้มแข็งมาเสริมทัพ โดยเริ่มต้นจากศิษย์คนโต เตียวก๊ก จอมโจรแห่งเมืองเสเหลียง ศิษย์คนรอง ตั๋งโต๊ะ นายทหารใหญ่แห่งเมืองหลวง และศิษย์คนเล็ก สุมาเต๊กโช ปราชญ์เต๋าแห่งแผ่นดิน นั่นเอง ส่วนอำนาจที่เหนือกว่านั้น มันกลับมองสูงขึ้นไปถึงสามพี่น้องเชื้อพระวงศ์ตระกูลเล่า เล่าเปียว เล่าเจี้ยง และเล่าฉวน ซึ่งเพิ่งหลุดออกจากวังวนอำนาจในเมืองหลวงไปแล้ว
จากการตัดสินใจครั้งนั้นเอง ราชวงศ์ฮั่นจึงเริ่มต้นเค้ารางแห่งความเสื่อมสลาย กระเรียนเฝ้ามองดูอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ให้แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เจ้านครตั้งตนเป็นอิสระ สร้างความวุ่นวายยุ่งเหยิงต่อกันมานานเป็นสิบๆปี จนบัดนี้ เหลือเพียงแค่สามฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลฮั่นอันเหลวแหลกของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ที่ถูกโจโฉครอบงำอยู่ ฝ่ายขบถปฏิวัติที่นำโดยเชื้อพระวงศ์พลัดถิ่น เล่าปี่ และฝ่ายที่ไร้ความชัดเจนทางการเมือง แต่มุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยทายาทขุนนางเก่าและศิษย์เอกเจ้าพ่อการค้า ซุนกวน
มาถึงบัดนี้ ใครจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าชีวิต ก็ไม่มีใครใส่ใจแล้ว กระแสการเมืองขึ้นลงมาหลายระลอกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้น-ลิโป้ ลิฉุย-กุยกี จนมาถึงโจโฉ หรือแม้แต่ม้าเท้งที่ปลอมตัวมา สะสมความเคยชินให้กับขุนนางชาวบ้านส่วนใหญ่ จนคล้ายกับเบื่อหน่ายต่อสงคราม จนพร้อมที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อแลกกับความสุขสงบของบ้านเมือง คงเหลือเพียงคนกลุ่มน้อยที่ยังคงขัดขืน มันจึงเริ่มแผนการช่วงสุดท้าย
“ดังนั้น ท่านจึงครอบงำความคิดบุคคลยุคเก่าทั้งหลายให้พลอยหลงเชื่อ และยกย่องให้ท่านเป็นผู้นำนิกายแสงจรัสเช่นนั้นหรือ” นางแอ่น ยังต้องการถ่วงเวลาต่อไป
“กลุ่มคนในยุคสมัยโบราณสามารถชักจูงได้ไม่ยาก คนทุกคนล้วนมีบาดแผลในจิตใจ เพียงปรับใช้ความรัก ความโกรธ ความหลง และความกลัว ให้ถูกจังหวะ ก็ครอบงำคนเหล่านี้ได้แทบหมดสิ้นแล้ว โดยเฉพาะพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์ก้อนใหญ่โดยตรง” เฒ่ากระเรียนแสยะยิ้มอย่างลึกลับน่ากลัว เมื่อกล่าวถึงวิธีการครอบงำเหล่าผู้นำทั้งหลายให้อยู่ใต้อำนาจของมัน
รัก โกรธ หลง กลัว อคติทั้งสี่ตามคำสอนของพุทธศาสนา เป็นการอธิบายให้เข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีกิเลส แต่กระเรียนเฒ่าที่อ้างตนเองว่า “รู้แจ้ง” กลับนำเอาคำสอนมาปรับใช้สร้างอาวุธอันทรงพลังไปควบคุมผู้คนเข้านิกายมารไปเสียแล้ว
“ที่จริง ท่านหมายหัวพวกเรา ไยต้องยุ่งยากสร้างเครือข่ายใหญ่โตให้วุ่นวาย เพียงลอบจู่โจมจากด้านข้าง มิได้หรือ” เหยี่ยวดำพยายามทำความเข้าใจ ในฐานะที่เคยร่วมภารกิจเสี่ยงตายกับเฒ่ากระเรียนมาหลายครั้ง หากกระเรียนพลิกมีดดาบใส่ตนเองจริงๆ ก็คงตายอย่างโง่งมไปหลายคราแล้ว
“เพราะพวกเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ในช่วงแรกนี้ หากรีบกำจัดไปเสียก่อน สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ควร ดังนั้น ข้าจึงต้องปล่อยให้พวกเจ้าเล่นบทบาทให้เต็มที่ไปถึงช่วงเวลาที่อาณาจักรทั้งแผ่นดิน ลดเหลือเพียงสามฝ่ายเช่นนี้” กระเรียนมองคนที่เคยเป็นทั้งลูกศิษย์และเพื่อนร่วมตาย พลางนึกถึงอดีตอันสับสนของตนเองอีกครั้ง
กระเรียนใช้เวลาที่เหลือ ผลักดันให้เกิดความขัดแย้งตามจุดต่างๆ โดยมันคอยควบคุมไม่ให้ไฟสงครามมอดดับ หรือลุกลามรวดเร็วเกินไป ลูกศิษย์ทั้งสามกลายเป็นตัวละครชั้นดีที่มันเสี้ยมให้ต่อสู้กันเองในฐานะที่แตกต่างกัน พรรคฟ้าเหลืองและกองทัพฮั่นกลายเป็นคู่ต่อสู้หลัก ในขณะที่เครือข่ายสุมา กองทัพธรรม และขุมกำลังอื่นๆ คือหมากลับที่มันสามารถหยิบมาใช้เติมเชื้อไฟสงครามได้ไม่สิ้นสุด
และแล้ว การปรากฏตัวของสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์ระลอกที่สอง ที่เข้าสู่วังวนของอำนาจ อันได้แก่ อ้วนเสี้ยว-กระสา ลิซก-อีกา กาเซี่ยง-กระตั้ว ฮัวโต๋-นกฮูก เตียวหุย-นางแอ่น และเหยี่ยวดำ จนกระทั่ง เตียวหุยพลาดพลั้งทำร้ายเตียวก๊กถึงตาย เป็นจุดย้ำเตือนให้มันต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น และแสร้งหายสาบสูญไปในช่วงต้นๆ เพื่อรอดูท่าทีว่า มีใครจับพิรุธมันได้หรือไม่
หลังจากที่แน่ใจแล้ว มันจึงเดินหมากต่อไปด้วยการผลักดันและชักจูงให้อ้วนเสี้ยว-กระสา เกิดสับสนทางความคิด จนกลายเป็นหมากสำคัญในการเริ่มต้นทำลายล้างสมาชิกคนอื่นๆ ลิซก-อีกา และตัวมันเอง เฒ่ากระเรียน
ผู้คนไม่ค่อยระแวงคนตาย มันจึงจงใจเปลี่ยนสถานะของตัวเองให้เป็นคนตาย โดยให้เหยี่ยวดำเป็นพยานปากเอก เพราะอยู่ในเหตุการณ์ มันกับกระสาช่วยกันเล่นละครตบตา แสร้งลอบทำร้ายผิดพลาดจนตัวเองสละชีวิต ส่งเหยี่ยวดำให้หลุดรอดไปได้ และหลงเชื่อสนิทใจในความตายของตนเอง จากนั้น มันก็กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน บังเต๊กกง บุคคลลึกลับได้อย่างสบายใจ
เหยี่ยวดำที่ปกติเป็นคนหนักแน่น เยือกเย็น ฉายแววเศร้าเสียใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนตรงด้านหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์ และสหายร่วมหน่วยงาน กลับหักหลังหลอกลวงมันมาโดยตลอด จึงกระชากเสียงถามไถ่บ้าง “แล้วเหตุไรท่านจึงปล่อยให้กระสาตายไปอีกคนเล่า ทั้งๆที่มันก็กลายเป็นพวกพ้องเดียวกันกับท่านไปแล้ว”
“เป็นเพราะเป้าหมายของเราสองนั้นแตกต่างกันในรายละเอียด การร่วมงานจึงสิ้นสุดเร็วกว่าที่ควร อ้วนเสี้ยวมุ่งหมายจะครอบครองแผ่นดินไว้เสียเอง และเผอิญได้รับพิษร้ายแรงจากคนผู้หนึ่ง จึงกลายเป็นหมากที่ด้อยค่าลงทันที ข้าจึงหลอกให้มันตายใจ ตั้งมั่นที่กัวต๋อ คาดหวังความช่วยเหลือจากข้า จนโดนรุมทำร้ายย่อยยับ และถูกลงทัณฑ์จากพวกเจ้าที่เหลือ และเมื่อมันถูกจัดฉากให้ตายไปเช่นนั้น พวกเจ้าหน่วยปักษาสวรรค์จึงวางใจ แยกย้ายไปทำตามภารกิจกันต่อ กลายเป็นช่องว่างให้ข้าลอบทำร้ายไปได้ทีละคนๆ การลอบสังหารพิราบ-โลซก เค้าแมว-ขงเบ้ง ตลอดจนถึง อินทรี-สุมาเต๊กโช ที่ล้มเหลวไปนั้น ล้วนแต่เป็นการเสริมส่งจากด้านข้างของข้าเองทั้งสิ้น”
ที่แท้ การล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นอันเป็นจุดกำเนิดเหตุการณ์สามก๊กในประวัติศาสตร์ และความสูญเสียของหน่วยปักษาสวรรค์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่ฝีมือของคนยุคโบราณทั้งหลาย หรือคนทรยศ นกเป็ดน้ำ-บังทองเท่านั้น แต่กลับมีจอมมารร้ายแฝงเร้นในความมืด คอยหยิบยื่นความตายให้อีกคนหนึ่ง
เป็นเฒ่ากระเรียน สมาชิกก่อตั้ง และ ลำดับสองแห่งหน่วยปักษาสวรรค์นี่เอง
คนเล่นพิณรับฟังรายงานจากซุนแจ้ง ผู้นำตระกูลซุนคนปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หุบเขาละทิ้งอดีต ด้วยความขุ่นเคืองใจ และแค้นใจ
ทางหนึ่ง ก็โกรธแค้นที่รังลับถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของโจโฉและทหารเมืองอ้วนเซีย เพียงเพราะความบังเอิญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทางหนึ่ง ก็นึกตำหนิตนเองที่เลือกการเรียกตัวบังเต๊กกง ประมุขตัวจริงออกมาจากจุดยุทธศาสตร์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการล้างสมองอีกครั้งหนึ่ง แทนที่ตนเองจะเดินทางเข้าไปพบฝ่ายตรงข้ามที่หุบเขา
นับตั้งแต่ที่มันได้รับทราบข่าวลับจากโจวจู๋ แจ้งเรื่องที่บังเต๊กกงเศร้าเสียใจกับการตายของบุตรชาย จนมีอาการซึมเศร้า น่าเป็นห่วง มันจึงแสร้งเรียกตัวบังเต๊กกงเป็นการลับ เพื่อที่จะลงมือสะกดจิตอีกครั้ง และมันมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต้องการกลับไปยังหุบเขา
คราก่อน เป็นซุนฮกที่ใช้วิชาลับแดนชมพูทวีป ล่อลวงบังเต๊กกงจนอยู่หมัด หากแต่พอซุนฮกตายไปกระทันหัน มันจึงจำเป็นต้องศึกษาวิชามารชุดนี้เสียเอง และลังเลที่จะลงมือเพราะเกรงความสูญเสีย จนในที่สุด ครั้งนี้ มันจึงต้องเสี่ยง ทั้งๆที่รู้ว่า สมองของผู้ที่ถูกสะกดจิตซ้ำซ้อน อาจจะกระทบกระเทือน จนถึงขั้นฟั่นเฟือน วิกลจริต ก็ตาม
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา