14 ก.ย. 2021 เวลา 23:13 • นิยาย เรื่องสั้น
6.15. กลับคืนเป็นหนึ่งเดียว
ตันโห ประมุขหมู่บ้านหมื่นเซียน - ตันอุ๋น บัณฑิตเค้าแมวดำ - ฮองเย่อิง อัจฉริยะหญิงใจซื่อ
สุมาอี้ จงฮิว เตงงาย และทหารองครักษ์ ปลอมตัวเป็นขบวนพ่อค้า เลือกเดินทางไปตามเส้นทางลัด ข้ามรอยต่อเมืองเตียงอัน-ฮันต๋ง ผ่านหุบเขาลำธารสวรรค์ เพื่อมุ่งสู่ด่านแฮบังก๋วน ที่ขุนพลเงาหิมะ ม้าเฉียว เฝ้ารักษาอยู่ตามที่นัดหมายกับฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
เบื้องหลัง สุมาอี้กับจูกัดเหลียงมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก สุมาอี้จึงไม่ยอมสุ่มเสี่ยงผ่านเมืองฮันต๋งให้ขุนพลพายุคลั่ง อุยเอี๋ยนมาตัดสินชะตาชีวิตตนเอง พอได้ยินว่าต้องเดินทางมาเป็นทูตเจรจาความกับพวกเสฉวน จึงแอบติดต่อกับจูกัดเหลียง เพื่อเลือกสถานที่ที่เหมาะสม และปลอดภัยในทันที ซึ่งศิษย์น้องก็ระบุจุดนัดพบเป็นด่านแฮบังก๋วนที่มีพรรคพวกเดียวกันดูแลอยู่
เมื่อใกล้จะถึงด่านแฮบังก๋วน สุมาอี้จ้องมองเทือกเขาสลับซับซ้อนที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เบื้องหน้า สลับกับการพิจารณาแผนที่ภูมิศาสตร์ พลางทอดถอนหายใจ จนเตงงายที่อยู่ข้างกาย อดใจไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถาม “ท่านกุนซือเป็นกระไรไปหรือ”
กุนซือสุมาอี้จึงชี้แนวเทือกเขาเทียบกันกับแผนที่ในมือ อธิบายให้จงฮิวกับเตงงายเป็นความรู้ติดตัว “การนำทัพโจมตีเมืองเสฉวนนั้นยากลำบาก เพราะป้อมปราการเมืองที่แข็งแกร่ง ผนวกเข้ากันกับทิวเขาสูงชันที่ขวางกั้นอยู่เรียงรายเป็นกำแพงธรรมชาติ ทำให้ด่านแฮบังก๋วนตรงนี้ และด่านเกียมก๊กที่สร้างขึ้นตรงช่องแคบเตงกุนสัน เป็นจุดสมรภูมิรบสำคัญในการโจมตีลงใต้ ขงเบ้งนับว่า ได้ปิดเส้นทางบุกเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว”
ด่านเกียมก๊กเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ตรงจุดช่องแคบเขาเตงกุนสัน สมรภูมิรบที่ฮองตงสร้างชื่อปราบแฮหัวเอี๋ยนก่อนบุกยึดเมืองฮันต๋งเมื่อไม่นานนี้ นับเป็นปราการที่ปิดกั้นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเมืองฮันต๋ง กับเมืองเสฉวน สร้างความยากลำบากต่อการรุกคืบด้วยกองทัพยิ่งกว่าแต่ก่อน และปิดช่องว่างเดิมที่พวกชนเผ่านอกด่านอย่างเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระด้วยเส้นทางลับแนวเทือกเขาไปโดยปริยาย เรื่องนี้ถือเป็นผลงานเยี่ยมยอดของขงเบ้งที่ป้องกันเมืองเสฉวนได้อย่างเข้มแข็งรัดกุมมากขึ้น
จงฮิวพยักหน้าเห็นคล้อยตามสุมาอี้ แต่เตงงายยังจับจ้องมองไปยังสันเขาขาดบนเทือกเขาอยู่ พลางชี้ทัก “ตำแหน่งนั้นมีสันเขาขาดอยู่ช่วงหนึ่ง หากอดทนฟันฝ่าขึ้นเขาไปได้ ก็อาจจะมีสิทธิ์ข้ามผ่านไปได้อยู่ขอรับ”
สุมาอี้ลูบเครา มองตามแน่วนิ่งก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “ขนาดช่องแคบเขาเตงกุนสันยังถูกปิดตาย มีหรือขงเบ้งจะผิดพลาด ไม่วางกองกำลังไว้รักษาพื้นที่เล็กน้อยแค่นี้ ถึงแม้จะมีปีกบินร่อนข้ามสันเขาขาดไปได้ แต่เพียงสร้างค่ายทหารวางกำลังพลสักห้าร้อยคน ก็ปิดกั้นช่องโหว่นี้ได้แล้ว เจ้าอย่าได้ฝันหวานไปเลย”
จงฮิว เตงงายได้แต่รับฟังเอาไว้ โดยไม่ล่วงรู้ว่า ภายภาคหน้า บทสนทนาครั้งนี้ ถึงกับตัดสินความเป็นความตายให้กับคนทั้งสามสกุล และแคว้นจ๊กอันยิ่งใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
ขบวนพ่อค้าปลอมของสุมาอี้เพิ่งหยุดสำรวจพื้นที่ได้ไม่นาน ประตูด่านแฮบังก๋วนก็เปิดออก พร้อมกับทัพม้าหนึ่งกองที่มุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว พวกสุมาอี้ทั้งสามแสดงความจริงใจ ยืนรอรับอยู่ด้านหน้าขบวน พบเห็นว่า ผู้นำขบวนฝ่ายตรงข้ามเป็นม้าเลี้ยง บัณฑิตคิ้วขาว และม้าต้าย ขุนพลรองที่เคยมีข่าวว่า ถูกพวกกังตั๋งควบคุมตัวไว้ที่เมืองเกงจิ๋ว จนภายหลัง เกิดเหตุลอบสังหารซุนเกา เสนาบดีฝ่ายบู๊ จึงหลุดรอดกลับมาได้
ม้าเลี้ยงลงจากหลังม้า พร้อมประสานมือคารวะ “เชิญท่านทั้งหลายเข้าด่าน ท่านขงเบ้งรอพบอยู่นานแล้ว”
นับเป็นครั้งแรกที่สองกุนซือชื่อดัง ขงเบ้งและสุมาอี้ จะได้มาพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ ณ ด่านปราการนอกเมืองเช่นนี้เอง
ปกติ สภาพด่านปราการทั่วไป จะเป็นเสมือนเมืองขนาดย่อมที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง เน้นโครงสร้างอาคารด้านการทหารเป็นสำคัญ แต่ด่านแฮบังก๋วนกลับคล้ายคลึงกับเมืองขนาดกลาง มีร้านค้าและตลาดขนาดใหญ่ ทั้งคนท้องถิ่น นายพราน และคนชนเผ่าเดินกันขวักไขว่ แสดงให้เห็นว่า เป็นแหล่งสำคัญทางด้านการค้าขายด้วยเช่นกัน
ม้าเฉียว ขุนพลเงาหิมะและตันเซ็ก ขุนนางที่ปรึกษายืนต้อนรับอยู่ด้านในประตูด่าน พร้อมเชื้อเชิญเฉพาะพวกสุมาอี้่ทั้งสามให้เข้าไปในจวนที่พักของนายด่าน ซึ่งบัดนี้ ต้องยกให้เป็นสถานที่ประชุมทางการเมืองไปแล้ว โดยมีขงเบ้ง-จูกัดเหลียงนั่งรออยู่บนเก้าอี้ล้อหมุน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่เคยพบเห็น จนแม้แต่พวกม้าเฉียว ก็ยังรู้สึกได้
พอพบหน้ากัน ขงเบ้งรีบประสานมือคารวะ พร้อมส่งเสียงทักทาย “เชิญท่านกุนซือสุมาอี้ และท่านขุนคลังจงฮิว ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตนเอง ส่วนพวกท่านม้าเฉียวก็รั้งรออยู่แต่ด้านนอกเถิด ไม่ต้องเข้ามาแล้ว”
พวกม้าเฉียวงงงันวูบ ราวกับไม่คาดคิดมาก่อน สุมาอี้คุ้นเคยกันกับขงเบ้งมานาน จนพอเดาท่าทีได้ว่า ต้องมีอะไรผิดปกติ จึงเล่นตามน้ำไปก่อน เพียงแสดงอาการคารวะตอบ และก้าวตามเข้าไปในห้องประชุม นั่งลงตามตำแหน่งอันสมควร พลันพบเห็นว่า ตำแหน่งที่นั่งของขงเบ้งก็มิใช่ตำแหน่งประธาน และยังมีที่นั่งเตรียมไว้อีกสองที่
เสียงหัวร่อฮาฮาสดใสดังขึ้น อาคันตุกะนอกเหนือจากกำหนดนัด ก้าวเข้ามาจากฉากด้านหลังถึงสามคน สองชายหนึ่งหญิง เป็นเล่าปี่ เจ้านครฮันต๋ง เสียวเอียนจื่อ กุนซือวิหคสวรรค์ และจูล่ง ขุนพลท่องเมฆา มิน่า ขงเบ้งถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก
“เราได้ยินข่าวว่า ท่านสุมานัดหมายเจรจาความเมืองสำคัญกับท่านจูกัดที่หน้าด่าน จึงรีบติดตามออกมาร่วมวงสนทนาด้วย เผื่อว่ามีสิ่งใดต้องรีบเร่งตัดสินใจจะได้ไม่ต้องรอช้าให้เสียเวลาไปเปล่าๆ” เล่าปี่เอ่ยปากกล่าว ราวกับเป็นเรื่องปกติสามัญ “วุยอ๋องฝากเรื่องราวอันใด เชิญกล่าวมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมเถิด”
สุมาอี้รีบประเมินสถานการณ์ แสดงว่า สถานะของขงเบ้งในแคว้นเสฉวนก็มิได้มั่นคงมากนัก กลับเป็นกุนซือหญิงหน้าใหม่ที่น่าจะคุมอำนาจได้เหนือกว่า และมีเล่าปี่หนุนหลังให้อย่างเต็มที่ จึงอาจหาญหักหน้าขงเบ้ง พากันมาเจรจาความเมืองกับตนเองที่นี่อย่างไม่เกรงกลัวพวกม้าเฉียวที่คุมกำลังอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะการปล่อยให้สองยอดกุนซือได้พูดคุยกันเอง อาจสร้างความหวาดระแวงให้กับฝ่ายเล่าปี่ได้อยู่
เมื่อครู่ ขงเบ้งสั่งการให้พวกม้าเฉียวยั้งเท้ารั้งรออยู่ภายนอก แสดงว่า คนเหล่านั้นก็ยังไม่ทราบถึงการปรากฏตัวของคนทั้งสาม เปลือกนอก ดูเหมือนฝ่ายเสฉวนลดจำนวนคนลงให้เท่าเทียมกันกับพวกรัฐบาล แต่ที่จริงแล้ว พวกม้าเฉียวกลับเป็นฝ่ายเดียวกันกับจูกัดเหลียงอยู่แล้ว หากร่วมมือกันกับพวกสุมาอี้ ย่อมมีพวกมากกว่า การให้รั้งรออยู่ภายนอกก่อน กลายเป็นสกัดจุดได้เปรียบออกไปในทันทีเปลาะหนึ่ง
อันที่จริง สุมาอี้ จูกัดเหลียงต่างก็เป็นทายาทมังกรที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญาและวิทยายุทธ์ เตงงายก็เป็นศิษย์ร่วมของขุนพลห้าพยัคฆ์ ย่อมมีฝีมือไม่ใช่ชั่ว ส่วนจูล่งก็เป็นประมุขพรรคฟ้าเหลือง ที่อยู่ในเครือข่ายของตนเองเช่นกัน เหลือแต่เสียวเอียนจื่อที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมากนัก จึงแอบส่งสัญญาณไต่ถามศิษย์น้อง
ขงเบ้งคาดเดาความในใจของสุมาอี้ได้จึงรีบกล่าวดักคอเอาไว้ก่อน “ขอแนะนำกุนซือคนใหม่ให้ท่านสุมาได้รู้จักไว้ ท่านนี้คือกุนซือวิหคสวรรค์ เสียวเอียนจื่อ น้องสาวของท่านเตียวหุยผู้ล่วงลับ เป็นอัจฉริยะหญิงที่เปี่ยมทั้งสติปัญญา และพลังฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ชาย และบัดนี้ ยังเป็นฮูหยินของท่านจูล่งที่เพิ่งหายป่วยด้วย จึงเป็นเสมือนคนในครอบครัวของท่านเล่าปี่อีกคนหนึ่ง บัดนี้ ยังคงให้ท่่านสุมาเริ่มต้นการเจรจาเถิด”
สุมาอี้พลันเข้าใจในรหัสความนัยที่ซ่อนอยู่ จึงลดความคิดลงมือต่อสู้ หันมาใช้การเจรจาตามที่ได้รับคำสั่งมาจากโจโฉก่อน “ท่านโจโฉคิดจะลาออกจากราชการ คืนอำนาจการบริหารให้กับฮ่องเต้ ถอนตัวจากการเมืองไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ จึงขอเจรจาให้ท่านเล่าปี่ยอมนำแคว้นเสฉวนเข้าสู่การปกครองของราชวงศ์ฮั่น โดยคงอำนาจการปกครองดินแดนไว้ได้ดั่งเดิม เพื่อคืนความสุขสงบให้กับแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง”
พวกเล่าปี่ทุกคนไม่ทันคาดคิดว่าจะมาไม้นี้ ต่างใจสั่นไหวระคนตื่นเต้น แทบไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง หลายสิบปีที่ผ่านมา เป้าหมายใหญ่คือการล้มล้างทรราชย์โจโฉให้พ้นออกจากรัฐบาล แล้วจู่ๆ โจโฉกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากยอมวางมือคืนอำนาจให้กับกษัตริย์แล้ว
สายข่าวเล่าขานว่า นับจากการตายของโจชงเป็นต้นมา ท่าทีของโจโฉปรับเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมากนัก ในเมื่อด้านกังตั๋งมีท่าทีเป็นมิตร น้อมรับตำแหน่งเจ้านครที่แต่งตั้งจากส่วนกลาง ก็นับว่าพอกล้ำกลืนได้ว่า ศัตรูด้านใต้จบสิ้นลง จึงเหลือเพียงฝั่งเสฉวนที่ยังดึงดันแข็งขืนอยู่ คราวนี้ เมื่อโจโฉปลดเงื่อนไขการต่อต้าน จึงเสมือนบีบบังคับให้ขบถฝั่งตะวันตกต้องยอมยุติบทบาทไปด้วยเช่นกัน
เสียวเอียนจื่อ ชิงกล่าวดักคอขึ้น “โจโฉถอนตัว แต่โจผีผู้บุตรและสมุนคนอื่นๆก็ยังคงอยู่รายล้อมฮ่องเต้เช่นเดิม จะเรียกว่า คืนอำนาจให้ราชบัลลังก์ได้อย่างไรกัน”
จงฮิว รอคอยจังหวะอยู่นาน จึงกล่าวตอบบ้าง “ท่านโจโฉจะประกาศลาออกจากตำแหน่งในทันที และขอเวลาเพียงหนึ่งปี เพื่อผ่อนคลายแรงเสียดทาน เปิดทางให้ฮ่องเต้โยกย้ายตำแหน่งราชการได้ตามพระประสงค์ของท่านเอง พวกท่านเพียงแค่ประกาศตอบรับต่อท่าทีดังกล่าวเป็นสัญญาผูกพันต่อกัน หากภายในหนึ่งปี พวกท่านพบเห็นเรื่องราวผิดไปจากที่ตกลงกันไว้ ก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการยกเลิกสัญญาได้ในทันที เช่นนี้ น่าจะเป็นผลดีต่อแผ่นดินฮั่นอย่างแน่นอน”
สุมาอี้พยักหน้า พร้อมขยายความ “พวกท่านจะตระเตรียมกองทัพ สะสมเสบียงอาวุธอย่างไรก็ได้ แต่พวกเราเพียงต้องการคำยืนยันจากพวกท่าน สร้างความเชื่อมั่นให้กับราษฎรทั้งแผ่นดินได้มีความหวังที่จะเห็นแผ่นดินสุขสงบสักที”
เล่าปี่ก้มหน้านิ่งมานาน ค่อยโบกมือห้ามปรามกุนซือทั้งสอง เรื่องราวสำคัญเช่นนี้มีแต่ตัวมันเองจึงจะตัดสินใจได้อยู่ดี “เอาเถิด ตัวข้าเร่ร่อน ฝ่าฟันศึกสงครามมานาน ก็เพียงเพื่อให้แผ่นดินฮั่นกลับเป็นดังเดิมอีกครั้ง หาใช่ว่ามีเรื่องแค้นเคืองเป็นการส่วนตัวกับเขาแม้แต่น้อย ในเมื่อท่านโจโฉยอมยุติบทบาทตนเองเช่นนี้ ก็นับว่าหมดสิ้นปัญหาได้เสียที เราจะรอคอยจับตาดูความจริงใจในการกระทำไปอีกหนึ่งปี และพร้อมจะเพิ่มระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลใหม่ให้มากขึ้นตามลำดับ”
สุมาอี้ จงฮิว เตงงาย มีสีหน้าแช่มชื่น ยินดีที่การเจรจาสำเร็จลุล่วงเกินความคาดหมายเช่นนี้ ไม่นึกว่า จะได้รับคำมั่นสัญญาจากปากของเล่าปี่โดยตรง จึงรีบยกสุราขึ้นคารวะโดยเร็ว จงฮิวมือไม้เก้งก้าง กลับทำให้ถ้วยสุราหลุดมือ หล่นลงกับพื้นเสียงดังสนั่น
เสียงสัญญาณถ้วยสุราหล่น เป็นรหัสลับที่ขงเบ้งตระเตรียมเอาไว้กับพวกสกุลม้าตั้งแต่ต้น พอได้ยินเสียงรหัส ม้าเฉียว ม้าต้าย จึงรีบชักอาวุธ รุกเข้าใส่แขกผู้มาเยือนในทันที อันที่จริง คนในห้องสามารถห้ามปรามกันได้ แต่เสียวเอียนจื่อกลับแอบยกมือห้าม หวังจะใช้โอกาสนี้ทดสอบพลังฝีมือ และท่าทีการรับมือของฝ่ายตรงข้าม
ทวนของม้าเฉียวแทงตรงไปยังสุมาอี้ เห็นร่างของกุนซือเบี่ยงเบนหลบคมอาวุธ และแนบสนิทไปกับทวนยาว ตั้งแต่ทวนไร้น้ำใจของลิโป้ถูกทำลายไปในเหตุการณ์ประลองยุทธ์ชิงบัลลังก์ ม้าเฉียวก็หันกลับไปใช้ทวนยาวที่อ่อนหยุ่นเช่นเดิม ซึ่งเหมาะสมกับกระบวนท่ารวดเร็วว่องไวของตนเองมากกว่า ดังนั้น จึงเห็นร่างของสุมาอี้คล้ายกับใบไม้ใหญ่ที่เกาะติดอยู่กับทวนยาว ส่ายไหวไปมา แต่ไม่อาจทำร้ายร่างกายได้เลย แสดงให้เห็นถึงพลังฝีมือที่สูงส่งไม่น้อย แต่ยังไม่เห็นแสดงการตอบโต้ใดๆ คล้ายออมมืออยู่ในที
ส่วนม้าต้ายเลือกลงมือไปที่เตงงาย ทวนยาวปะทะกันกับกระบี่อย่างถี่ยิบ จนเกิดช่องโหว่ขึ้นวูบหนึ่ง มือซ้ายสะกดทวนไว้ กระบี่ของเตงงายก็สะบัดขึ้นพาดคอของม้าต้ายได้แล้ว แสดงถึงความเหนือชั้นกว่าม้าต้ายอยู่หลายส่วน
แต่แล้ว ดาบลายมังกรพลันสอดแทรกเข้ามาสกัดทิศทางของทวนและกระบี่เอาไว้พร้อมกัน แต่ทวนกระบี่คล้ายไม่ยินยอม ถึงกับร่วมมือกันกดดันกลับเข้าใส่ผู้ที่สอดแทรกเข้ามา เห็นดาบนั้นหมุนคว้างเป็นวงกว้าง ดูดเอาทั้งทวนทั้งกระบี่หลุดออกจากมือ ม้าต้ายและเตงงายต่างถูกพลังหยุ่นเหนียวหนุนส่งให้ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ค่อยเห็นว่า ผู้ลงมือคือจูล่ง ขุนพลเลื่องชื่อนั่นเองที่ใช้เพลงดาบแปลกประหลาดออกมา
จากการแสดงวิทยายุทธ์สยบความขัดแย้งที่เมืองเสฉวนครั้งล่าสุด ดาบลายมังกรถูกเรียกขานในนามว่า ดาบสยบมังกร คล้ายสะกดกั้นมังกรซ่อนไม่ให้ผยองเดชเกินไป ส่วนพลองสีหยกของเสียวเอียนจื่อ ก็ถูกยกย่องให้เป็นพลองอิงฟ้า เพื่อรำลึกถึงขุนพลฟ้าคำราม พี่ชายของนางที่ลาลับไปแล้ว อาวุธทั้งสองกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการค้ำจุนบัลลังก์ของเจ้านครเล่าปี่ให้มั่นคงอยู่ต่อไป
อีกด้านหนึ่ง เสียวเอียนจื่อก็ลงมือแล้วเช่นกัน เห็นกุนซือหญิงใช้มือเปล่าข้างเดียวคว้าจับทวนยาวของม้าเฉียว ราวกับสะกดอสรพิษร้ายจนอยู่แน่นิ่ง มืออีกข้างฉุดรั้งสุมาอี้ลงนั่งคืนเก้าอี้อย่างนิ่มนวล การใช้พลังแข็งกร้าวกับอ่อนหยุ่นออกพร้อมกันสองมือเช่นนี้ กลับไม่ค่อยปรากฎในยุคสมัยนี้ จึงทำให้ผู้คนในห้องประชุมอดโห่ร้องชมเชยไม่ได้แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ไม้พลองอิงฟ้าที่โด่งดังก็ตาม
เสียวเอียนจื่อจึงถือโอกาสคลี่คลายสถานการณ์ แก้ต่างให้พวกม้าเฉียวที่ลงมือเกินเลย และขออภัยต่อทูตจากรัฐบาล พร้อมเชิญชวนให้คนทั้งหลายเข้ามาร่วมดื่มกินให้สำราญ ส่วนจงฮิวกลับยังงุนงงสงสัยที่เมื่อครู่ ทำมือไม้เก้งก้างเกินไปได้อย่างไรกัน
ขบวนเดินทางของสุมาอี้ล่าถอยกลับไปแล้วพร้อมจดหมายยืนยันจากลายมือและตราประทับของเล่าปี่ ขงเบ้งเห็นว่าสถานการณ์ไม่อำนวย จึงไม่ดึงดันที่จะพูดคุยเจรจากับศิษย์พี่ใหญ่โดยตรงอีกต่อไป ได้แต่ยืนทอดสายตามองจากกำแพงปราการสูง พลาดโอกาสชักจูงสุมาอี้ให้นำเครือข่ายสุมาเข้าสู่เส้นทางของขบวนการฟ้าดินไปอีกครั้งหนึ่ง
ตามแผนการที่มันคาดคำนวนไว้ หากแม้นการเจรจาเป็นความลับนั้น เรื่องราวทางการทูตก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในความสัมพันธ์ในทางลับ มันคิดจะชักจูงให้สุมาอี้ ศิษย์พี่ใหญ่ให้ถอนตัวออกจากนิกายแสงจรัสของตระกูลซุน และนำขุมกำลังทายาทมังกรมาเข้าร่วมก่อการกับสกุลจูกัดแห่งขบวนการฟ้าดินแทน น่าเสียดายที่เรื่องราวนั้นกลับไม่อาจเกิดขึ้นได้เสียแล้ว เพราะการสอดแทรกของเล่าปี่และพวกพ้องอย่างกระทันหัน
เมื่อครู่ มันเห็นสุมาอี้จงใจกระแทกข้อศอกจงฮิว ก่อกวนให้เกิดการต่อสู้หยั่งเชิงตนเองว่า สมควรเปิดฉากลงมือกับพวกเล่าปี่ทั้งสามหรือไม่ แต่ตนเองประเมินออกว่า เสียเปรียบ จึงไม่ร่วมลงมือ ปล่อยให้เหตุการณ์คลี่คลายไปด้วยฝีมือของเสียวเอียนจื่อและจูล่ง และถึงแม้ตนเองจะสอดแทรกเข้าไปด้วยในตอนนี้ ก็ไม่แน่ว่า จะสามารถเอาชนะทั้งสองได้
แสงสะท้อนวูบหนึ่งปรากฏจากขบวนโดยสาร เงาร่างที่คุ้นตากลับปะปนอยู่ในกลุ่มทหารองครักษ์ ขงเบ้งมีความทรงจำต่อเค้าโครงสัดส่วนร่างกายมนุษย์เป็นเลิศ เพียงมองปราดก็จำได้ว่า บุคคลผู้นั้นคือเตียวเฟิง ทายาทพรรคฟ้าเหลือง ที่หายไปในจวนเล่าปี่ตั้งแต่วันก่อนนั้น เห็นทีว่า มันต้องหาทางแจ้งข่าวให้ศิษย์พี่ได้ทันรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ด้วยแล้ว
แต่เรื่องปวดหัวหนักใจยังไม่หมดสิ้น พวกเล่าปี่คล้ายสายฟ้าแลบที่ส่องสว่างแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงขบวนสุมาอี้ออกเดินทางกลับเมืองหลวง ขงเบ้งก็ได้รับรายงานจากม้าเฉียวว่า พวกเล่าปี่ก็เดินทางออกไปอย่างเร่งรีบแล้วเช่นกัน โดยเสียวเอียนจื่ออ้างว่า ตันเตานำขบวนองครักษ์มารอรับอยู่ด้านนอกเมือง
เสียวเอียนจื่อนึกกระหยิ่มใจที่สามารถทำลายแผนการณ์สำคัญของขงเบ้ง-จูกัดเหลียงได้อีกครั้งหนึ่งด้วยข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ในอนาคตที่ระบุไว้ว่า จุดเริ่มต้นที่ขงเบ้งยึดครองอำนาจจากจ๊กก๊กได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเพราะการเจรจาทางการทูตกับกุนซือสุมาอี้ เป็นการลับเฉพาะที่ด่านแฮบังก๋วน แต่ผลการเจรจานั้นล้มเหลวอย่างมีนัยยะซ่อนเร้น
พอมันได้ยินข่าวลับจากทางเมืองหลวง มันจึงต้องรีบจัดฉากนำพาเล่าปี่ จูล่ง ออกมาก่อกวนการเจรจา แก้ไขปรับเปลี่ยนจากความล้มเหลวเป็นความสำเร็จ พร้อมทั้่งกีดกันไม่ให้สองศิษย์พี่น้องได้พบปะกันตามลำพัง อีกทั้ง ครั้งนี้ มันยังส่งตัวแปรใหม่ให้กลับไปก่อกวนเมืองหลวง เป็นเตียวเฟิง จารชนสาวพันหน้าที่เพิ่งยินยอมร่วมงานกับพวกตนเอง
การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ถือเป็นการเดิมพันที่นางแอ่นคิดขึ้น และด้นสดไปตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพียงขัดขวางไม่ให้ขงเบ้งก้าวขึ้นมาแทนที่เล่าปี่ เล่าเสี้ยน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่ครั้งสุดท้ายตามภารกิจตั้งต้นที่ตนเองได้รับ ถัดจากการขึ้นครองอำนาจของอ้วนเสี้ยว และโลซก ที่หายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไปแล้ว
การสูญเสียสมาชิกของหน่วยปักษาสวรรค์ และการปรากฏตัวของขบวนการลับที่แฝงกายอยู่ในวงการการเมืองยุคสมัยโบราณ ทำให้นางแอ่นตัดสินใจผสมผสานทิศทางการกระทำของกระสา-อ้วนเสี้ยว ที่เคยเสนอให้ควบคุมทิศทางประวัติศาสตร์กึ่งหนึ่ง และอินทรีมือเหล็ก ที่เชื่อมั่นในการยับยั้งแผนการที่นอกเหนือไปจากเรื่องราวที่เคยรับรู้อีกกึ่งหนึ่ง จึงออกมาเป็นแผนทำลายเส้นทางสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญของขงเบ้งในครั้งนี้
พอเสร็จงานเปลี่ยนจุดพลิกผันทางประวัติศาสตร์แล้ว เสียวเอียนจื่อจึงชักนำเล่าปี่ จูล่ง ไปพบกับบุคคลสำคัญตามสัญญา พวกมันทั้งสามเดินทางไปตามเส้นทางภูเขานอกเมืองอีกระยะทางหนึ่งจนเข้าสู่หุบเขาลำธารสวรรค์ที่คุ้นเคย ค่อยตัดผ่านเข้าป่าไม้กว้างใหญ่ จนพบพานช่องทางลับที่ขวางกั้นไว้ด้วยค่ายกลพิสดาร ภายในถึงกับเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมเพียงไม่กี่สิบหลัง ทิวทัศน์สวยงามอยู่ในหุบเขาเงียบสงบ ลับตาผู้คนซึ่งปกครองโดยสองพ่อลูก คหบดีเฒ่าตันโหกับบัณฑิตหนุ่มตันอุ๋น
นางฮองเย่อิงเป็นยอดอัจฉริยะหญิงแห่งยุค แต่ยังคงใสซื่อตามแบบฉบับคนชนเผ่าทั่วไป เพียงมันออกอุบายหลอกให้เย่อิงช่วยนำพาพวกเด็กๆไปหลบซ่อนจากภัยลอบสังหารเป็นการชั่วคราว ก็หลงเชื่อโดยง่าย หากแต่ไม่รู้ว่าจะหลอกลวงได้นานสักเพียงไร ค่ายกลเบื้องหน้าหุบเขานี้ ที่จริงเป็นเป็นฝีมือเร่ิมต้นของหัวขวาน ยอดนักประดิษฐ์ แต่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยฝีมือละเอียดอ่อนของฮองเย่อิงนี่เอง
พวกผู้หญิงและเด็กเล็ก อันได้แก่ นางอุยฮูหยินที่มีท้องแก่ใกล้คลอด เล่าเอ๋ง ทารกกวนสก และเด็กแฝด เตียวซิงไช่ เตียวซิงเหอ จะอยู่ในความดูแลของตันโหกับตันอุ๋นเป็นหลัก ร่ำเรียนศึกษาความรู้เชิงบุ๋นไปพลาง ในขณะที่ ปราชญ์หญิงฮองเย่อิง กับองครักษ์ตันเตา จะดูแลพวกเด็กหนุ่ม เล่าเสี้ยน กวนหิน เตียวเปา จูกัดเจี๋ยม ให้ฝึกปรือวิชาความรู้อย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนจากตำราวิทยายุทธ์ และพิชัยสงครามที่เสียวเอียนจื่อจัดไว้ให้มากมาย เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่โลกการต่อสู้ในเวลาอันสั้นนี้
เล่าปี่นึกยินดีที่เสียวเอียนจื่อจัดแจงเรื่องราวได้เรียบร้อย พร้อมกับชื่นชอบบรรยากาศภายในหุบเขา จึงสอบถามนามของสถานที่ ตันอุ๋นเป็นผู้ตอบ “หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญที่อาจารย์ของข้าน้อยกับสหายร่วมอุดมการณ์ ได้ร่วมกันจัดทำขึ้นทดแทนที่มั่นเดิมซึ่งถูกศัตรูทำลายไปแล้ว จึงเรียกขานกันว่า หมู่บ้านตัดอาลัย”
เล่าปี่รับฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกของผู้ก่อตั้ง หากแต่เกรงว่าจะไม่เป็นมงคลต่อผู้ที่อยู่อาศัย จึงเสนอความเห็นว่า “สถานที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น และมีผู้คนมาอยู่อาศัยมากขึ้นแล้วเช่นนี้ สมควรใช้ชื่อเสียงให้ไพเราะขึ้นหน่อย เย่อิงเป็นปราชญ์หญิง สมควรให้ท่านเปลืองสมองบ้างแล้ว”
ฮองเย่อิงนึกยินดีที่จะได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นบ้าง จึงตอบออกไปอย่างว่องไว ราวกับเคยขบคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว “สถานที่สวยงามเช่นนี้ ซุกซ่อนอยู่ใกล้เคียงกับหุบเขาลำธารสวรรค์ ย่อมทำให้รำลึกถึงหมู่มวลเทวดานางฟ้า ถ้าหากเรียกขานเป็นหมู่บ้านหมื่นเซียน ก็น่าจะสอดคล้องต้องกันอยู่ ลูกในครรภ์ของอุยฮูหยินจะได้ถือกำเนิดในสถานที่ที่เป็นมงคลนาม เรียกขานเช่นนี้จะดีหรือไม่ ท่านกุนซือ”
เสียวเอียนจื่อไม่อยากขัดใจ จึงเออออคล้อยตามไปตามประสา เพราะที่จริง พวกมันก็ไม่อาจพักอาศัยเนิ่นนานเกินไป ได้แต่ฝากถ้อยคำผ่านเล่าปี่ให้ไหว้วานฮองเย่อิงช่วยดูแลสถานที่ และฝึกฝนวิชาให้กับเด็กๆ ร่วมกันกับพวกตันโหทั้งสาม โดยกำชับไม่ให้บอกตำแหน่งสถานที่แก่ใครทั้งสิ้น เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุด
เพียงสองสามวันให้หลัง เล่าปี่ จูล่ง เสียวเอียนจื่อทั้งสามก็ร่ำลาจากหมู่บ้านตัดอาลัย หรือชื่อใหม่ หมู่บ้านหมื่นเซียน โดยไม่คาดคิดว่า นี่คือครั้งสุดท้ายในชีวิตของใครบางคนที่จะได้เหยียบย่างเข้าไปในสถานที่สวยงามนั้นแล้ว
ต่อมาภายหลัง อุยหลิงฉีฮูหยินจึงให้กำเนิดลูกชายคนที่สองให้กับเล่าปี่ที่หมู่บ้านหมื่นเซียน ภายในหุบเขาลำธารสวรรค์แห่งนี้ และตั้งชื่อให้ว่า เล่าลี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา