15 ก.ย. 2021 เวลา 23:16 • นิยาย เรื่องสั้น
6.16. กระแสฟื้นฟูราชวงศ์
เตียวชุนฮัว ร่างจำแลงนางโจร - เขาเฉียว สุดยอดพยากรณ์ - กวนลอ ซินแสโลกทิพย์
เมื่อการเจรจาทางการทูตเป็นผลสำเร็จ โจโฉก็ไม่รีรอที่จะประกาศข่าวดีให้กับแผ่นดินในเรื่องการรวมแผ่นดินกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมกับทำตามสัญญาที่ระบุไป ตั้งแต่แจ้งการลาออกจากราชการ และขอไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ปราสาทนกยูงทองแดง เท่ากับเปิดทางให้กษัตริย์เหี้ยนเต้ ซึ่งบัดนี้ มีพระชนมายุร่วมสี่สิบพรรษา มีอำนาจปกครองบ้านเมืองได้ด้วยตนเอง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานการณ์การเมืองในรัฐบาลฮั่น
คนวงในวิเคราะห์กันว่า กาลเวลาบั่นทอนความห้าวหาญของเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย โจโฉสูญเสียบุตรสุดที่รักโจชง การทำสงครามชายแดนไม่อาจคืบหน้า ซ้ำยังเผชิญข่าวเลวร้ายกับพวกลัทธิความเชื่อกับบัณฑิตวิชาการซ้ำซาก จึงล้มเลิกความคิดดั้งเดิม อยากใช้ชีวิตสุขสงบ พร้อมส่งไม้ต่อให้กับทายาทโจผีให้สามารถทำงานร่วมกันกับฮ่องเต้ได้แทน
ส่วนเล่าปี่ที่สูงวัยแล้วก็เฉกเช่นกัน การสูญเสียสามขุนพลสวรรค์และหนึ่งกุนซือให้กับฝ่ายกังตั๋งอย่างต่อเนื่องในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ถอดใจต่อการทำศึกสงครามกับจอมทรราชย์ที่ยอมปลดเขี้ยวเล็บ และพึงพอใจต่อพื้นที่การปกครองที่ตนเองครอบครองอยู่ โดยเป้าหมายหลักของเล่าปี่ในตอนนี้ ถูกวิเคราะห์กันว่า น่าจะเป็นการเอาคืนกับพวกกังตั๋ง แก้แค้นให้กับน้องร่วมสาบานทั้งสองให้ได้ก่อนตัวเองจะแก่ตายเท่านั้น
ฝ่ายซุนกวนนั้นเล่า ก็สูญเสียคนสำคัญไปหลายคน ตั้งแต่ ลิบอง ซุนของ ซุนแจ้ง ซุนเกา ฮกเหอ ฮกเสียว รวมทั้ง นักรบทวนแกร่ง และสองผู้เฒ่าที่สืบทราบภายหลังว่าคือ ผู้เฒ่าโล และผู้เฒ่าจูจากสองตระกูลมั่งคั่งแห่งกังตั๋ง จึงไม่พร้อมที่จะตอแยกับใครในช่วงเวลานี้ อีกทั้ง ลกซุนที่ขึ้นเป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊แทนซุนเกา ก็ยึดถือนโยบายคล้ายกับโลซก ที่ไม่พึงประสงค์ต่อการทำสงครามมากนัก แต่ก็ตระเตรียมฝึกซ้อมกองกำลังไว้อย่างเข้มแข็ง
ภาพของการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง และกระแสการฟื้นฟูราชวงศ์ในช่วงจังหวะนี้ จึงคล้ายเป็นผลพลอยได้หลังจากเกิดการสูญเสียทั้งสามฝ่าย ให้ทั้งหมดได้ตั้งหลักตั้งสติกันอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การปกครองของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นที่ยังคงอยู่
ในเมื่อเกิดข่าวใหญ่สะท้านแผ่นดินเช่นนี้ กุนซือใหญ่กาเซี่ยงจึงคิดสร้างกระแสให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เสนอให้จัดงานสำคัญตอกย้ำพันธะสัญญาขึ้นที่เมืองหลวงฮูโต๋ โดยยกเอาพระราชพิธีฉลองการครองราชย์ครบรอบสามสิบปีของกษัตริย์เหี้ยนเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นเป็นประเด็นหลัก โดยส่งพระราชโองการเชิญขุนนางสำคัญ และตัวแทนชั้นสูงจากต่างแดน รวมทั้งพระเจ้าอาเล่าปี่ เจ้านครฮันต๋ง และซุนกวน เจ้านครกังตั๋ง ให้มาร่วมงานเป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อร่วมในพิธีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษนี้
งานนี้จึงกลายเป็นการวัดใจว่าเล่าปี่ ซุนกวน จะใจกล้า แสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นถึงระดับใด เพราะฮ่องเต้ถึงกับรับประกันความปลอดภัยให้กับทุกคนที่มาร่วมงานด้วยลายพระหัตถ์เอง และอนุญาตให้นำคนติดตามมาได้ด้วย นอกจากนั้น จะเป็นครั้งแรกที่สามบุคคลสำคัญ โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน จะได้มาพบหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อข่าวการจัดงานครั้งนี้เผยแพร่ออกไป ทุกผู้คนทุกเรื่องราวคล้ายจดจ่ออยู่แต่ประเด็นสำคัญนี้ จนยุติความวุ่นวายทางการเมืองไปได้สักระยะหนึ่ง
หลายเดือนต่อมา รูปแบบการทำงานของราชสำนักเปลี่ยนแปลงไป กษัตริย์เหี้ยนเต้กลายเป็นผู้ตัดสินใจงานราชการทั้งหลาย จนดูซูบผอมลง เพราะตรากตรำทำงานด้วยตนเอง แต่ใบหน้าและจิตใจกลับสดชื่นแจ่มใส คล้ายหมอกควันที่ปกคลุมมานานได้จางหายไปแล้ว โจโฉยังคงมาร่วมประชุมเป็นครั้งเป็นคราวก็จริง แต่เพียงเพื่อสานต่องานการที่คั่งค้าง และเสนอความเห็นให้ตัดสินพระทัยเองอีกครั้ง ส่วนโจผีก็ลดบทบาทตัวเองลงให้จำกัดอยู่แค่งานในตำแหน่งจริงๆ และให้เกียรติต่อฮ่องเต้เป็นที่สุด ทำให้กษัตริย์เหี้ยนเต้กล้าเปิดตัวเรียกหาคนที่จงรักภักดีเข้่าสู่ตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนฮองเฮาโจเจี๋ย รวมทั้ง นางสนมเอกคู่แฝดซ้าย-ขวา โจเซียง โจหัว สามสาวสกุลโจ ที่เป็นคนกลางมาโดยตลอด พลอยสบายใจขึ้นกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงขันอาสา จัดเตรียมการแสดงรื่นเริงต่างๆในงานพระราชพิธี ร่วมกับเตียวโถ หัวหน้าขันทีและกุยเฮง ขุนนางผู้ใหญ่ที่ดูแลทูตต่างแดน จนพระราชวังครึกครื้นขึ้นกว่าเดิมมากนัก โดยมีกาเซี่ยงเป็นแม่งานใหญ่คอยดูแลภาพรวมอีกคน
ทางด้านเศรษฐกิจ กิจการการค้าต่างตอบรับต่อกระแสปลอดสงครามอย่างน่ายินดี สถานบันเทิงครบวงจรที่ถูกสร้างขึ้นใหม่กลายเป็นแหล่งกระตุ้นการจับจ่ายได้เป็นอย่างดี จนถูกขยับขยายออกไปทุกหัวเมืองใหญ่ในรูปแบบกิจการผูกขาดตามที่วางแนวทางเอาไว้ ทำให้วุยก๋งโจผี กุนซือสุมาอี้ และขุนคลังจงฮิว กลายเป็นเจ้าสัวใหญ่ในพริบตา
เปลือกนอกก็เป็นเช่นนั้นเอง สกุลโจ สุมา และจง กลายเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่มีอำนาจบารมีทั้งทางการเมืองและการค้า แม้แต่โจหองที่เคยเป็นถุงเงินใหญ่ของตระกูลยังดูบารมีหม่นหมองลงกว่าเดิม เพราะกิจการบางส่วนที่พัวพันขัดแย้งกับกลุ่มทุนใหม่นี้ ก็ถูกโจผีเจรจาไกล่เกลี่ยให้ขายทิ้งออกไปจากเส้นทางการค้าไปเสียหมดสิ้นแล้วเช่นกัน
ในขณะที่สามตระกูลนักการค้ากำลังมาแรง สุมาอี้กลับมีเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยต่อคนอื่นทั่วไป เพราะค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน จู่ๆ เตียวชุนฮัว ภรรยาที่เป็นอัมพาตมาตั้งแต่สุมาเจียวกำเนิดใหม่ๆ กลับลุกขึ้นเดินเหินได้อย่างปกติ ซ้ำยังทำหน้าที่ภรรยาได้ดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จนมันยังไม่อาจตัดใจเปิดโปงนางได้ มิหนำซ้ำ ยังยินยอมหาเหตุข้ออ้างให้สุมาสู สุมาเจียว ลูกชายทั้งสองย้ายออกไปพักอาศัยที่อื่นเป็นการชั่วคราวเสียด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้พวกมันทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
มันย่อมล่วงรู้ไม่ยากจากการส่งข่าวของศิษย์น้องจูกัดเหลียงว่า ภายใต้หน้ากากของเตียวชุนฮัว สมควรจะเป็นหญิงสาวที่คนทั้งแผ่นดินยกย่องว่า เป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นนักโทษที่เจ้านายโจโฉต้องการตัวอย่างมาก และเป็นทายาทจอมโจรพรรรคฟ้าเหลืองอันเลืื่องชื่อ นางคือเตียวเฟิง จารชนพันหน้า
นางโจรเตียวเฟิงถูกตามล่าจากพวกโจโฉและเล่าปี่ สูญเสียที่พึ่งพิงอย่างโจเจียงผู้บุตร และกลุ่มพรรคฟ้าเหลืองที่เหลือเพียงไม่กี่คน ย่อมหมดสิ้นหนทางไปแล้ว การที่นางจะเลือกมาหลบซ่อนอยู่กับตนเองก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะนางก็รู้อยู่เช่นกันว่า ตนแอบชอบพอกับนางมานาน แต่ในอดีตย่อมไม่อาจบ่งบอกความในใจต่อกัน
กุนซือเต่าสมถะ สุมาอี้ ดูเป็นคนนิ่งเฉย เยือกเย็น แต่ภายในใจ ชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย จึงได้แต่ซุกซ่อนหญิงงามชื่อเสียงอื้อฉาวเอาไว้ในบ้านเรือนตนเอง โดยแสร้งทำเป็นโง่งม ไม่รู้ความนัย ในขณะที่เตียวเฟิงก็คล้ายมีแผนการอันใด กลับเล่นบทบาทภรรยาที่ดี ไม่เอ่ยปากบอกกล่าวออกมาเช่นกัน ทั้งสองจึงกลายเป็นคู่รักที่พบพานในยามสูงวัย จนต้องจับตาดูว่า นาวารักจะอยู่ได้ยืนยาวสักเพียงไรกัน
อีกประการหนึ่ง เตีัยวชุนฮัวที่ดูว่าป่วยเป็นอัมพาตนั้น ที่จริงก็เป็นฝีมืออำมหิตของตัวมันเอง ที่จัดการล้างแค้นฝังใจในเรื่องที่ถูกโจผีแอบสวมรอยทิ้งคนรักเก่า แถมมีลูกติดมาด้วย มันจึงเลี้ยงสุมาสู หรือโจสู ทายาทของโจผี ให้เป็นนักรบหยาบกร้าน เน้นบู๊ทิ้งบุ๋น ในขณะที่สุมาเจียวกลับปราดเปรื่องทั้งบุ๋นทั้งบู๊เหมือนกับบิดา
แต่เดิม มันต้องการให้เตียวชุนฮัวได้เห็นฉากที่โจผีกับโจสูกลายเป็นลูกที่สร้างความชอกช้ำให้กับพ่อและแม่ของตนเอง มันจึงรอคอยเลี้ยงดูให้เด็กน้อยค่อยๆเติบโตมาเช่นนี้ แต่หากต้องให้แลกความสะใจที่ทำให้เตียวชุนฮัวเจ็บช้ำมากขึ้นกว่าเดิม กับความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันกับเตียวเฟิง หรืออดีตนางเปียนสี ภายใต้ร่มเงาของจอมทรราชย์โจโฉ บางที มันอาจจะรู้สึกสาสมใจกับตัวเลือกแบบที่สองมากกว่าเสียแล้ว
ในค่ำคืนหนึ่งที่สุขสันต์ เตียวชุนฮัวที่เปลือยเปล่าร่างกายอยู่ในอ้อมกอดของสุมาอี้ พลันเปิดหน้ากากตนเองออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าสวยสะคราญที่สะท้านแผ่นดินมายาวนาน พร้อมกล่าวคำพูดท้าทายกุนซือเต่าสมถะอย่างจงใจ “ในเมื่อท่านได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าแล้ว ขอให้ท่านจงช่วยปกป้องชีวิตให้ข้าด้วยตลอดไป”
สุมาอี้แย้มยิ้มไม่กล่าวคำใดๆ นอกจากพลิกร่างกดทับร่างกายของนางงามที่มีชื่อ เตียวเฟิง เตียวเสี้ยน เปียนสี และอีกมากมายหลายชื่อ ราวกับยอมรับโดยดุษฎีแล้ว นางเตียวเฟิงก็ไม่คาดคั้นต่อ เพราะจากประสบการณ์การผ่านผู้ชายมาหลายคนในชีวิต ทำให้เรียนรู้แล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามได้สยบอยู่ภายใต้ชายกระโปรงของนางไปแล้วหลายส่วน เพียงแต่นางจารชนสาวจะเดินเกมตามที่ได้สัญญาไว้กับนางแอ่นน้อยหรือไม่ ยังไม่มีใครล่วงรู้ได้เลย นอกจากตัวนางเอง
ในที่สุด ข่าวการสิ้นอายุขัยของเตียวชุนฮัว ฮูหยินที่เป็นอัมพาตติดเตียงมาสิบกว่าปี จึงถูกประกาศออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับข่าวการเปิดตัวฮูหยินคนใหม่ที่แซ่เตียวเฉกเช่นกัน แม้ว่าสองพี่น้อง สุมาสู สุมาเจียว รู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง แต่ก็พอทำใจได้ เพราะมารดาก็เป็นเพียงคนป่วยไร้การตอบสนองมายาวนาน ไม่มีญาติขาดมิตรมาเยี่ยมเยียน ความผูกพันจึงไม่มากมายนัก อีกทั้ง แม่เลี้ยงคนใหม่ก็วางตัวได้ดี มีอัธยาศัย ราวกับชำนาญการฝ่ายในอยู่แล้ว
ดังนั้น นายหญิงของสกุลสุมาจึงยังคงเป็นเตียวฮูหยิน จนคนที่ไม่ทราบเบื้องลึกยังเข้าใจว่า เตียวฮูหยินยังคงเป็นเตียวชุนฮัวคนเดิม นับว่า สุมาอี้ล้อเล่นกับชื่อเสียงเรียงนาม ปล่อยให้ความเข้าใจผิด และการคาดเดาไปเอง กลบเกลื่อนร่องรอย สร้างตัวตนใหม่ให้กับหญิงงามคู่ใจไปแล้วอย่างง่ายดายนัก เตียวเฟิง - เตียวชุนฮัว
ห่างไกลออกไป ขุนพลนักรบคนสำคัญคนหนึ่งของฝ่ายรัฐบาล กลับรับฟังข่าวสารการเปลี่ยนแปลงภายในเมืองหลวงอย่างไม่สบายใจนัก แผ่นดินฮั่นที่อุตส่าห์ฝ่าฟันรวบรวมมาทั้งชีวิต กำลังจะถูกส่งคืนกลับไปให้กษัตริย์หนุ่มที่อ่อนแอ และความหวังที่ตนเองจะได้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุดทางการเมือง อาจจะถูกกลืนหายไป เพราะการตัดสินใจในวัยชราของโจโฉ จอมทรนงที่ยอมล้างมือในอ่างทองคำกำลังจะเป็นจริงตามคำร่ำลือกัน
มันมองออกไปนอกประตูที่ทำการ เห็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินกำลังซ้อมรบกันอย่างขะมักเขม้น และยังขึ้นตรงอยู่ในสังกัดของมันอยู่ หากแม้นมันนำกองกำลังบุกเข้ายึดกุมอำนาจจากลูกผู้พี่อย่างกระทันหัน และควบคุมตัวกษัตริย์เหี้ยนเต้เอาไว้เสียเอง ก็น่าจะทำได้ไม่ยากเย็นกระไรนัก ทั้งตั๋งโต๊ะและโจโฉเอง ต่างก็เคยทำเป็นตัวอย่างเอาไว้แล้ว มันย่อมสมควรจะกระทำได้เช่นกัน
ดวงตาที่มุ่งมั่นกล้าหาญ ฉายแววเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง กระแสฟื้นฟูราชวงศ์อันใด มันไม่สน ตราบใดที่วิถีแห่งนักรบสามารถตัดสินได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่บัลลังก์ฮ่องเต้ก็ยังไปถึงได้ มิใช่หรือ คราก่อน มันลังเลใจ เคลื่อนไหวชักช้าเกินไปเพียงก้าวเดียว น้องชายร่วมสายเลือดจึงกลายเป็นซากศพกลางสมรภูมิ เปลือกนอกคือการตายของวีรชนผู้กล้า แต่ที่จริง คือ เหยื่อสังหาร เพื่อตักเตือนตัวมันให้รู้จักประมาณตน
ตัวมันเองก็มีชะตากรรมเฉกเช่นเดียวกันกับกวนอูแห่งเมืองเกงจิ๋ว เคยเป็นอันดับสองของขุมกำลัง แต่เลยจุดสูงสุดของชีวิตการงานมาแล้ว ย่อมจะตกต่ำลงเรื่อยๆ หากไม่คิดจะรุกคืบชิงแผ่นดินในครั้งนี้ ก็ต้องรอคอยให้ความตายมาเยือนแล้ว เจ้าแฮหัวตุ้นเอ๋ย
...
ทางฝ่ายเสฉวนของฮันต๋งอ๋อง เล่าปี่ ยังคงมีทีท่านิ่งเฉยต่อความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองหลวง คล้ายยังไม่ค่อยเชื่อสนิทใจเท่าใดนัก แต่ก็จัดส่งเครื่องราชบรรณาการชั้นดี ถวายให้กับกษัตริย์เหี้ยนเต้โดยตรงเป็นการหยั่งท่าทีในเชิงการทูต ตัวแทนฝ่ายตะวันตก อันได้แก่ กุนซือม้าเลี้ยง บัณฑิตคิ้วขาว กับขุนพลรอง เตงจี๋ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากขุนคลังจงฮิว ในฐานะทูตนครเสฉวน เพื่อรวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐบาลฮั่น
ทางฝ่ายกังตั๋งโดยผู้ครองนคร ซุนกวน ก็ไม่แตกต่างกันนัก เพราะพอทราบข่าวความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ก็ให้สองขุนพล ชีเซ่ง เตงฮอง นำเครื่องบรรณาการมาถวายให้ด้วยในช่วงเวลาเดียวกัน ที่จริงแล้ว ขุนคลังจงฮิวสามารถจัดการในระดับข้าราชบริพาร แต่จงฮิวมากประสบการณ์ทางการค้า กลับยกย่องเรียกหาในฐานะทูตนครกังตั๋งเฉกเช่นกัน เป็นการรักษาชื่อเสียงหน้าตาของซุนกวนให้ทัดเทียมกับฝ่ายเล่าปี่
ณ โรงเตี๊ยมสราญรมย์ เหลาชื่อดังแห่งเมืองหลวงฮูโต๋ เตงงายในชุดขุนพล นั่งดื่มสุราพูดคุยกันกับนักรบอีกสองคนภายในห้องรับรองส่วนตัวที่แยกออกห่างไปจากตัวอาคารหลัก ถือเป็นมุมที่สงบเงียบ และเป็นส่วนตัวที่สุด
พักใหญ่ เตงงายค่อยเริ่มทำลายความเงียบ “โชคชะตาพัดพาให้พวกเรากลับมาพบกันจนได้ คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเราเติบใหญ่ไปเป็นเช่นนี้ได้”
สามคนผลัดกันเล่าสถานการณ์ที่ตนเองประสพกันมาอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน สุดท้าย เตงงายจึงค่อยกล่าว “พวกเราต่างอยู่กันคนละฝ่ายพอดี เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไป พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเล่า พี่ใหญ่ พี่รอง”
“หลายปีที่ผ่านมา เจ้าสามได้รับวาสนาสูงที่สุด กุนซือสุมาอี้สนใจให้การสนับสนุน ทั้งได้อยู่ใกล้ชิดขุนคลังจงฮิว ทั้งได้เป็นลูกศิษย์ของห้าพยัคฆ์ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ไว้หลายชั้น ต่อไป น่าจะได้ตำแหน่งก้าวหน้าขึ้นไปอีก ส่วนน้องรอง แม้ได้ใกล้ชิดกับพวกสกุลซุนของกังตั๋งมานาน แต่ยังไม่มีผลงานเด่นชัด ความผูกพันเป็นแค่นายบ่าว คงต้องอาศัยเวลาสักระยะหนึ่งก่อน ส่วนตัวเราเองกลับยังไร้จังหวะโอกาส เจ้านครเล่าปี่กับกุนซือขงเบ้งยังคล้ายมีความขัดแย้งกันอยู่ ขั้วการเมืองจึงร้อนแรงจนเราต้องลดตัวออมฝีมือลงบ้าง เพื่อดูท่าทีต่อไปก่อน” พี่ใหญ่ที่ดูสุขุมลุ่มลึก กล่าวสรุป
“ตอนนี้ สภาพแผ่นดินแยกเป็นสามส่วนชัดเจนก็จริง แต่คนรุ่นบุกเบิกก็เริ่มอ่อนล้าร่วงโรยแล้ว จนเกิดกระแสรวมแผ่นดินขึ้นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่พวกเราเตรียมการไว้จะไม่สูญเปล่าไปหรือพี่ใหญ่” พี่รองที่โผงผางดุดัน เสริมขึ้นบ้าง
พี่ใหญ่พยักหน้ารับ พลางกล่าว “พวกเราสามพี่น้อง แยกย้ายกันไปสามขุมกำลังการเมือง มุ่งหวังสร้างตนสร้างชื่อเสียงให้ตระกูล เพียงหวังว่า พวกเราไม่ต้องมาเจอกันเองในสนามรบ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก แต่ข้ากลับไม่เชื่อว่าการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นจะเกิดขึ้นได้จริงหรอก มาเถิด ดื่มร่วมกันสักรอบ” พี่ใหญ่ชูจอกขึ้นฟ้า ชักชวนน้องชายทั้งสองดื่มกินก่อนรับมือกับช่วงกลียุคครั้งต่อไป
เตงงายมองหน้าพี่ใหญ่ พี่รอง ที่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะเฒ่าเตงบิดาถูกคนฆ่าตาย เด็กกำพร้าสามคนจากเมืองซินเอี๋ยไร้ที่พักพิง จนพี่ใหญ่เป็นคนเสนอให้พวกมันแยกย้ายกันไปสร้างตัวสร้างฐานะ ตัวมันเป็นน้องเล็ก เลือกที่จะขึ้นเหนือไปอยู่เมืองหลวงที่น่าจะมั่นคงปลอดภัยที่สุด พี่รองติดตามผู้คนที่อพยพลงไปเสี่ยงโชคทางใต้ และพี่ใหญ่เลือกที่จะเดินทางไกลไปทางตะวันตกที่ห่างไกลจากไฟสงคราม
หลายปีที่ผ่านไป มันกลายเป็นนักสู้คนสนิทในสังกัดของกุนซือสุมาอี้ พี่รอง เตงฮองเป็นขุนพลคนสำคัญแห่งกังตั๋ง และพี่ใหญ่ เตงจี๋ เป็นนายทหารมีชื่อของเล่าปี่ที่เสฉวนแล้ว พวกมันไม่ได้มุ่งหวังอำนาจ เกียรติยศ หรือชื่อเสียงอันใด เพียงแต่ต้องการอยู่รอดให้ได้ในสังคมการเมืองเฉกเช่นทุกวันนี้เท่านั้น
วันนี้ สามพี่น้องจากสามขุมกำลังที่เป็นคู่อาฆาตกัน กลับมีโอกาสมาพบพานกันได้ในที่สุด หากมิใช่การตัดสินใจพิสดารของโจโฉ นำมาซึ่งการเจรจาทางการทูต และทั้งหมดเผอิญมีส่วนอยู่ในขบวนเจรจาความเมือง เหตุการณ์แบบนี้ยากที่จะเกิดขึ้นได้
เส้นทางชีวิตของผู้คนยามสงครามย่อมผิดแผกแตกต่างกันไป บางคนไขว่คว้าเกียรติยศชื่อเสียง บางคนลุ่มหลงในอำนาจวาสนา และบางคนอาจจะขอเพียงอยู่รอดปลอดภัยไปแต่ละวัน สามพี่น้องตระกูลเตงอาจจะเป็นอีกเศษเสี้ยวหนึ่งในสถานการณ์การเมืองที่มีสีสันเจือจาง แต่มิอาจขาดหายไปจากบันทึกประวัติศาสตร์
หากแม้นคนนอกกระแสอย่างเตงจี๋ยังพอคาดเดาได้ มีหรือกลุ่มคนระดับผู้นำทางการเมืองจะไม่คาดคิด ซุนเกี๋ยน เมธีพิณสังหารซึ่งเก็บตัวมาพักใหญ่เพื่อรักษาบาดแผลที่ถูกฮองตงทำร้ายจนต้องใช้แผ่นหนังปิดตาซ้าย จึงเรียกประชุมด่วนกับพรรคพวกคนสำคัญอันได้แก่ กวนลอ ซินแสโลกทิพย์ ซุนกวน เจ้านครกังตั๋ง ลกซุน เตียวเจียว เสนาบดีฝ่ายบู๊-บุ๋นคนปัจจุบัน ซุนลอง ผู้นำสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก และเล่งทอง หัวหน้าเครือข่ายใต้ดิน ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องหนังสือของซุนกวน นับเป็นการประชุมครั้งสำคัญของสำนักหุบเขาปีศาจร่วมกับสายนิกายเงาอสูรอีกครั้งหนึ่ง ถัดจากการประชุมสายนิกายแสงจรัสที่วัดป่าน้อยที่สอง เขาจวนหยกสันเมื่อหลายปีก่อน
ครั้งนั้น บ้อคง-เล่าเจี้ยงเป็นประธานการประชุม โดยมีเภาเจ๋ง-เล่าฉวน เตียวเหียน ดาวฝาแฝดในคราบของเตียวเจียว ดาวนักปราชญ์ กาเซี่ยง สุมาอี้ ตันฮก เอียวสิ้ว และตันเซ็ก เข้าร่วม ซึ่งบัดนี้ คนส่วนใหญ่กลับจากลากันไป เหลือเพียงเตียวเหียน ตันเซ็กที่อยู่กับเล่าปี่ กาเซี่ยง สุมาอี้ที่อยู่กับโจโฉ และสุดท้าย ตันฮกที่เพิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลง
ตันฮก เล่าฮองที่อาศัยบารมีของเล่าฉวน ผู้เป็นบิดา ยึดครองเมืองซงหยง พร้อมกับเบ้งตัด อุยก๋วน ลูกสมุนที่เฝ้ารักษาเมืองกังแฮ ตั้งแต่ช่วงเวลาความแตกแยกชิงอำนาจภายในก๊กเล่าปี่กับกวนอู ได้ตั้งตนเป็นกลุ่มกองทัพธรรมใหม่ ภายใต้โครงสร้างนิกายแสงจรัส จนเกิดศึกกับเตียวเลี้ยวที่ทำให้สามเฒ่าเหนือโลกได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ และจากนั้น พวกเล่าฮองทั้งหลายจึงมาขอเข้าสังกัดอยู่กับพวกกังตั๋งอย่างเปิดเผยนั้น
แต่บัดนี้ หลังจากที่เกิดกระแสฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นขึ้นมา กองกำลังดังกล่าวกลับประกาศตั้งตนไปขึ้นกับฝ่ายรัฐบาลไปเสียแล้ว โดยเล่าฮองได้รับบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ให้ขึ้นเป็นอ๋องแทนเภาเจ๋ง-เล่าฉวน บิดาผู้ล่วงลับด้วยในทันที นับว่า เล่าฮองได้รับผลบุญเสริมส่ง มีความก้าวหน้าขึ้นทัดเทียมเล่าปี่ ฮันต๋งอ๋อง อดีตพ่อบุญธรรมแล้วด้วยซ้ำ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เป็นหมากทางการเมืองอันล้ำลึกของตันฮก กุนซือกิเลนพิสดาร
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ปกติฝ่ายกังตั๋งผู้ถูกหยามศักดิ์ศรีคงจะยินยอมไม่ได้ แต่สถานการณ์การเมืองที่เกิดกระแสเชิดชูราชวงศ์ในช่วงนี้ กลับทำให้ซุนกวนวางตัวลำบาก ไม่อาจตอแยกับฝั่งรัฐบาล จึงขอให้บิดาจัดประชุมใหญ่ เพื่อรับฟังนโยบายให้ชัดเจน แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาในรูปแบบที่ซุนเกี๋ยนดำเนินงานมาตั้งหลายสิบปี
ซุนกวน มีมุมมองแตกต่างจากบิดาในเรื่องจังหวะการรุกการถอยของสำนักหุบเขาปีศาจ หากแม้นว่า มันเป็นผู้ควบคุมนโยบายมาตั้งแต่ต้น คงจะใช้โอกาสที่นิกายแสงจรัสและนิกายเงาอสูรกำลังแข็งแกร่ง รุกคืบเข้าสู่สมรภูมิ หรือลอบกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้ามให้หนักหน่วงมากกว่านี้ แทนที่จะปล่อยให้กาลเวลา และดวงชะตามาขับเคลื่อน จนฝ่ายของตนเองทรุดโทรมพลาดพลั้งอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลังๆนี้ ดังนั้น สำหรับซุนกวนแล้ว กวนลอ หมอดูสะท้านฟ้าผู้นี้กลับเป็นตัวถ่วง มากกว่าจะเป็นผู้ถือกุญแจโชคชะตา
ซุนเกี๋ยน คุ้นเคยกับบุตรชายดี ย่อมเข้าใจความคิดของซุนกวน แต่ตัวมันเองเชื่อมั่นในคำทำนายของกวนลอมาหลายสิบปี ในขณะที่คำทำนายที่ส่งผลกระทบต่อมันสูงสุด ก็คือ สุดท้ายของชีวิตของมันคือ บัลลังก์พระราชา ความฝันใฝ่สูงสุดที่ทำให้มันยอมอดทน อดกลั้นมาตลอดทั้งชีวิต
กวนลอ จอมพยากรณ์ ย่อมรู้ตัวดีว่า ตนเองจะต้องมีคำตอบให้กับที่ประชุม เมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันแล้ว มันจึงทำพิธีเข้าสู่ภวังค์การทำนาย หลับตาหงายร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างสงบนิ่ง แล้วค่อยๆสั่นเทิ้มทั้งร่างกาย นัยน์ตาเหลือกขาว สุ้มเสียงที่ปกตินุ่มนวล กลับแหบพร่าต่ำลึก ค่อยๆเน้นย้ำคำทำนายออกมา “ยินดีด้วยนะจ้าวพยัคฆ์แห่งทักษิณ ในที่สุด ดาวข่มชะตาของเจ้าก็อับแสงลงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้สำแดงเดช กำหนดงานเลี้ยงพระราชทานที่เมืองหลวง คือฤกษ์งามยามดีที่จะได้ปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ให้คนทั้งโลกได้รับรู้เสียที”
ร่างกายของผู้เฒ่าซุนเกี๋ยนพลอยสั่นเทิ้มไปด้วยความสะเทือนใจ วันที่พวกมันรอคอยมาตลอดทั้งชีวิตมาถึงแล้ว ตรงเข้าสวมกอดซุนกวน ซุนลอง ผู้เป็นบุตร พลางส่งเสียงประกาศก้อง “ชะตาฟ้าลิขิตได้กำหนดออกมาแล้ว พวกเราจงเตรียมการให้พร้อม สกุลซุนจะสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ให้เกรียงไกร”
กวนลอ-เขาเฉียว หลุดจากภวังค์ทิพย์ ถอนหายใจหนักหน่วง พร้อมทิ้งร่างแนบลงกับเก้าอี้ ทุกครั้งที่ถอดจิตทรงเจ้าอัญเชิญวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย มักจะบั่นทอนพลังชีวิตของมันยิ่งนัก แต่ครั้งนี้ ตัวมันกลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่ภารกิจพยากรณ์ครั้งสุดท้ายมาถึงเสียที ที่จริงแล้ว ไม่มีเจ้าที่หรือวิญญาณอันใดมาสิงสู่ ทุกถ้อยคำที่เปล่งออก และการกระทำที่เสแสร้ง ล้วนกลั่นกรองมาจากความคิดของพี่สาม จูกัดกุ๋ย ทั้งสิ้น
เมื่อพี่ใหญ่เล่าหัวถูกสังหารโหดในอารามวัดม้าขาวไปไม่นานนัก พี่สามก็ส่งข่าวลับมาให้มันจัดการแผนขั้นสุดท้ายที่เคยตกลงกันไว้ ผลักดันให้พวกซุนเกี๋ยนลงมือก่อการกลางงานเลี้ยงพระราชทาน งานนี้ จะเป็นการตัดสินชะตาทางการเมืองครั้งสำคัญของแผ่นดินจีนไปอีกยาวนาน สำนักหุบเขาปีศาจหรือบัลลังก์ฮั่นจะยืนหยัดได้ต่อไป
ณ วูบนั้นของความคิดที่ผ่อนคลาย สายตาของกวนลอกระทบกับแผ่นหนังปิดตาบอดของซุนเกี๋ยน สัญลักษณ์โหงวเฮ้งใหม่ที่มีตำหนิเสียหายต่อผู้เป็นเจ้าของ ทำให้ตัวมันกลับมองเห็นลางนิมิตล่วงหน้าซ้อนภาพความเป็นจริงเข้ามาชั่ววูบ เป็นภาพของคนที่มีมันรู้จักคุ้นเคยมาหลายสิบปี เป็นฮ่องเต้ โจโฉ เล่าปี่ ซุนเกี๋ยน ซุนกวน และคนอื่นๆล้วนพากันล้มตายกลาดเกลื่อนพระราชวังภายใต้กองเพลิงที่โหมกระหน่ำ รวมทั้งตัวมันเอง
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ภาพนิมิตเคยถูกและผิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มันจึงไม่เชื่อถือมากนัก แม้ว่า การทำนายอนาคตจะเป็นอาชีพหลักของมันเองก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมต้องให้เวลาเป็นบทพิสูจน์ความเป็นจริง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา