16 ก.ย. 2021 เวลา 23:12 • นิยาย เรื่องสั้น

6.17. ตำนานคนตัดเซียน

ซุนเต๋ง เล่าเสี้ยน โจผี รัชทายาทสามก๊ก
เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงพระราชทาน เกิดกระแสข่าวร่ำลือในทางร้ายเป็นใจความว่า เมืองหลวงฮูโต๋อยู่ลึกเข้าไปในเขตแดนของฝ่ายรัฐบาลฮั่น หากบุคคลสำคัญอย่างเล่าปี่ ซุนกวน เดินทางเข้าไปร่วมงานเลี้ยงพระราชทาน อาจจะถูกจับกุมตัวเอาไว้ได้โดยง่าย ถึงแม้ว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้จะเปิดกว้างให้นำกองกำลังมามากมายเท่าใดก็ตาม หากโจโฉเปลี่ยนใจหักหลังแล้ว ย่อมมิอาจต้านทานกองทัพนับแสนของรัฐบาลได้อยู่ดี
ดังนั้น กาเซี่ยง กุนซือใหญ่ผู้ทำหน้าที่เป็นแม่งาน ไม่อาจนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป จึงมีข้อเสนอพิสดารออกมาให้เรื่องหนึ่ง เป็นงานเลี้ยงกระชับความสัมพันธ์ที่เมืองอ้วนเซีย สมรภูมิกลางแผ่นดินที่ก๊กทั้งสามเดินทางมาถึงโดยง่าย และให้จัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับงานเลี้ยงพระราชทานเลยทีเดียว
ข้อเสนอของกาเซี่ยงเรียบง่าย สามฝ่ายระดมพลมาได้ฝ่ายละไม่เกินสามหมื่นคน ตั้งกองทัพห่างจากตัวเมืองไปหนึ่งร้อยลี้ แล้วให้บุคคลชั้นนำสามคน ประกอบด้วย ทายาทสูงสุดของผู้นำหนึ่งคน กุนซือคนสำคัญหนึ่งคน และขุนพลชั้นเอกหนึ่งคน เข้ามาอยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกัน เพื่อเป็นตัวประกันตลอดทั้งช่วงเวลาจัดงานเลี้ยงพระราชทาน หากแม้นเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่เมืองหลวง ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำสามารถเปิดฉากรุกชิงตัวคนสำคัญของฝ่ายตรงข้ามได้ในทันที
แม้นว่าข้อเสนอจะแปลกประหลาด และสุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า เป็นการเริ่มต้นแสดงความจริงใจได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้นำทางการเมืองทั้งสามฝ่ายจึงตอบตกลง และจัดส่งตัวแทนชุดเล็กให้เข้ามาร่วมงาน ก่อนเคลื่อนพลตัวแทนชุดใหญ่เข้าสู่เมืองหลวงตามกำหนด
ทายาทสูงสูดของโจโฉ ย่อมเป็นวุยก๋ง โจผี กุนซือคนสำคัญเป็นสุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ และขุนพลเอกให้เป็นเตียวเลี้ยว พี่ใหญ่แห่งขุนพลห้าพยัคฆ์ โดยแสดงความจริงใจเพิ่มเติม สั่งการให้ อิกิ๋ม ที่เฝ้ารักษาเมืองอยู่เดิมนั้น ให้นำพากองทหารรักษาเมืองทั้งหมดออกไปตั้งค่ายรักษาการณ์์ความเรียบร้อยใกล้สะพานเตียงปันโห ห่างออกไปทางทิศตะวันออก นับเป็นการเปิดเมืองว่างอย่างจงใจที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฝ่ายเล่าปี่ จึงเสนอชื่อตัวแทนการชุมนุมเป็นทายาทคนโต เล่าเสี้ยน ขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อน และม้าเฉียว ขุนพลเงาหิมะ ในขณะที่ซุนกวน ส่ง ลูกชายคนโต ซุนเต๋ง จูกัดกิ๋น ขุนนางอาวุโส และจิวท่าย ยอดขุนพลองครักษ์ นับว่า แต่ละฝ่ายได้ส่งคนที่สมศักดิ์ศรีเข้ามาทั้งสิ้นตามเจตนารมย์ที่ต้องการแสดงความจริงใจ และมิตรไมตรีต่อกัน
สุดท้าย งานเลี้ยงกระชับไมตรี ถูกจัดขึ้นที่เรือนหฤหรรษ์ โรงเตี๊ยมชื่อดังที่สุดในเมืองอ้วนเซีย โดยมีเหล่าพ่อค้าคหบดีที่มีชื่อเสียงทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่ในสหพันธ์การค้า หรือไร้สังกัด ร่วมกันลงชื่อเป็นเจ้าภาพค้ำประกัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก่อความไม่สงบขึ้นก่อน จะถูกกลุ่มการค้าทั้งแผ่นดินคาดโทษ ไม่ให้ความร่วมมือสนับสนุนการเงินให้อีกต่อไป ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางสังคมที่กลุ่มการค้ารวมตัวกันแสดงพลังการต่อรองกับกลุ่มการเมือง เพื่อเปิดทางให้กระแสปลอดสงครามสำเร็จราบรื่นด้วยดี
ย่ิงไปกว่านั้น หัวหน้าสหพันธ์การค้าทั้งสาม อันได้แก่ จงฮิว หัวหน้าสหพันธ์การค้าหมาป่าเงิน จูกัดจิ๋น หัวหน้าสหพันธ์การค้ามังกรซ่อน และ ซุนลอง หัวหน้าสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ยังเสนอตัวมาเข้าร่วมงานเลี้ยงชุมนุมครั้งนี้ด้วยในฐานะคนกลาง พร้อมกับกลุ่มพ่อค้าคหบดีมากมาย เพื่อสร้างบรรยากาศเป็นมิตร และลดทอนความกดดันให้กับทุกฝ่าย ให้สมกับเป็นงานประสานความสัมพันธ์ไมตรีจริงๆ
เมื่อตัวแทนทั้งสามกลุ่มพร้อมเหล่าองครักษ์ผู้ติดตามมาถึง ได้รับการยืนยันตัวตนจากกลุ่มพ่อค้าแต่ละฝ่าย และได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าสู่เรือนหฤหรรษ์แล้ว กลุ่มนักสู้หลายร้อยคนที่รับจ้างมาจากกลุ่มพ่อค้าวานิชย์ทั้งหลายให้มาเป็นผู้พิทักษ์ ก็เรียงแถวรายล้อมป้องกันไม่ให้คนเข้าออกจากโรงเตี๊ยมดังกล่าว รวมทั้งกระจายกันขึ้นไปยืนยามรักษาการณ์บนกำแพงเมือง โดยมีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นหัวหน้าดูแลความสงบเรียบร้อย
ทั้งหมดล้วนปิดหน้าอำพรางกายไม่ให้จดจำตัวตนได้ เพื่อไม่ให้ถือสาหาความกันในภายหลัง หากต้องลงมือกระทบกระทั่งต่อผู้ทรงอิทธิพลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงถือว่าเป็นหลักประกันความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เบื้องหลังความคึกคักแต่รัดกุมดังกล่าว ย่อมเป็นฝีมือการจัดการร่วมกันของกุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยง กับผู้นำสหพันธ์การค้าสูงสุด ซุนกวน ผ่านตัวกลางคนสำคัญคือ สุมาอี้ หัวหน้าสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินตัวจริง เรียกว่า กาเซี่ยงยอมทุ่มเทอย่างหนักแทบทุกอย่าง เพื่อผลักดันให้งานเลี้ยงพระราชทานที่เมืองหลวงสามารถเกิดขึ้นได้ตามกำหนด
งานเลี้ยงที่ตั้งชื่อสวยหรูว่าเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ไมตรี แต่ที่จริงคือการรวมรวมตัวประกันของแต่ละฝ่าย จึงมีความอันตรายไม่น้อยกว่าการเดินทางเข้าไปถึงใจกลางแผ่นดิน คนทั้งหลายจึงมิอาจไม่ระวังตัวต่อการแทรกแซงจากผู้ไม่หวังดีต่อแผ่นดินอื่นๆด้วยเช่นกัน บทบาทของเหล่าเจ้าสัวและกลุ่มผู้พิทักษ์จึงมีความสำคัญไม่น้อยเลย
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มตัวประกันภายในเรือนหฤหรรษ์ ย่อมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด คนทั้งสามฝ่ายพยายามหลีกเลื่ยงการพบปะกัน แต่สุดท้ายแล้ว การนั่งประจันหน้ากันในยามดื่มกินของพิธีการงานเลี้ยงสำคัญ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่ากลุ่มสหพันธ์การค้า และตัวแทนพ่อค้าทั้งหลายได้จัดเตรียมสุราอาหารอันโอชะ และการแสดงรื่นเริงต่างๆมาให้รับชมกันอย่างเพลิดเพลิน หวังใจให้ผ่อนคลายความกดดัน แต่กลับย่ิงสร้างความอึดอัดใจ จนร่ำร้องในใจ ใคร่จะเร่งเวลาให้จบสิ้นโดยเร็ว
วุยก๋ง โจผีในวัยสามสิบปีเศษ ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลที่ปกครองเมืองอ้วนเซีย ยึดครองตำแหน่งที่นั่งประธานในพิธี มองดูหนุ่มน้อยซุนเต๋งในวัยยี่สิบปีเศษ และเด็กน้อยเล่าเสี้ยนที่อายุเพียงสิบสามปี ซึ่งนั่งอยู่ในลำดับซ้ายขวาถัดไปแล้ว กลับรู้สึกเหลวไหลไร้สาระที่ต้องมาจับเจ่าอยู่ที่นี่ แทนที่จะได้อยู่ร่วมเหตุการณ์สำคัญในเมืองหลวง
เมื่อเปรียบเทียบท่าทีของสามทายาทผู้นำทางการเมืองแล้ว โจผีถือเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ จึงมีความเชื่อมั่นสูง และออกจะดูแคลนฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้าง ส่วนหนุ่มน้อยซุนเต๋งกลับวางตัวพอเหมาะพอควร ราวกับบัณฑิตทรงความรู้ ยากจะคาดเดาความลึกล้ำในใจ แต่เล่าเสี้ยนกลับแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยเยาว์ จึงดูคล้ายจะโง่งม และประหม่าเคอะเขินอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น โจผี ซึ่งรอจังหวะมานานจนเกินครึ่งค่อนคืนแล้ว จึงยกมือขึ้นห้ามปราม พร้อมส่งเสียงก้อง “พวกเราทั้งสามฝ่าย รวมทั้งตัวแทนกลุ่มสหพันธ์การค้า ไม่ค่อยมีโอกาสมาเจอะเจอกันในช่วงเวลาอันเบิกบานเช่นนี้ อย่ามัวเสียเวลาดูการแสดงพื้นๆเช่นนี้เลย มาสนุกสนานในรูปแบบของพวกเราดีกว่า
ในเมื่อพวกเราตัวแทนประกอบด้วยทายาทสูงสุด กุนซือปราดเปรื่อง และขุนพลหาญกล้า ข้าจึงขอเสนอให้พวกเราส่งคนออกมาประลองบุ๋นบู๊กันสามรอบ ส่วนฝ่ายสหพันธ์การค้า ก็ให้หัวหน้าแต่ละคนผลัดกันออกมาเป็นผู้กำหนดกติกาการประลอง และเป็นกรรมการตัดสินในแต่ละรอบ”
แววตาดุดันอำมหิตของโจผีไม่ได้เก็บอาการแต่อย่างใด แสดงว่า โจผีเดินเกมข้างกระดาน มุ่งหวังใช้การแข่งขันสามรอบ แสดงอำนาจบารมีข่มใส่ตัวแทนอีกสองฝ่าย คล้ายจะยั่วยุให้คนอื่นทำผิดข้อตกลงก่อน เพื่อทำลายการกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้
ขุนคลัง จงฮิว ที่เป็นหัวหน้าสหพันธ์หมาป่าเงิน คล้ายกับนัดแนะกันอยู่ก่อนแล้ว จึงประสานรับคำเชื้อเชิญกึ่งท้าทายในทันที ด้วยการก้าวออกมาประกาศ “ขอเชิญตัวแทนฝ่ายบู๊ ขุนพล เตียวเลี้ยว ม้าเฉียว จิวท่าย ออกมาตรงกลางเวทีด้วยเถิด”
วิสัยนักสู้เมื่อถูกท้าทาย ย่อมไม่เกรงกลัว โจผี จงฮิวมาไม้นี้ กระตุ้นให้นักสู้ออกมาเป็นกลุ่มแรก ทำให้การประลองมิอาจไม่มีเสียแล้ว ขุนพลทั้งสามก้าวออกมายืนรอรับฟังกติกา จงฮิว จอมเจ้าเล่ห์กลับพลิกโผ ส่งเผือกร้อนต่อไปให้กับซุนลอง หัวหน้าสหพันธ์หน้าใหม่ ต่ออีกทอดหนึ่ง “เชิญท่านซุนลองเป็นผู้กำหนดกติกาเถิด แต่ขอย้ำชัดว่า ห้ามก่อให้เกิดการต่อสู้กันจนบาดเจ็บโดยเด็ดขาด”
ซุนลอง มีศักดิ์ศรีเป็นน้องร่วมสายเลือดกับซุนกวน ย่อมไม่อาจแสดงความอ่อนด้อย จึงมองไปทางฝ่ายกังตั๋ง เห็นนายน้อยซุนเต๋งปัดป่ายเสื้อผ้าไปมา คล้ายกับขับไล่ยุงแมลง พลันขบคิดได้ด้วยประสบการณ์ในอดีตว่า ขุนพลจิวท่ายเคยฝึกฝนพลังเสื้อผ้าเหล็ก
ซุนลองเดินไปชักกระบี่จากผู้พิทักษ์มาถือไว้ในมือออกมาประกาศ “กติการอบแรกไม่ยากนัก สหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยกนับถือผู้กล้าหาญเป็นสำคัญ เพียงผู้ใดสามารถใช้ร่างกายหักกระบี่เล่มนี้ได้ ก็ถือว่า เป็นผู้ชนะแล้ว”
เตียวเลี้ยว ม้าเฉียว ฟังแล้วงงงันไปวูบหนึ่ง จู่ๆจะเอาร่างกายเลือดเนื้อไปให้โดนกระบี่ทิ่มแทงได้อย่างไรกัน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากโต้แย้ง จิวท่ายกลับเดินยืดอกเข้าหากระบี่ของซุนลองอย่างห้าวหาญ เสียงทึบดังขึ้น หนึ่งครั้ง สองครั้ง และสามครั้ง ตามมาด้วยเสียงเคร้งดังสนั่น กระบี่ในมือซุนลองกลับไม่อาจทนทานขุนพลจิวท่าย ถึงกับหักสะบั้นเป็นสองท่อนไปแล้ว จิวท่ายยังแสดงความจริงใจ กระชากอกเสื้อเปิดกล้ามอกเป็นมัดๆให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ไม่ได้สวมใส่เสื้อเกราะอ่อน หรือซุกซ่อนกลเม็ดปาหี่ใดๆเอาไว้
ที่จริง พลังเสื้อผ้าเหล็กคุ้มครองร่างกายบางส่วนได้เพียงช่วงสั้นๆ ไม่อาจต้านทานแรงกระแทกด้วยพลังภายในขั้นสูง หากสู้รบจริงจังยาวนาน จึงไม่ค่อยเกิดประโยชน์ใดๆ ดังนั้น ยอดฝีมือน้อยคนจะทุ่มเทฝึกปรือวิชาดังกล่าว แต่ซุนลองเสนอให้ประลองด้วยวิธีดังกล่าว กลับเป็นการเปิดช่องให้จิวท่ายได้แสดงพลังฝีมืออย่างเต็มที่ สามารถรวบรวมพลังมาคุ้มครองหน้าอก จนกระแทกกระบี่หักไปได้
เตียวเลี้ยว ม้าเฉียวเป็นนักรบมากประสบการณ์ ย่อมเดาออกได้ในทันทีว่า ฝ่ายตรงข้ามอาศัยความสามารถเฉพาะตัวมาเป็นข้อได้เปรียบ แต่ก็ถูกต้องตามกติกาที่กำหนด ไม่อาจโต้แย้งใดๆ จึงได้แต่ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในรอบแรกให้กับฝ่ายกังตั๋งนำไปก่อนแล้วหนึ่งรอบ ทั้งๆที่ชื่อเสียงของจิวท่ายนับว่าอ่อนด้อยกว่าพวกตนเองมากนัก
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ซุนลองกำหนดกติกาได้ดี ประลองบู๊ได้โดยไม่ต้องต่อสู้กันให้บาดเจ็บ ส่วนจิวท่ายก็มีพลังเสื้อผ้าเหล็กที่ยอดเยี่ยม สมกับคำร่ำลือจริงๆ” วุยก๋ง โจผี ปรบมือยอมรับ ประกาศมอบรางวัลให้กับจิวท่ายเป็นทองคำแท่งหนึ่งถาดใหญ่
การประลองเริ่มต้นแล้ว ย่อมต้องดำเนินต่อไป จูกัดจิ๋น หัวหน้าสหพันธ์มังกรซ่อน รู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงพาลก้าวเดินออกมาทำหน้าที่บ้าง เสียงจงฮิวกล่าวประกาศ “ขอเชิญตัวแทนสายบุ๋น กุนซือ สุมาอี้ ขงเบ้ง จูกัดกิ๋น และห้ามก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อกัน”
เสียงซุบซิบดังขึ้นจากกลุ่มพ่อค้าคหบดีทั่วทั้งห้องโถง เพราะสามคนดังสกุลจูกัดกลับมาปรากฏตัวอยู่ร่วมกัน ผู้ประกาศกติกาคือน้องเล็ก และผู้เข้าร่วมประลองคือพี่ใหญ่ และพี่รอง เห็นทีคนแซ่สุมาจะเสียเปรียบเสียแล้ว เห็นสุมาอี้ จูกัดกิ๋น ยืนประสานคารวะไปรอบๆ ในขณะที่ขงเบ้ง-จูกััดเหลียง เลื่อนเก้าอี้ล้อหมุนตามออกมาในภายหลัง
จูกัดจิ๋นนึกถึงการละเล่นในวัยเด็กภายในครอบครัว หวังให้คนสกุลจูกัดได้เปรียบ จึงพุ่งปราดไปที่มุมห้องไกลๆ ดึงใบไม้จากต้นไม้ประดับบนโต๊ะข้างห้อง มากำเอาไว้ แล้วค่อยสาวเท้ากลับมายืนที่เดิม “สหพันธ์การค้ามังกรซ่อน เน้นหนักเรื่องการตัดสินใจที่ถูกต้อง กติการอบสองจึงทดสอบเรื่องความคิดวิเคราะห์ จงทายว่า ในมือข้าพเจ้ามีใบไม้กี่ใบ”
จูกัดกิ๋นกับขงเบ้งสบตากันวูบหนึ่ง ในวัยเยาว์ น้องเล็กมักนำเอาการละเล่นแบบนี้มาก่อกวนอยู่บ่อยครั้ง เป็นก้อนหินบ้าง เม็ดหมากบ้าง หรือ เหรียญเงินบ้าง ซึ่งในมือน้อยๆของน้องเล็กในยามนั้น ปิดกุมได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น พี่ทัั้งสองจึงทายได้ถูกต้องทุกครั้ง สร้างความงุนงงสงสัยให้กับน้องเล็ก จนกลายเป็นเรื่องเล่าในครอบครัว ในเมื่อจูกัดจิ๋นนำเอาเรื่องนี้มาทาย ย่อมเป็นตัวเลขเช่นเดิม ไม่หนึ่งใบก็สองใบเท่านั้น
“หนึ่งใบ” ขงเบ้งรีบตอบคนแรก เสมือนกระตุ้นให้พี่ใหญ่ชิงตอบก่อนสุมาอี้ด้วยเช่นกัน
“สองใบ” จูกัดกิ๋นเชื่องช้ากว่าบ้าง แต่ก็เข้าใจความคิดของน้องรองอย่างเร็วไว รีบส่งเสียงบ้าง เป็นการปิดทางพ่ายแพ้ให้กับสกุลจูกัดไปแล้ว
จึงเหลือแต่สุมาอี้ที่พบว่าตนเองตกหลุมพรางสกุลจูกัดเข้าแล้ว คำตอบที่ถูกต้องสมควรถูกช่วงชิงไปแล้ว แต่พอหันไปมองดูต้นไม้ประดับที่ถูกดึงมาเป็นโจทย์ ก็แย้มยิ้มในใจ
เห็นสุมาอี้ค่อยๆก้าวเดินมาใช้สองมือยึดกุมมือของจูกัดจิ๋น พลางพริ้มตานิ่งไปพักใหญ่ และค่อยเริ่มลูบไล้ไปมา จนผู้คนเริ่มส่งเสียงหัวร่อในท่าทีอันแปลกประหลาด จนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนก้านธูป ในที่สุด สุมาอี้คล้ายพึงพอใจ ค่อยลืมตา คลายมือที่เกาะกุมออก พร้อมตะโกนตอบ “ไม่่มีแม้แต่ใบเดียว” เรียกเสียงฮือฮาไปรอบห้องโถง
จูกัดจิ๋นเองก็ยิ้มเยาะ ค่อยๆกางมือออก แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้าง ไม่มีใบไม้เลยสักใบเดียวดั่งที่สุมาอี้กล่าวไว้ แต่กลับเห็นของเหลวข้นเหนียวสีเขียวกองหนึ่งติดอยู่ที่ใจกลางฝ่ามือ
จูกัดเหลียง สบตากับพี่ใหญ่ โบกพัดขนนก ส่ายหน้าที่พลาดท่าเสียเชิง ในขณะที่ผู้คนค่อยเข้าไปสังเกตพิจารณาต้นไม้ที่เป็นโจทย์ แท้จริงเป็นเพียงงานประดิษฐ์ดอกไม้ ใบไม้ด้วยเยื่อกระดาษชุบสี และขดลวด ดังนั้น เมื่อจูกัดจิ๋นถูกสุมาอี้กุมมือเป็นเวลานานจนขัดเขิน ไอความร้อนและเหงื่อจากร่างกายจึงทำลายใบไม้ปลอม จนคืนสภาพเป็นของเหลวอีกครั้ง หากแม้นมันไม่รีบชิงตอบออกไปก่อน ก็คงสังเกตพบได้ไม่ยากเช่นกัน
การนำเยื่อกระดาษมาตกแต่งเป็นดอกไม้ประดับ เพิ่งเริ่มเผยแพร่มาจากเมืองซินเอี๋ย กลายเป็นสินค้าโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้เอง ร่ำลือว่า ผู้ที่คิดค้นเป็นอัจฉริยะประหลาด ที่ชอบทำสิ่งของแปลกใหม่ มีนามว่า ม้ากิ๋น อดีตนักประดิษฐ์ขี้เมา
โจผีเห็นว่า ฝ่ายของตนพลิกสถานการณ์มาได้ชัย จึงรีบกล่าวประกาศรับรอง “สุมาอี้ได้ชัยในรอบสอง จัดรางวัลให้เป็นทองคำแท่งหนึ่งถาดใหญ่เช่นกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”
แน่นอนว่า โจผีต้องกระหยิ่มใจยินดี เพราะสกุลโจกับสกุลซุนชนะหนึ่งรอบ สกุลเล่ายังไม่ชนะเลย ในเมื่อรอบสุดท้าย ผู้กำหนดกติกาคือจงฮิว หัวหน้าสหพันธ์หมาป่าเงินที่เป็นฝ่ายของตนเอง และคู่แข่งขันก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยเยาว์วัยสองคนเท่านั้นเอง งานนี้ สกุลโจย่อมต้องเป็นที่หนึ่งได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ขุนคลังจงฮิว ก้าวออกมาเชื้อเชิญผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้าย ซึ่งได้แก่ โจผี เล่าเสี้ยน และซุนเต๋ง “กติกาในรอบสุดท้าย ตัดสินด้วยโชคชะตา สหพันธ์การค้าหมาป่าเงินกำลังรุ่งเรืองด้วยกิจการการพนัน เพิ่งคิดค้นการละเล่นใหม่ ใช้ท่อนไม้ตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ขีดเขียนเป็นตัวเลขหนึ่งถึงหกเอาไว้ จึงให้แต่ละท่านผลัดกันทอยลูกเต๋าคนละสามลูกในถ้วยเคลือบดินเผาเช่นนี้ ใครได้แต้มน้อยที่สุด คือ ผู้ชนะในรอบนี้” จงฮิวใช้โต๊ะสูงตรงหน้าเป็นเวทีประลองในครั้งนี้ พร้อมสาธิตวิธีการละเล่นแบบใหม่ให้เห็นกัน
เมื่อรูปแบบการแข่งขันดัดแปลงมาจากการละเล่นวงพนัน กลุ่มพ่อค้าคหบดีจึงพลอยสนุกสนาน ลงพนันขันต่อกันตามอัธยาศัย ฝ่ายโจกับฝ่ายซุนพอมีคนเชื่อมั่นอยู่บ้าง เสียงสนับสนุนไม่น้อยหน้ากัน แต่ฝ่ายเล่ากลับไม่มีใครมั่นใจถือหางด้วยเลย
โจผีถือว่าตัวเองได้เปรียบ ทั้งคุ้นเคยกับการเล่นทอยเต๋าเป็นอย่างดี จึงอาสาเริ่มต้นก่อน “เราขอประเดิมการละเล่นเช่นนี้ให้ได้ชมกันก่อน” ว่าแล้ว โจผีก็แสดงฝีมือกวาดลูกเต๋าไม้ทั้งสามด้วยถ้วยเคลือบคว่ำ เขย่าหมุนอยู่กลางอากาศโดยไม่ต้องใช้จานรองอยู่พักนึง แล้วค่อยกดถ้วยลงบนจานรองกลางโต๊ะ เมื่อเปิดออก เต๋าทั้งสามลูกล้วนเป็นเลขหนึ่ง ถือว่าเป็นแต้มน้อยที่สุดในการละเล่นแบบนี้ นับเป็นการปิดประตูแพ้ให้กับตนเองแล้ว
คนที่สนับสนุนถือหางฝ่ายโจผีย่อมส่งเสียงโห่ร้องยินดี ส่วนคนที่ไม่ใช่ก็ส่งเสียงครางด้วยความเสียดาย มาถึงตอนนี้ ห้องโถงที่เคยอยู่ในสภาพอึดอัดใจมาตลอดทั้งวัน กลับผ่อนคลายลง และกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว คือ การเดิมพันลูกเต๋าที่อยู่เบื้องหน้า
นายน้อยซุนเต๋งเป็นลำดับถัดไป เห็นหยิบเอาลูกเต๋ามาเดาะชั่งน้ำหนักบนฝ่ามือทีละลูกๆ แล้วค่อยโยนขึ้นฟ้าพร้อมกันทั้งสามลูก ใช้ถ้วยเคลือบดินเผากวาดรับ แล้วพลิกมือหมุนไปมา บัดเดี๋ยวเห็นลูกเต๋าลอยพ้นขอบถ้วย บัดเดี๋ยวเห็นลูกเต๋ากลับคืนเข้าสู่ถ้วย สองสามครั้ง ค่อยคว่ำมือตบลงบนจานเช่นกัน เมื่อยกถ้วยออก กลับเห็นลูกเต๋าทั้งสามลูกเรียงซ้อนกันเป็นสามชั้น แสดงให้เห็นแค่แต้มหนึ่งแต้มเดียวของเต๋าลูกบนสุด
เสียงฮือฮาปรบมือกึกก้องยิ่งขึ้นกว่าเมื่อครู่ ผู้ที่อยู่ในห้องโถงล้วนมีประสบการณ์โชกโชน ย่อมรู้ว่า ฝีมือการทอยเต๋าของนายน้อยตระกูลซุนยังเหนือกว่าโจผีเป็นหลายเท่าตัวนัก การทำเช่นนี้ได้ต้องผ่านช่วงเวลาการฝึกฝนมาไม่น้อยเลย
ซุนเต๋งรอให้เสียงอื้ออึงเบาบางลง ค่อยกล่าววาจาเป็นครั้งแรก ถึงกับเปล่งประกายราศรี สมกับเป็นทายาทตระกูลซุน “พวกเรากังตั๋งมีการติดต่อกับดินแดนไกลโพ้นมาเนิ่นนานนัก การละเล่นทอยเต๋าเช่นนี้ คนในตระกูลเคยเล่นมาตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้จึงขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยให้เห็นกันทั่วหน้า เพ่ื่อเพิ่มความครึกครื้นให้กับพวกท่านทั้งหลาย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลซุนจึงพลิกขึ้นมาเป็นว่าที่ผู้ชนะ เพราะไม่ว่าจะทำเช่นไร สุดท้าย หนึ่งแต้มย่อมปรากฏ ซุนเต๋งน่าจะคว้าชัยชนะได้แล้ว โจผีได้แต่คลั่งแค้นอยู่ในใจ จังหวะนั้น ฝ่ายเล่ากลับมีความเคลื่อนไหว ขงเบ้งคล้ายไม่สนใจผู้คน ผลักเก้าอี้ล้อหมุนออกมาหน้าโต๊ะประลอง รวบหยิบลูกเต๋าไม้ขึ้นมาเป่ารอบหนึ่ง แล้วค่อยหย่อนลงในถ้วยเคลือบ และส่งต่อให้กับเล่าเสี้ยน เด็กน้อยวัยเยาว์ผู้เข้าประลองเป็นคนสุดท้าย
เห็นเล่าเสี้ยน ปิดถ้วยด้วยจานรอง กลายเป็นการกลับด้านอุปกรณ์ จานอยู่ด้านบน ถ้วยที่มีเต๋าอยู่ด้านล่าง แล้วเริ่มต้นเขย่าหมุนไปมา เพียงคล้ายไม่มีเสียงลูกเต๋าเล็ดรอดออกมา แล้วค่อยวางลงตบมือซ้ำเลียนแบบท่าทางเมื่อครู่ แต่อาจจะออกแรงหนักมือไปหน่อย กลับตบทั้งจานทั้งถ้วยพลิกกระจาย เห็นลูกเต๋าไม้ทั้งสามลูกกลับกลายเป็นเศษผงไปหมดสิ้น คนที่มีความคิดย่อมดูออกว่า ขงเบ้งใช้ลูกเล่นทำลายลูกเต๋าไว้ในตั้งแต่ช่วงต้นแล้ว
การละเล่นนี้เป็นของใหม่ในเมืองจีน จึงยังไม่ทันกำหนดข้อห้ามไม่ให้ใช้พลังยุทธ์ทำลายอุปกรณ์บอกเลข ทุกคนในห้องโถงจึงตกตะลึงในผลลัพท์ที่เกินความคาดหมาย จนเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากจูกัดเหลียงที่ลูบหนวด โบกพัดขนนกอย่างสาสมใจ “ลูกเต๋าเป็นฝุ่นผง ไม่หลงเหลือเลยสักแต้มเดียว จึงเป็นแต้มต่ำที่สุดแล้ว”
จงฮิวงงงัน ยังไม่ทันจะโต้แย้ง เสียงปรบมือจากนายน้อยซุนเต๋งก็ดังขึ้นเป็นการสนับสนุน เพราะคำนวนได้่ว่าการเสมอกันทั้งสามฝ่ายย่อมเป็นทางออกที่สวยงาม ตามมาด้วยเสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมจากคนอื่นๆดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
กุนซือสุมาอี้รับรู้ว่า งานนี้พลาดท่า แต่ไม่ถึงกับพ่ายแพ้ เพราะแต่ละฝ่ายล้วนได้หนึ่งคะแนน จึงรีบประกาศ “รอบที่สาม ฝ่ายเล่าเป็นผู้ได้ชัย เท่ากับทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการกระชับความสัมพันธ์ ท่านโจผีโปรดมอบรางวัลเถิด”
โจผี นึกยินดีที่อย่างน้อยพวกซุนก็ไม่ใช่ผู้ชนะเหนือกว่าตนเอง จึงลุกขึ้นประกาศ “น้องเล่าเสี้ยนเป็นผู้ชนะ สมควรได้รับทองคำแท่งหนึ่งถาดใหญ่เช่นกัน การแข่งขันจบสิ้นลงแล้ว มา มา พวกเรามาดื่มกันต่อเถิด”
สุราอาหารพรั่งพรูเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง บัดนี้ งานเลี้ยงกลับดูคึกคักสนุกสนาน บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องราวการแข่งขันเมื่อครู่ โดยเฉพาะฉากที่อาเต๊าทำลายลูกเต๋า ถูกยกให้เป็นจุดสูงสุดแห่งฉากการแข่งขัน จนค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เสียงโห่ร้องเข่นฆ่าดังขึ้นมาแต่ไกล พร้อมกับแสงเพลิงลุกสว่างทางทิศตะวันออก ผู้พิทักษ์ที่ดูแลความปลอดภัยบนกำแพงเมืองแทนทหารรักษาการณ์ รีบเข้ามาแจ้งข่าว “เล่าฮอง ตันฮก นำทัพกังแฮมาตามลำน้ำ ลอบโจมตีทัพอ้วนเซียที่เชิงสะพานเตียงปันโห เผาทำลายที่มั่นชั่วคราวของอิกิ๋มจนแตกพ่าย และกำลังมุ่งตรงมายังทางนี้แล้วขอรับ”
เดิมที เล่าฮอง เป็นคนของสกุลเล่า แต่แปรพักตร์เข้ากับสกุลซุน และเพิ่งขอย้ายเข้าสังกัดกับฝ่ายรัฐบาลที่มีสกุุลโจค้ำจุนอยู่ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง สืบต่อจากบิดาเล่าฉวน นับว่ามีความสัมพันธ์อยู่กับทุกฝ่ายการเมือง ดังนั้น การที่เล่าฮองฝ่าฝืนราชโองการมาเช่นนี้ จะถือว่าเป็นฝ่ายใดเริ่มต้นผิดพันธะสัญญาในครั้งนี้เล่า
เหล่าตัวแทนทั้งสามฝ่ายมองหน้ากันไปมา เพราะไม่รู้ว่าเล่าฮองเป็นพวกใครหรือไม่ภายนอก มีกองทัพใหญ่กำลังใกล้เข้ามา หากแต่ภายในกลับไม่อาจไว้วางใจใครได้เช่นกัน ยังไม่ทันที่ทายาทจะเอ่ยปาก กุนซือทั้งสามก็ชิงประกาศไปในทำนองเดียวกัน “ส่งสัญญาณฉุกเฉิน ให้กองทัพสามหมื่นด้านนอกอ้อมเมืองไปต่อต้านกองทัพกังแฮทางทิศตะวันออกโดยเร็ว ส่วนเหล่าผู้พิทักษ์จงฟังคำสั่ง ห้ามกองทัพทุกฝ่ายบุกรุกเข้าเมืองโดยเด็ดขาด ฝ่ายใดขัดขืน ฆ่าได้ไม่ต้องละเว้น”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา