18 ก.ย. 2021 เวลา 00:36 • นิยาย เรื่องสั้น
6.18. อิทธิฤทธิ์พิณสังหาร
เหี้ยนเต้ กษัตริย์ด้อยบารมี - ซุนเกี๋ยน ทายาทสกุลดัง - เมธีพิณสังหาร ประมุขสำนักหุบเขาปีศาจ
นับจากคณะตัวแทนชุดเล็กเดินทางไปถึงเมืองอ้วนเซียเรียบร้อยแล้วเมื่อวันก่อน คณะตัวแทนชุดใหญ่ก็ออกเดินทางผ่านเข้าสู่เมืองหลวงด้วยเช่นกัน ตัวแทนฝ่ายเสฉวนสามคน ประกอบด้วย ฮันต๋งอ๋อง เล่าปี่ กุนซือวิหคสวรรค์ เสียวเอียนจื่อ และขุนพลท่องเมฆา จูล่ง นำขบวนทัพติดตามมาสามพันนาย ส่วนตัวแทนฝ่ายกังตั๋ง เป็น เจ้านครซุนกวน กุนซือพยัคฆ์คะนอง ลกซุน และขุนพลโจรสลัด กำเหลง ก็นำกำลังคนมาทัดเทียมกัน
ทั้งสองฝ่ายมาบรรจบทัพกันที่นอกเมืองอ้วนเซีย คู่แค้นคู่อาฆาตต่างยังคงรักษาท่าทีมึนตึงเย็นชาต่อกัน เพราะเพิ่งมีคดีความกันอยู่ ตัวแทนฝ่ายเจ้าภาพ อันได้แก่ทายาทอันดับสอง โจสิด รักษาการหัวหน้าสำนักหอสมุดใต้หล้า กุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยง และขุนพลเตียวคับ ตั้งทัพจำนวนหนึ่ง รอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว จึงขอให้พักกองทหารไว้ด้านนอกเมือง และนำกลุ่มตัวแทนเปิดทางเข้าสู่เมืองหลวงฮูโต๋อย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี
วุยอ๋อง โจโฉ และจูกัดเอี๋ยน องครักษ์ รออยู่ในขบวนแถวต้อนรับอาคันตุกะที่หน้าประตูเมือง เมื่อคู่ต่อสู้ทางการเมืองทั้งสองมาถึง โจโฉถึงกับลุกออกจากที่นั่งเดินมาต้อนรับทักทายด้วยตัวเอง ยามนี้ เล่าปี่ ซุนกวน เป็นแขกบ้านแขกเมือง ย่อมไม่กล้าเสียมารยาท ต้องรีบลงจากเกี้ยวหาม ลงมาคารวะตอบต่อคู่ปรับทางการเมืองที่ยอมลดตัวลงมาต้อนรับ นับว่า นอกเหนือความคาดหมาย หรือว่า เสือเฒ่าจะยอมถอดเขี้ยวเล็บอย่างจริงจัง
โจโฉไม่ยึดถือพิธีรีตรองใดๆ ถึงกับจูงมือเล่าปี่ ซุนกวนคนละข้าง ลากเดินเข้าสู่เมืองหลวง พูดคุยทักทายกันเหมือนกับเพื่อนฝูงญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาแสนนาน นำหน้าขบวน โดยมีโจสิด กาเซี่ยง เตียวคับ เสียวเอียนจื่อ จูล่ง ลกซุน และกำเหลง เดินตามกันเป็นพรวน กลายเป็นภาพอันน่าประทับใจอีกฉากหนึ่งของประชาชนทั่วไป
จังหวะนี้เอง กาเซี่ยงจึงแสร้งเดินพูดคุยไปกับเสียวเอียนจื่อที่ถือไม้เท้าพยุงตัวมาด้วย คล้ายมีอาการเท้าแพลง นี่คือการพบปะกันครั้งแรกของสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์ที่หลงเหลือเพียงสองคน “น้องเรา พี่น้องเราเหลือใครพอจะติดต่อได้ในวันสองวันนี้หรือไม่”
นางแอ่น-เสียวเอียนจื่อฝืนยิ้มตอบคำ “พี่ท่านสามารถแสดงความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ของหน่วยได้หรือไม่เล่า การตายของพี่สี่ (นกฮูก) สร้างความกังขาต่อท่านยิ่งนัก”
“นกฮูกโดนโจโฉลอบทำร้ายกระทันหัน เราเองทราบในภายหลังเช่นกัน จึงมิอาจทำกระไรได้ แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ พวกเราคงได้แก้แค้นได้สาสมใจยิ่งนัก” กาเซี่ยงกล่าว
เสียวเอียนจื่อจะตอบคำเพ่ิมเติม แต่ลกซุน ตัวแทนฝ่ายกังตั๋งคล้ายก้าวเดินมาร่วมวงสนทนาด้วยเสียแล้ว “พวกท่านพูดคุยเรื่องราวอันใด ให้ข้าร่วมวงด้วยได้หรือไม่ หรือว่า ต้องรอให้เวลาเป็นบทพิสูจน์เท่านั้น”
สองกุนซือจึงงุนงงไปวูบใหญ่ ในขณะที่ลกซุนกล่าวเฉลย “การพบปะพูดคุยระหว่างสุดยอดกุนซือนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้น หากแต่ข้าพเจ้าในช่วงหลังเรียนรู้การอ่านปากผู้คนในระยะไกล ทำให้พอคาดเดาได้แล้วว่า พวกท่านเป็นเหล่าวิหคเฉกเช่นเดียวกันกับท่านอาของข้าพเจ้า แต่พวกท่านสบายใจได้ เพราะเราต่างเป็นพวกเดียวกัน”
ลกซุนยิ้มพราย สร้างความตื่นตระหนกให้กับกระตั้ว นางแอ่น ต่างนึกถึงคำพูดของหมอฮัวโต๋ที่เคยย้ำเตือน “คนที่มีพลังจิตเช่นกัน หรือ คนที่เคยกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักมาก่อน จะมีแรงต้านทานมากกว่าคนทั่วไป จากประวัติที่ตรวจสอบนั้น ลกซุนเอง น่าจะเป็นพวกที่มีปัญหาในวัยเด็กแล้ว” ครั้งหลังสุด เป็นลกซุนที่หลบหนีไปก่อนที่จะถูกลบล้างความทรงจำ จึงเกรงว่า พวกมันกำลังเผชิญหน้ากับอัจฉริยะโรคจิตเสียแล้ว
อีกทั้ง ยามนี้ ลกซุนถึงกับมีศักดิ์ฐานะใหม่เป็นหลานเขยของซุนกวนไปแล้วด้วย พวกสกุลซุนในยามขาดแคลนผู้คน จึงยกซุนหยง บุตรีของซุนเซ็กให้กับลกซุนเพื่อเป็นการผูกมัดจิตใจอัจฉริยะคลื่นลูกใหม่ นับเป็นการลงทุนทางการค้าครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ขบวนต้อนรับอาคันตุกะมุ่งหน้าสู่เรือนรับรองเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย และเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงพระราชทานในวันรุ่งขึ้น โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวนที่เดินนำหน้า กลุ่มกุุนซือที่ปรึกษาก็มาเดินเคียงคู่กัน คล้ายดั่งเป็นมิตรสหาย ยังคงเหลือแต่กลุ่มนักสู้ ตั้งแต่ จูล่ง เตียวคับ กำเหลง ที่มองดูระแวดระวังท่าทีผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
จากที่เกิดเหตุการณ์กองทัพกังแฮบุกเมืองอ้วนเซียอยู่นั้นเป็นช่วงรุ่งสาง ทางด้านเมืองหลวงอยู่ห่างไกลออกไปประมาณหนึ่งวันเดินทาง จึงยังไม่รับทราบข่าวความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น จึงยังคงมีการจัดงานเลี้ยงพระราชทานในเช้าวันถัดมาตามกำหนดการเดิม คนสำคัญทางการเมืองกำลังทะยอยเดินทางเข้าสู่บริเวณงานท่ามกลางการตรวจตราที่เข้มงวดของจูกัดเอี๋ยน ที่กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์เป็นการชั่วคราวอีกครั้ง
ความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีฉลองครบรอบการครองราชย์สามสิบปี ย่อมไม่อาจดูแคลนได้ เพราะบุคคลที่เข้าร่วมงานเลี้ยง ล้วนแต่มีความสำคัญทางการเมือง การปกครองของแผ่นดินทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเข้าร่วมงานของสามเจ้าพระยา อันได้แก่ เจ้าพระยาปราบอุดร-ทักษิณ-บูรพา แฮหัวตุ้น สมุหกลาโหม โจหยิน สมุหราชเลขาธิการ และโจหอง สมุหนายก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้กลับมาเข้าเฝ้าพร้อมหน้ากัน นับตั้งแต่การได้รับพระราชทานตำแหน่งจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ คงขาดแต่วุยก๋ง โจผี ผู้ที่เป็นถึงพระมหาอุปราชที่ต้องไปรับหน้าที่สำคัญอยู่ที่เมืองอ้วนเซียเท่านั้น
ด้านขุนนางนายทหารที่สามารถปลีกตัวมาได้ ก็ล้วนอยู่ในงานแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น กาเซี่ยง โจสิด อองลอง กากุ๋ย เตียวคับ จูกัดเอี๋ยน รวมทั้ง เตาจี๋ เทียนอู เจ้าเมืองเปงจิ๋ว กิจิ๋วที่ดูแลแนวรบด้านเหนือมาโดยตลอด ส่วนทูตานุทูตต่างแดนที่มาร่วมในงาน เช่น ชนเผ่าโกกุเรียว ซงหนู เซียนเปย ซึ่งเป็นพันธมิตรอยู่กับแผ่นดินฮั่นอยู่แล้ว รวมทั้ง เผ่าเกี๋ยง เผ่าตี จากฟากตะวันตก เผ่าเย่ เผ่าม่าน จากแดนใต้ ซึ่งมีเขตแดนใกล้ชิดกับฝ่ายเล่าปี่ ซุนกวน ทั้งนี้ ชนเผ่าชายแดนประชิดติดกันย่อมถือเป็นโอกาสที่จะเข้าร่วมแสดงความยินดีต่อกษัตริย์หนึ่งเดียวของแผ่นดินตามจังหวะการเมืองที่ผันแปร
เนื่องจากผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงพระราชทานมีจำนวนมากมายยิ่งนัก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการกราบไหว้ฟ้าดิน และบรรพกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นแล้ว พวกขุนนาง นายทหาร และอาคันตุกะจากต่างแดนจึงถูกจัดอยู่ที่นั่งไว้ที่ลานกว้างด้านหน้าพระราชวัง คงเหลือแต่เพียงกลุ่มตัวแทนจากสามผู้นำการเมือง และสามเจ้าพระยาที่ได้รับเกียรติสูงสุด เข้าไปนั่งที่ท้องพระโรงหลวง ร่วมกับฮ่องเต้ ทางหนึ่งเป็นการจำกัดจำนวนคนตามขนาดของสถานที่ อีกทางหนึ่ง เพื่อให้กลุ่มผู้นำทางการเมืองพูดคุยกันได้เต็มที่
ดังนั้น ภาพของกลุ่มคนในท้องพระโรง จึงมีตั้งแต่ กษัตริย์เหี้ยนเต้ ที่นั่งเป็นประธานอยู่ที่โต๊ะตั่งยกสูงด้านหน้าพระราชบัลลังก์ กำกับด้านหลังโดย กุยห้วย บุตรชายของกุยเฮง ที่เพิ่งถูกส่งเสริมให้เป็นหัวหน้าองครักษ์คนใหม่แทนจูกัดเอี๋ยน และเตียวโถ ขันทีอาวุโส ผู้ดูแลเรื่องการแสดงรื่นเริง ด้านซ้ายเป็นวุยอ๋อง โจโฉ กับกาเซี่ยง เตียวคับ ถัดไปเป็นเล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ จูล่ง ด้านขวาเป็นสามเจ้าพระยา แฮหัวตุ้น โจหยิน โจหอง ถัดไปเป็นซุนกวน ลกซุน กำเหลง รวมแล้วเพียงสิบห้าโต๊ะตั่งเท่านั้นเอง
ประเมินคร่าวๆ เหมือนขุมกำลังแต่ละฝ่ายจะสมดุลย์กันพอสมควร แต่ที่จริง ฝ่ายรัฐบาลมีคนมีฝีมือมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ทั้งสามเทวะ และเตียวคับ ก็ล้วนแต่เป็นมือไม้สำคัญของโจโฉทั้งสิ้น ในขณะที่เล่าปี่ ซุนกวน มีเพียงฝ่ายละสองคนเท่านั้น แสดงว่า โจโฉเองก็ได้จัดวางกำลังไว้รับมือต่อสถานการณ์ไม่คาดฝันไว้แล้ว ไม่นับรวมกับกุยห้วย และกององครักษ์วังหลวงนับพันนายที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ในพระราชวังอยู่แล้ว
เพียงแค่งานเลี้ยงพระราชทานเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เค้าความวุ่นวายโกลาหลก็ปรากฏ ขบวนผลไม้สดจากกังตั๋งที่สมควรเดินทางมาถึงพร้อมกันกับขบวนตัวแทนเจ้านครนั้น กลับเพิ่งมาถึงที่หน้าประตูพระราชวัง หากปฏิเสธไม่รับของกำนัล ก็เกรงว่าจะเสียน้ำใจของเจ้านครซุนกวน ดังนั้น กาเซี่ยงพ่องานใหญ่ จึงสั่งการให้เปิดทางสะดวกให้นำผลไม้สดเข้ามาในโรงครัวโดยเร่งด่วน เพื่อแจกจ่ายออกไปตามโต๊ะตั่งต่างๆ กลับกลายเป็นช่องว่างให้คนนอกหนึ่งกลุ่มใหญ่สามารถหลุดรอดปะปนเข้ามาในวังหลวง
การแสดงหลากหลายชุดเริ่มต้นขึ้นแล้วที่ลานด้านหน้าท้องพระโรงตามกำหนดการ โจฮองเฮา-โจเจี๋ย พร้อมกับนางสนมโจเซียง โจหัว ยืนปะปนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักแสดงทั้งหลายหลายร้อยชีวิตในฐานะประธานผู้ประสานงานฝ่ายใน เพราะคนส่วนใหญ่เป็นพวกนางกำนัลอยู่แล้ว จึงสมควรต้องมีผู้ใหญ่ฝ่ายในมากำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วขันทีเตียวโถถึงกับเชื้อเชิญให้นางทั้งสามคนร่วมแสดงการแสดงชุดสุดท้ายด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องลับที่ปกปิดไว้เพื่อสร้างความประทับใจต่อพระสวามีโดยตรง
กลไกการดำเนินงานขับเคลื่อนไปตามที่เคยตระเตรียมซักซ้อมกันไว้ ด้านสุราอาหารก็โยกย้ายผลัดเปลี่ยนไปพร้อมๆกันกับการแสดงชุดต่างๆ เป็นที่เพลิดเพลิน และสมพระเกียรติของงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดๆที่ผ่านมา จนดำเนินมาถึงการแสดงชุดสุดท้าย ความตึงเครียดเข้มงวดของเหล่าองครักษ์ รวมทั้งกาเซี่ยงพ่องาน และขันทีเตียวโถค่อยผ่อนคลายลง เพราะใกล้จะถึงเวลาจบสิ้นพิธีการสำคัญแล้ว
นางรำกลุ่มสุดท้ายออกมาประจำที่ เป็นชุดระบำนางฟ้าอำนวยพร จึงปกปิดใบหน้าของนักแสดงทุกคนไว้ด้วยผ้าบางๆ และถือกระบี่ไม้ไว้ในมือ โจเจี๋ยทั้งสามนั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ที่ใจกลางของวงล้อมขนาดใหญ่ พร้อมกับกุยฮวย นางรำอันดับหนึ่ง รับบทบาทเป็นสี่นางฟ้าหลัก จำนวนนักแสดงในชุดนี้มีถึงหนึ่งร้อยแปดคน ยืนซ้อนกันเป็นชั้นๆ นับว่า ใช้คนไม่น้อย เพื่อให้เป็นการแสดงปิดฉากได้อย่างประทับใจที่สุด
กลุ่มนักดนตรีเป็นคนเบื้องหลังที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์มาโดยตลอดตั้งแต่ต้น โดยไม่มีใครสนใจ ดังนั้น จึงเป็นช่องว่่างที่ทำให้กลุ่มคนที่ปะปนเข้ามาพร้อมกับขบวนบรรณาการเจ้าปัญหาเมื่อช่วงเช้า สามารถสับเปลี่ยนตัวเข้ามาด้านในพระราชพิธีแล้ว
เสียงพิณดังกังวานขึ้นทำลายความเงียบจากนักดนตรีสูงวัยที่มีแผ่นหนังปิดตาข้างหนึ่ง แต่แทนที่จะเป็นบทเพลงอำนวยพรจากสรวงสวรรค์ กลับกลายเป็นกว่างหลิงส่าน บทเพลงมรณะของเมธีพิณสังหารที่เลื่องลือกัน ดังก้องกังวานคลุมทั่วทั้งพระราชวัง
ทุกคนในบริเวณวังหลวงล้วนงุนงงสงสัย แต่ทันใดก็เริ่มมีผู้คนทะยอยล้มตัวลงครวญครางแสดงอาการเจ็บปวดราวกับเสียงพิณเสนาะหูคือทำนองแห่งความตายอย่างแท้จริง กลุ่มคนที่อ่อนแอ ไม่มีวิทยายุทธ์ เช่น ขุนนาง ทูตานุทูต นางกำนัล นักแสดง นักดนตรี และขันทีรับใช้ ล้วนล้มลงระเนระนาด หมดสติไปก่อนแล้ว จึงตามมาด้วยกลุ่มขุนพลนายทหารที่ีอ่อนด้อยฝีมือ หลงเหลือเพียงพวกบุคคลชั้นนำที่พอมีฝีมือติดตัวที่รีบนั่งสมาธิต่อต้านเภทภัยเอาไว้ แต่ก็เริ่มมีบางคนทนไม่ไหว หงายหลังสลบไปอีกไม่น้อย
แน่นอนว่า ย่อมมีคนมีฝีมือพยายามบุกจู่โจมคนที่บรรเลงพิณ หากแต่ไม่มีอาวุธคู่มือ เพราะถูกริบเอาไว้ด้านนอก ได้แต่หยิบฉวยกระบี่ปลอมที่ตกหล่นอยู่ตามพื้น ในขณะที่นักดนตรีกลุ่มหนึ่งกลับไม่สะทกสะท้าน หยิบฉวยอาวุธที่ซุกซ่อนมาในเครื่องดนตรี ยืนรายล้อมป้องกันตัวผู้บรรเลงพิณเอาไว้ และลงมือทำร้ายหนักหน่วง จนคู่ต่อสู้บางคนล้มตายด้วยอาวุธ หรือไม่ก็ พ่ายแพ้หมดสติเพราะพลังเสียงพิณไปเอง
เหล่าองครักษ์รอบนอกรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติ พยายามจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่เสียงดนตรีมรณะคล้ายออกฤทธิ์เดชรุนแรงมากขึ้น สามารถกระแทกพลังใส่อย่างไร้ปรานี ถึงกับเจาะจงฉีกกระชากวิญญาณของกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายชัดเจนได้ในทันที
นี่คือการก่อการร้ายครั้งสำคัญของซุนเกี๋ยน หรือเมธีพิณสังหาร ที่หวังจะใช้งานเลี้ยงพระราชทานทำลายล้างกลุ่มบุคคลสำคัญของแผ่นดินให้หมดสิ้นในคราวเดียว พวกโจโฉ เล่าปี่ หรือแม้แต่กษัตริย์เหี้ยนเต้ คือเป้าหมายในการจู่โจม โดยความร่วมมือของ กาเซี่ยง เตียวโถ และจูกัดเอี๋ยน ที่หลอกลวงคนทั้งแผ่นดินอย่างแนบเนียน
กุนซือกาเซี่ยงจัดงานใหญ่ รับอาสาดูแลรับผิดชอบภาพรวม จึงใช้หน้าที่สำคัญระดมเหยื่อมาให้พร้อมหน้ากัน และกีดกันเขี้ยวเล็บบางส่วนให้แยกออกไปอยู่ห่างไกล ด้วยการเสนอจัดงานกระชับไมตรีที่เมืองอ้วนเซีย แบ่งแยกกำลังสำคัญไปมากมาย ส่วนหัวหน้าขันทีเตียวโถ ดูแลงานการแสดง และจูกัดเอี๋ยน องครักษ์ ดูแลความปลอดภัย จึงเปิดช่องให้พวกซุนเกี๋ยนที่ปะปนมากับขบวนบรรณาการ สามารถเปลี่ยนตัวเข้ามาปลอมเป็นกลุ่มนักดนตรีได้ในช่วงเวลาสุดท้าย
ที่จริง ทั้งสามคนเป็นคนใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงกับร่วมมือกันหลอกลวงกษัตริย์เหี้ยนเต้อย่างซึ่งหน้ามาเนิ่นนาน แสร้งบอกว่า มีความจงรักภักดี สร้างกองกำลังเพื่อต่อต้านโจโฉอยู่ภายในวัง หมายจัดงานสังหารจอมทรราชย์ แต่ที่จริง กลับกลายเป็นการร่วมมือกันกับซุนเกี๋ยน เจ้าสำนักหุบเขาปีศาจ นับว่า แผนการครั้งนี้ อำมหิตไม่น้อยเลยทีเดียว
งานสำคัญครั้งนี้ ซุนเกี๋ยนถือว่า สำคัญยิ่งยวด การลงมือต้องทำให้สำเร็จ เพื่อการยึดครองแผ่นดิน มิใช่หยุดแค่กำจัดจอมทรราชย์ ถึงกับไม่เตรียมการพิเศษให้กับพวกซุนกวนไว้ล่วงหน้า หวังให้สถานการณ์สุกงอมจริงๆ ค่อยเปิดเผยตัวตน ซุนกวน ลกซุน กำเหลง จึงพลอยล้มเกลือกกลิ้งอยู่ตรงนั้นไปด้วยตามสถานการณ์พาไป จนซุนเกี๋ยนส่งสัญญาณให้กวนลอ ซินแสโลกทิพย์ ที่อยู่ด้านข้าง ลงมือช่วยเหลือให้ปลอดภัย
เนื่องจากซุนกวนทั้งสามยังปะปนอยู่ในบริเวณนั้นนั่นเองที่ทำให้ซุนเกี๋ยนไม่กล้าลงมือ เร่งพลังเสียงเพลงมรณะกำจัดผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรง จำต้องแยกคนเหล่านั้นออกมาก่อน จึงลงมือขั้นสูงสุด สังหารผู้คนทั้งหมดด้วยพลังเสียงพิณในคราวเดียว
ส่วนการที่กวนลอ กับเหล่านักดนตรีปลอมสามารถต้านทานเสียงพิณมรณะได้ เป็นเพราะกลเม็ดง่ายๆ คือ การยัดสีผึ้งเข้าไปในรูหู ปิดกั้นเสียงทั้งหลายเอาไว้ ทั้งหมดจึงเหมือนเป็นคนหูหนวกไปชั่วคราวเท่านั้นเอง
การลงมือครั้งนี้ ถือว่า นอกเหนือจากการคาดการณ์ของพวกขบวนการฟ้าดินเป็นยิ่งนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา กวนลอที่อยู่เคียงข้างซุนเกี๋ยนมาตั้งแต่ต้น เพียงเข้าใจว่า บทเพลงพิณสังหารเป็นเพียงกลลวงที่ตนเองหลอกลวงซุนเกี๋ยนให้เสียเวลาทุ่มเทศึกษา
ครั้งนั้น เป็นตนเองรับแผนลับจากจอมบงการจูกัดกุ๋ย นำเคล็ดวิชาบทเพลงมรณะที่อุปโลกน์ขึ้นจากเพลงกว่างหลิงส่าน ไปส่งมอบให้ซุนเกี๋ยนนำไปฝึกฝนตีความเอาเอง เพื่อเป็นเงื่อนไขดึงเวลาไม่ให้ซุนเกี๋ยนก่อการรุนแรงก่อนเวลาที่เหมาะสม จนเมื่อถึงเวลาการก่อกวนแผ่นดิน จูกัดกุ๋ยเองค่อยนัดแนะให้พวกเตียวเลี้ยว และคนอื่นๆ แสร้งออกอาการเหมือนถูกทำร้ายด้วยเสียงดนตรี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ซุนเกี๋ยนมองเห็นความก้าวหน้า กล้่าที่จะก้าวเดินเข้าสู่หลุมพรางที่ถูกจัดวางไว้ที่เมืองหลวงในครั้งนี้
ตามแผนการของจูกัดกุ๋ย เมื่อซุนเกี๋ยนลงมือใช้บทเพลงพิณสังหารจอมปลอมกลางงานเลี้ยง แต่ไม่เกิดฤทธิ์เดชใดๆ ซุนเกี๋ยนย่อมถูกสังหารด้วยน้ำมือของพวกโจโฉ และพวกซุนจะถูกกวาดล้างไปก่อนในฐานะขบถต่อแผ่นดิน พอการต่อสู้วุ่นวายเกิดขึ้น พวกจูกัดกุ๋ยทั้งหลายจะฉวยโอกาสกำจัดพวกโจโฉ เล่าปี่ไปพร้อมกับกับกษัตริย์เหี้ยนเต้ และป้ายสีว่า ผู้นำทั้งสามฝ่ายลงมือต่อกัน พลาดพลั้งทำร้ายฮ่องเต้ จึงเปิดทางให้พวกขบวนการฟ้าดินที่ควบคุมจุดสำคัญ ชักนำเข้าสู่สถานการณ์สุดท้ายที่ต้องการได้
แต่เมื่อเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ พวกขบวนการฟ้าดินจึงไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหว หลงเหลือเพียงกวนลอ ซินแสโลกทิพย์ คนที่ไม่มีฝีมือยุทธ์ติดตัวเลย ที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่อาจจะพลิกคืนสถานการณ์ให้กลับมาได้เท่านั้น
กวนลอมีโอกาสทองเพียงช่วงนี้เท่านั้น ครั้งนี้ ตัวมันเองก็เหมือนโดนหลอกเช่นกัน หากแต่ซุนเกี๋ยนไม่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตราย จึงจับมันไว้ข้างกายให้ช่วยดำเนินตามแผนการเดิม ในมือมันมีก้อนสีผึ้งสามชุด เพียงพอช่วยเหลือคนได้สามคนเท่านั้น
ชั่วเสี้ยวเวลานั้น มันรีบประเมินศักยภาพของบุคคลที่พอใช้ได้เบื้องหน้า กุนซือวิหคสวรรค์ เสียวเอียนจื่อ เก่งทั้งบุ๋นบู๊ น่าจะเป็นคนแรก ขุนพลท่องเมฆา จูล่ง พวกเดียวกัน น่าจะเข้าขากันดี ลงมือได้พร้อมกัน ส่วนคนที่สามเล่า สมควรจะเป็นพวกโจโฉสักคน หรือ คนในกลุ่มขบวนการฟ้าดินเอง อย่างเช่น จูกัดกุ๋ยที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด
พอมันคิดเรื่อยเปื่อยไปชั่ววูบ ขณะที่เดินผ่านเหล่านางระบำที่ล้มฟุบหมดสติกันนั้นเอง นางรำผู้หนึ่งกลับพุ่งตัวคว้าก้อนสีผึ้งในมือไปชุดหนึ่ง แยกใส่รูหูปิดกั้นเสียงมรณะได้ในทันที และหยิบกระบี่ปลอมที่ตกอยู่กับพื้น พุ่งเข้าจู่โจมใส่ซุนเกี๋ยน แต่ก็ต้องเผชิญการต่อต้านจากพวกนักดนตรีปลอม เป็นนางสนมโจเซียง นักบู๊หญิงที่มีวิทยายุทธ์พอตัว และเตรียมจะร่ายรำถวายต่อกษัตริย์เหี้ยนเต้นั่นเอง
กวนลอรีบฉวยโอกาสที่เกิดความเปลี่ยนแปลง แสร้งทำสะดุดเท้าต่อเนื่อง ปล่อยให้ก้อนสีผึ้งในมืออีกสองชุดลอยไปใส่เสียวเอียนจื่อกับจูล่ง ที่ยังอดทนนั่งต้านเสียงพิณมรณะได้อยู่ ทั้งสองคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิม จึงรีบยัดก้อนสีผึ้งใส่รูหู แล้วลงมือจัดการแก้ไขสถานการณ์ในทันที
จูล่งพุ่งตัวคว้ากระบี่ปลอมใช้ออกในกระบวนท่าสยบมังกร ถึงแม้เป็นเพียงกระบี่ไม้ แต่อานุภาพของเพลงกระบี่ก็ถูกเปล่งออก กวาดกระแทกพวกนักดนตรีปลอมพังพินาศไปแถบหนึ่ง เปิดช่องให้เห็นผู้บรรเลงเพลงมรณะให้เห็นถนัดตา เสียวเอียนจื่อจึงรีบขว้างถ้วยสุราทองเหลืองกระแทกใส่พิณกู่เจิ้งเต็มแรง ถึงกับลงมือที่อาวุธ ไม่ใช่ที่ตัวผู้ลงมือ ทำให้ซุนเกี๋ยนไม่ทันป้องกันการโจมตีเช่นนี้
เสียงโพล๊ะดังแทรกขึ้นพร้อมกับหยาดสุราที่ราดรดตามร่างกายของซุนเกี๋ยน พอตัวพิณที่ทำจากไม้ถูกทำลายเสียหาย เสียงเพลงมรณะก็ขาดหายไปในทันที ซุนเกี๋ยนตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ลดละความพยายาม คว้าเอาพิณกู่ฉินที่อยู่ด้านข้างมาบรรเลงต่อ ถึงกับมีอานุภาพร้ายแรงเช่นกัน แสดงว่า ตัวพิณกลับไม่ใช่ข้อจำกัดสำคัญ เพียงแต่ปัญหาก็คือ เสียงพิณกู่ฉินอาจจะเบาบางกว่า ครอบคลุมใส่พื้นที่ได้น้อยกว่า เท่านั้นเอง
ที่จริงแล้ว คนที่ช่วยให้ซุนเกี๋ยนค้นพบเคล็ดวิชามรณะนี้ ก็คือ เฒ่ากระเรียน ซึ่งตกเป็นเครื่องมือให้กับนิกายแสงจรัสอยู่เนิ่นนาน ซุนเกี๋ยนที่ท้อแท้กับการตีความมาหลายสิบปี ถึงกับลองแอบเลียบเคียงจากผู้เฒ่าลึกลับซึ่งมีความรอบรู้ในศาสตร์โบราณ จึงชี้แนะวิธีการเดินพลังปราณ แทรกเสริมกับพลังเสียงเครื่องดนตรีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งก็คือ พิณกู่เจิ้งที่ก้องกังวาน แต่พิณกู่ฉินเองที่ทุ้มต่ำลุ่มลึก ก็สามารถใช้การได้ เพียงแต่เสียงเบา จึงเกิดประสิทธิภาพในวงที่จำกัดมากกว่า พอซุนเกี๋ยนเรียนรู้เคล็ดดังกล่าว กลับปกปิดเอาไว้เป็นความลับ ไม่บอกเล่าให้ใครรู้ แม้แต่กวนลอ คนที่มอบตำราให้ด้วยซ้ำ
เสียวเอียนจื่อ จูล่ง และโจเซียงไม่ได้ตกอยู่ภายใต้เสียงพิณอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกอะไร หากแต่พวกสี่เทวะ เตียวคับ และลกซุน กำเหลง กลับรู้สึกเหมือนแรงกดดันลดลงไปมาก จึงพอสะกดต้านพลังเสียงได้บ้าง รีบเคลื่อนกายหยิบกุมกระบี่ปลอมขึ้นมาเตรียมตัว
จูล่งกับโจเซียงยังสอดประสานการรุกต่อกัน หวังใช้แผนเดิม เปิดทางให้เสียวเอียนจื่อลงมือซ้ำอีกครั้ง จนสามารถผลักดันให้เกิดช่องว่างได้อีกวูบหนึ่ง เสียวเอียนจื่อจึงรีบขว้างปาส่ิงของในมือเข้าใส่เมธีพิณสังหารกับพิณกู่ฉินที่ใช้อยู่ทันที
ครั้งนี้ สิ่งของที่ถูกขว้างปาเข้าใส่ ถึงกับเป็นผลไม้สดจากกังตั๋งหลายลูกต่อเนื่องกัน แต่ผลไม้ที่ถูกอัดด้วยพลังลมปราณย่อมไม่อาจดูแคลนได้ ซุนเกี๋ยนจึงเหมือนถูกบีบคั้นให้ลอยตัวหลบหนีไปพร้อมกันกับพิณกู่ฉิน จนสุดท้าย ซุนเกี๋ยนถึงกับเลือกทรุดตัวลงนั่งบนพระราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ พร้อมเร่งเร้าพลังเสียงพิณขึ้นอีกครั้ง
ที่จริง ตำแหน่งของพระราชบัลลังก์นับเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีเพราะตั้งอยู่สูงสุด สามารถมองเห็นผู้คนในท้องพระโรงได้ชัดเจน แสดงว่า ซุนเกี๋ยนกำลังจะเจาะจงส่งพลังเสียงใส่เป็นรายคนได้เลย หากแต่ซุนเกี๋ยนลืมคนสำคัญที่หายไปจากสายตาคนหนึ่ง หรืออาจจะเรียกว่า คนที่ไม่เคยคิดว่าสำคัญ เป็นกษัตริย์เหี้ยนเต้ที่อาศัยจังหวะชะงักงันเมื่อครู่ พลิกตัวไปซ่อนอยู่ด้านหลังบัลลังก์ ซึ่งเป็นจุดที่มีพลังเสียงอ่อนด้อยที่สุด
เห็นกระบี่ทะลุผ่านพนักบัลลังก์ออกมา จนด้านปลายแหลมโผล่พ้นกลางอกของซุนเกี๋ยน ปักตรึงเอาไว้บนที่นั่งกษัตริย์ ซุนเกี๋ยนแทบไม่เชื่อสายตาว่า ตนเองที่ฝึกฝนพลังยุทธ์มานาน กลับมาตกตายเช่นนี้ จึงเหลือบตาข้างเดียว มองไปยังนักพยากรณ์คู่ใจที่แสร้งตายปะปนกับผู้อื่นอยู่ใกล้ตัว คล้ายถามไถ่ กวนลอจึงชี้ที่ดวงตาราวกับบอกว่า “โหงวเฮ้งสำคัญท่านแปรเปลี่ยน แต่ท่านก็ได้ตายบนบัลลังก์กษัตริย์ สมดั่งใจท่านแล้วมิใช่หรือ”
ซุนเกี๋ยนคลั่งแค้นใจจนตาที่เหลือเพียงข้างเดียวนั้นเบิกกว้าง แต่วิญญาณกลับหลุดลอยไปพร้อมกันกับกระบี่ที่ถูกกระชากออกจากเบื้องหลัง เมธีพิณสังหาร ผู้เฒ่าเลื่องชื่อแห่งดินแดนใต้ ถึงกับถูกกษัตริย์เหี้ยนเต้ที่ไม่มีใครเคยเห็นในสายตา ฆ่าตายกลางงานเลี้ยงพระราชทานนี่เอง
เมื่อเสียงพิณขาดหาย ผู้คนจึงค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากอาการเจ็บปวด รวมทั้งฝ่ายซุนกวนทั้งสาม แต่เมื่อการลงมือตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ลงมือไม่บ่งบอกชื่อเสียง ไม่อาจระบุความสัมพันธ์กับฝ่ายกังตั๋ง ทุกสายตาในท้องพระโรงจึงเพียงแต่จ้องมองพวกซุนกวนว่าจะแสดงท่าทีต่อการตายของผู้เฒ่าตรงหน้าเช่นไร ในขณะที่เหล่านักดนตรีปลอมกลับถูกทหารองครักษ์ลงมือสังหารตายกันไปหมดเป็นการแก้ตัวที่เข้ามาช่วยเหลือชักช้าเกินไปจนเกิดการนองเลือดภายในพระราชวังเช่นนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา