27 ก.ย. 2021 เวลา 15:20 • ปรัชญา
“เนิ่นช้า … เพราะภาวนาผิด”
“ … ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก เพราะภาวนาผิด
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก
ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์
ถ้าสมาธิเราไม่ถูกกับสมาธิเราไม่พอ
เราเดินปัญญาไม่ได้จริง
บางที่มีคอร์สวิปัสสนา ไม่เป็นวิปัสสนา
เพราะไม่มีสมาธิที่ถูกต้อง
ฉะนั้น 2 สิ่งนี้เราต้องเรียนให้ดี
พระพุทธเจ้าท่านสอน บอกว่า
สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
เป็นธรรมะ 2 ประการที่เราควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
คือเรารู้ว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร
ทำอย่างไร ทำแล้วมีผลอย่างไร
ไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เวรแต่กรรม
อันนั้นไม่ใช่ เราต้องรู้
อย่างเราจะทำสมาธิทำไปเพื่ออะไร
ทำเพื่อให้จิตมันตั้งมั่น ตั้งมั่นไปทำไม
ตั้งมั่นเพื่อจะเอาไปเจริญปัญญา
ต้องรู้เหตุรู้ผล
ทำสมาธิไปเรื่อยก็เคลิ้ม ๆ ไปบ้าง เครียด ๆ ไปบ้าง
จับหลักให้แม่น ๆ แล้วลงมือทำ
จะได้ไม่พลาด ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก
เพราะภาวนาผิด
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก
ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์
ไม่ใช่ทำกันนาน มองไม่เห็นผล ไม่เห็นฝั่ง
ทำไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล
ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรอก
ยิ่งพระพุทธเจ้าเราเป็นปัญญาธิกะ
ท่านเดินมาด้วยปัญญา
ใช้สังเกตค้นคว้าพิจารณาเอาจนได้หลัก
พระพุทธเจ้าบางองค์ท่านบำเพ็ญทุกรกิริยา 7 วันเอง
พระพุทธเจ้าเราทำเกือบ 6 ปี
อันนี้ไม่ใช่ว่าท่านไม่ฉลาด แต่ท่านมีบุพกรรมของท่าน
ท่านเคยไปกระแนะกระแหนพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ไปกระแนะกระแหนว่า
ไปอดข้าวอยู่ในป่าเลยได้ธรรมะมาล่ะสิอะไรอย่างนี้
นั่นก็เป็นวิบาก ท่านเลยมาต้องทรมานกายอยู่ 6 ปี
ถ้าท่านไม่ติดอกุศลตัวนี้ให้ผล ท่านจะบรรลุเร็วเลย
ท่านสร้างบารมีก็เร็ว
4 อสงไขยแสนมหากัปที่ได้รับพยากรณ์ สั้น
พระศรีอริยเมตไตรยตั้ง 16 อสงไขยแสนมหากัป
4 เท่าของพระโคดม
ระยะเวลาที่สร้างบารมีนับแต่ได้รับพยากรณ์
ก่อนได้รับพยากรณ์นั้นทำมาตั้งนาน
พระพุทธเจ้าเราทำบารมีมาทั้งหมด 20 อสงไขยแสนมหากัป
แล้วได้รับพยากรณ์เมื่อ 4 อสงไขยแสนมหากัป
พระศรีอริยเมตไตรยทำตั้ง 80 อสงไขยแสนมหากัป
แล้วเมื่อ 16 อสงไขยแสนมหากัปก่อนได้พยากรณ์
คิวท่านยังหลังพระโคดมเลย
พระพุทธเจ้าเราเดินได้เร็วเพราะว่าท่านเป็นปัญญาธิกะ
พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะเหมาะกับคนยุคเรา
คนยุคเราใช้สติใช้ปัญญามากในการดำรงชีวิต
ทำมาหากินใช้ความคิดทั้งนั้น
ใครใช้เหตุใช้ผลได้ดีก็ชนะไป
ทำมาหากินได้ดีอะไรอย่างนี้
คนไหนงมงายทำมาหากินสู้เขาไม่ได้
ยุคของเราเป็นยุคที่ทำมาหากินโดยใช้สมอง
ใช้สติ ใช้ปัญญาทำงาน ไม่ได้ใช้แรงอย่างสมัยก่อน
งานใช้แรงเราก็ไปโบ้ยให้คนต่างด้าวมาทำแทน
คนไทยไม่ทำ ทั้ง ๆ ที่บางคนสมองก็ไม่ค่อยมี
ยังจะไม่ยอมทำงานระดับล่างไม่เอา
อยากรวย ๆ นั่งห้องแอร์
ยุคนี้เป็นยุคของคนใช้ความคิด
ใช้สมองในการทำมาหากิน ในการดำรงชีวิต
มันก็เลยเหมาะกับธรรมะของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
ท่านเดินมาด้วยปัญญา
ฉะนั้นเราก็ใช้เหตุใช้ผลในการดำรงชีวิตของเรา
ถ้าจะภาวนาเราต้องรู้เราจะภาวนาเพื่ออะไร
เราภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา
ให้รู้แจ้งเห็นจริงในรูปธรรมนามธรรมว่าเป็นไตรลักษณ์
งานหลักจริง ๆ ของการทำวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญา
ปัญญาคือความรู้ถูกความเข้าใจถูกในรูปนามขันธ์ 5
เมื่อรู้ถูกเข้าใจถูก
จิตก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แล้วก็ปล่อยวาง
เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น
เพราะฉะนั้นท่านสอนบุคคลถึงความบริสุทธิ์
ได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสมาธิ
ปัญญาเกิดได้อย่างไร ปัญญามีอะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
ปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
สังเกตให้ดี มันมีคำว่า สัมมา
ไม่ใช่สมาธิทุกอย่างทำให้เกิดปัญญา
ถ้าสมาธิทุกอย่างทำให้เกิดปัญญา
ฤๅษีชีไพรที่เขานั่งสมาธิมาก่อนเจ้าชายสิทธัตถะ
เขาคงบรรลุพระอรหันต์ไปหมดแล้ว
ต้องสัมมาสมาธิเท่านั้น ถึงจะทำให้เกิดปัญญา
ลักษณะของสัมมาสมาธิเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยสติ
ถ้าสมาธิไม่ประกอบด้วยสติ
นั่งแล้วเคลิบเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัว
หรือนั่งแล้วเครียด ๆ จิตมีโทสะ
นั่งแล้วลืมเนื้อลืมตัว จิตมีโมหะ
อย่างเช่นฟุ้งซ่านหรือเซื่องซึมอะไรนี่พวกโมหะ
สมาธิพวกนั้นไม่เป็นไปเพื่อการเจริญปัญญา
ฉะนั้นที่หลวงพ่อจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรามากในเรื่องของสมาธิ
ต้องฝึกทำในรูปแบบ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
เพื่อเป็นเครื่องสังเกตจิต
เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
หรือยืน เดิน นั่ง นอน คอยรู้สึกไป
เป็นเครื่องสังเกตจิตอย่างไร
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตหนีไปที่อื่น รู้ทัน
จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน
เป็นเครื่องสังเกตจิตเราเอง
หรือเรายืน เดิน นั่ง นอน
เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน จิตเป็นคนรู้
พอจิตมันลืมร่างกาย มันหนีไปคิดเรื่องอื่น
จิตมันฟุ้งซ่านแล้ว มันลืมกรรมฐาน
หรือเห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน
เห็นท้องพอง เห็นท้องยุบอะไร จิตไหลลงไปอยู่ที่ร่างกาย
จิตไหลออกไปอยู่ที่ท้อง อันนั้นเป็นการเพ่งแล้ว
ไม่ใช่สัมมาสมาธิตัวจริงแล้ว
เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิให้ถูกต้องสำคัญมาก
ถ้าทำตรงนี้ได้ การเจริญปัญญาจะใช้เวลาไม่นาน
แต่ถ้าจิตเราไม่มีสัมมาสมาธิ เจริญปัญญาอยู่นั่นล่ะ
มันไม่มีปัญญาเกิดขึ้นสักที ใช้เวลานาน
ฉะนั้นบางคนเขาปัญญาดีปัญญาถูกต้อง
การปฏิบัติเขาก็สั้นนิดเดียว
บางคนสมาธิไม่ถูกต้อง ไปเจริญปัญญากลายเป็นฟุ้งซ่านไป
หรือไม่ก็นิ่งเฉย ๆ อยู่ จิตติดนิ่งติดเฉย ไม่เดินปัญญาจริง
วิธีที่จะฝึกให้เราได้สัมมาสมาธิทำอย่างไร
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องสังเกตจิต
หลวงพ่อพุธท่านสอนบอกว่า
ให้มีเครื่องรู้ของจิต ให้มีเครื่องระลึกของสติ
นี่สำนวนท่าน ให้มีเครื่องรู้ของจิต ให้มีเครื่องระลึกของสติ
คือทำกรรมฐานอันหนึ่งขึ้นมา
เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ
ท่านพูดถูกเพราะจิตทำหน้าที่รู้
สติทำหน้าที่ระลึกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอนนี้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
19 กันยายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา