28 ก.ย. 2021 เวลา 08:58 • ปรัชญา
"ใช้ประโยชน์สิ่งที่มี ... ให้ได้รับประโยชน์สูงสุด"
" ... เวลาเรามีต้นทุน ต้นทุนจะดีหรือเลวก็ตาม
ทำกรรมใหม่ที่ดีไว้ก่อน
ทำกรรมใหม่ที่ดีคือรักษาศีลไว้
ทำสิ่งซึ่งมีคุณงามความดีทั้งหลาย แล้วจะดีเลิศเลย
 
ถ้าเราฝึกจิตฝึกใจของเราให้ตั้งมั่น
แล้วมาเจริญปัญญาได้
การเจริญปัญญานั้นเป็นบุญสูงสุดของเราชาวพุทธ
3
การทำทานเป็นบุญ การรักษาศีลเป็นบุญ
พอเรารักษาศีลได้ ทานเป็นเรื่องเล็กแล้ว
เป็นบุญที่เล็กลงไป มีของที่ใหญ่กว่า
เราทำสมาธิได้มีบุญสูงกว่ารักษาศีลอีก
เพราะว่าบุญจากการรักษาศีล
ทำให้เราได้เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ได้
แต่บุญจากสมาธิขึ้นไปเป็นพรหมได้
แล้วก็บุญจากการเจริญปัญญายิ่งใหญ่ที่สุดเลย
ทำให้เราข้ามวัฏฏะได้ เข้าสู่โลกุตตระได้
1
ฉะนั้นไหน ๆ ก็มีร่างกายมาแล้ว
จะดีหรือเลวก็แล้วแต่ต้นทุนเดิม
เอามาใช้ประโยชน์
ยังเดินได้ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไร
ยังทำได้ก็ทำไป
วันหนึ่งแก่แล้วเดินจงกรมไม่ไหวอะไรอย่างนี้
เราอาจจะไม่มีแรงเดิน
อาศัยที่เคยสะสมสติสมาธิมาดีก็นั่งได้ นั่งภาวนา
2
วันหนึ่งนั่งไม่ไหว นอนก็ยังนอนภาวนาได้อีก
สุดท้ายก็ตายไปกับการภาวนา
อย่างนี้คุ้มค่ามากเลย
เรียกว่าเราใช้ร่างกายได้คุ้มมาก
ใช้จนถึงนาทีสุดท้าย
ใช้จนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเลย
อย่างนี้เรียกว่าผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง
ใช้ประโยชน์สิ่งที่มีให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
แล้วทุกวันเราก็ตั้งใจไว้
เราจะใช้ร่างกายนี้สร้างคุณงามความดีเป็นลำดับไป
มีโอกาสทำทานก็ทำ
แต่ทำต้องทำให้เป็น อย่าทำให้เดือดร้อน
ทำทานก็เพื่อลดละกิเลส ลดละความเห็นแก่ตัว
ไม่ใช่ทำทานพอกพูนความเห็นแก่ตัว หรือพอกพูนกิเลส
1
ถ้าทำทานแล้วหวังรวยนี่ทำทานพอกพูนกิเลส
ได้บุญเล็กน้อยเพราะทำด้วยความโง่
ทำด้วยความโลภ
รักษาศีลก็เหมือนกัน รักษาศีลเพื่อลดละกิเลส
ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อจะเอาอันโน้น เพื่อจะเอาอันนี้
เพื่อจะดีอย่างนั้นอย่างนี้
บางคนรักษาศีลเพื่อจะได้ไปเป็นเทวดา
จะได้เสวยความสุขมาก ๆ อะไรอย่างนี้
อันนี้เรียกว่ามักน้อยเกินไป
รักษาศีล เราก็รักษาเพื่อลดละกิเลสของเรา
เจริญสมาธิก็ฝึกสมาธิ
ไม่ใช่เพื่อความสุข ความสงบ ความดี ความวิเศษ
เพื่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
แต่ทำสมาธิก็เพื่อลดละกิเลส
ฉะนั้นไม่ใช่ทำสมาธิก็กิเลสแรงกว่าเก่า
นั่งสมาธิคนเป็นเยอะ พวกนั่งสมาธิพอออกจากสมาธิ
กิเลสแรงกว่ามนุษย์ชาวบ้านธรรมดาอีก
เพราะนั่งสมาธิผิด ไปนั่งข่มจิต
...
ลดละกิเลส เจริญกุศลให้ถึงพร้อม
เราเจริญปัญญาก็ต้องทำไปเพื่อลดละกิเลส
ไม่ใช่เจริญปัญญาเพื่อความฉลาดรอบรู้
โต้เถียงกับเขาได้อะไรอย่างนี้
รู้มากท่องตำราได้เยอะ
หลายคนเรียนปริยัติเยอะ
รู้อะไรต่ออะไรสารพัดจะรู้เลย
ไม่รู้อยู่อันเดียวก็คือ ตอนนี้จิตใจของตัวเป็นอย่างไร
ดูเข้ามาที่ตัวเองไม่เป็น แต่ เรื่องอื่น ๆ รู้หมดเลย
ธรรมะมีเท่าไร ๆ จำได้หมด
แต่ใจนั้นว่างเปล่าจากธรรมะ
สมัยพุทธกาลก็มีพระองค์หนึ่งชื่อพระโปฐิละ
ท่านไม่ได้ชื่อโปฐิละ โปฐิละเป็นชื่อที่พระพุทธเจ้าแซว
โปฐิละแปลว่าคัมภีร์ที่ไร้ตัวอักษร ใบลานเปล่า
ทำเป็นถือใบลาน นึกว่าจะเทศน์อะไร ... เปล่า
ใบลานนี้ว่างเปล่า ... ไม่มี
คือจำได้อย่างเดียว แต่ใจนี้ไม่ได้ธรรมะเลย
อย่างนี้ก็มี เรียนเยอะแต่ว่าไม่มีธรรมะจริงหรอก
เรียนแล้วทิฏฐิมานะแรง
กิเลสแรงอะไรอย่างนี้ถมเถไป
ทุกวันนี้ก็มีเยอะแยะพวกที่เรียนเยอะ ๆ
ก็ภาวนาเข้า ตั้งเป้าให้ถูก เราทำไปเพื่อลดละกิเลส
เพื่อเจริญกุศลให้ถึงพร้อม
เจริญกุศลก็คือให้ศีล สมาธิ ปัญญาของเรามันดี
ลดละกิเลส ก็ฝึกของเราไป ไม่ตามใจกิเลส
พอเราฝึกได้มากเข้า ๆ
ใจเราสงบ สะอาด สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรียกว่าเราใช้กาย ใช้ใจ
ใช้ขันธ์ที่ได้มาจากอดีตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว
จนกระทั่งบางท่านใช้ขันธ์อันนี้ปฏิบัติ
บรรลุมรรคผลนิพพานได้
อันนี้ท่านใช้ขันธ์ได้สมบูรณ์แบบแล้ว
ประโยชน์สูงสุดแล้ว ประโยชน์ของตัวเองทำเสร็จแล้ว
คราวนี้ประโยชน์ที่ท่านทำ
ท่านทำเพื่อสงเคราะห์โลก
ไม่ได้ทำเพราะอยากทำแล้ว
แต่ทำเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกเท่านั้นเอง
สัตว์โลกที่อินทรีย์แก่กล้ายังมีอยู่
สัตว์โลกที่กิเลสเบาบางยังมีอยู่
เผื่อได้ยินได้ฟังธรรมะก็จะได้พ้นทุกข์ตามท่านไป
ใจท่านคิดอย่างนี้เท่านั้นล่ะ
ไม่ได้อยากใหญ่อยากโตอะไร
เรียกว่าทำประโยชน์ตนเองได้ถึงพร้อมแล้ว
ก็ทำประโยชน์ผู้อื่นไปเท่าที่จะทำได้
ฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
มีร่างกายมีจิตใจอย่างนี้แล้ว
อย่าลืมทำความดีให้ดีที่สุดเลย ลดละความชั่วไป
ความดีอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย
ความชั่วอะไรยังไม่ละก็ละเสีย
วิธีละความชั่วก็ใช้สตินี่ล่ะ
ใจมันชั่วก่อน กาย วาจามันถึงชั่วทีหลัง
มีสติรักษาจิตใจของเราไปเรื่อย
กิเลสอะไรเกิด เรารู้ทันใจของเรา
ใจเราก็ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ใจมันก็ดี
พอใจมันดีเสียอย่างเดียว กาย วาจามันก็ดีไปด้วย ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 กันยายน 2564
ติดตามการไฟล์ไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา