Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
25 ต.ค. 2021 เวลา 00:40 • นิยาย เรื่องสั้น
7.3. หมอกรักควันสงคราม
เตียวหยู นาคีผมแดง - เสียวเหลงยี่ หัวหน้าชุมโจรกระโหลกโลหิต - กำเหลง มังกรพิโรธ
สุดท้าย เงาร่างของนาคีผมแดงที่เพิ่งทราบข่าวร้าย ก็ปรากฏขึ้นที่เนินผาริมหาดทราย เหมือนกำลังจ้องมองเรือรบทั้งสองกลุ่มที่เคลื่อนตัวไปสู่ทะเลใหญ่ ด้วยพลังฝีมือของนาง สมควรลอยตัวแตะผิวน้ำมาถึงเรือได้ทัน แต่กลับเห็นนางทรุดตัวลงคร่ำครวญ คงไม่คิดว่าจะมีใครได้ยิน แต่ซุนกวนใช้พลังหูทิพย์รับฟัง และถ่ายทอดวาจาให้ได้ยินทั่วกัน “ลูกชายเจ้าตายไปทั้งคน ยังไม่คิดจะล้างแค้นให้บ้างเลยหรือ เจ้าคนขี้ขลาดซิงป้า”
ซุนกวน ลกซุน กำเหลง เล่งทอง และเซียงเซียงยืนอยู่ที่ท้ายเรือ ด้วยแสงจันทร์ส่องสว่าง ลกซุนสังเกตเห็นรอยบากใหม่ของกำเหลงกระตุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สนองตอบประโยคบาดใจ จึงแสร้งทำไม่เห็น เชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้าไปดื่มสุราผ่อนคลายกันด้านในลำเรือ
…
จากตำแหน่งของเกาะทัมรานั้น นับว่ายังเป็นเขตชายแดนทางทะเลของวุยก๊ก เรือรบใหญ่แพกเจที่พวกซุนกวนยึดมาได้นั้น จึงยังไม่กล้าหันหัวเรือเข้าใกล้ชายฝั่ง แต่คงรักษาเส้นทางลงใต้ไปก่อน คาดไม่ถึงว่า เพิ่งพ้นคืนวันที่สาม ขณะที่กำลังกังวลเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ขาดแคลน เรือรบใหญ่กลับพบกับพายุฝนงวงช้างกระหน่ำใส่ กลายสภาพคล้ายดั่งมังกรเจ้าสมุทรลงเล่นน้ำ เปิดประตูวังบาดาลขึ้นตรงหน้า ดูดเรือรบให้เสียหลักเอียงล่มอย่างรวดเร็ว คนบนดาดฟ้าเรือไม่ทันระวัง ร่วงตกน้ำหายไปหลายคน
ยังดีที่กำเหลงคุ้นเคยกับภัยร้ายในท้องทะเล สามารถผลักดันเรือเล็กฉุกเฉินออกมาใช้เป็นตัวอย่าง เพิ่งรับได้เพียงพวกบุคคลสำคัญและทหารองครักษ์ ก็ต้องออกตัวนำไปก่อนให้พ้นระยะน้ำวน เซียงเซียงโผล่หน้าออกมาภายหลัง ไม่เคยเจอเหตุการณ์ทะเลบ้าคลั่งเช่นนี้ จึงทำอะไรไม่ถูก พอดี ลกซุนหันมาเห็นเข้า นึกถึงเหตุการณ์คล้ายคลึงกันที่แม่น้ำไต้กังคราก่อน จึงส่งเสียงเรียก พร้อมเหวี่ยงเชือกตะขอยึดตรึงลำเรือเข้าไปให้เซียงเซียงคว้ารับไว้ได้ แล้วค่อยกระตุกคืน รับร่างของจอมยุทธ์สาวเข้าสู่อ้อมกอดได้ทันเวลา
ส่วนทหารคนอื่นรวมทั้งไพร่เชลยที่ร่วมแหกคุกนรกกันมานั้นอีกร่วมสองร้อยชีวิต กระจายตัวช่วงชิงพื้นที่ในเรือเล็กที่เหลืออยู่อีกห้าหกลำ แต่ยิ่งยื้อแย่งยิ่งสูญเสีย เรือเล็กบางลำรับน้ำหนักไม่ไหว พลิกคว่ำโดนดูดหายไปในกระแสน้ำ ทำให้เรือเล็กที่เหลือต้องตัดใจผลักไสตนเองให้ห่างจากเรือใหญ่ที่จมลงไปครึ่งค่อนลำแล้ว ทิ้งให้ผู้คนอีกกว่าร้อยคนร่ำร้องอยู่บนลำเรือบ้าง ว่ายน้ำลอยคออยู่บ้าง ค่อยๆถูกกลืนหายไปในทะเล
พญามังกรเจ้าสมุทรที่ไร้ตัวตนคล้ายได้รับเครื่องสังเวยอย่างสาสมใจแล้ว พอเรือรบใหญ่จมหายลับสายตาไปไม่นาน พายุฝนอันบ้าคลั่งก็สงบลงทันที ผืนน้ำทะเลนิ่งสงบราวกับไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้น เรือลำน้อยหลงเหลือเพียงสามสี่ลำ นับได้สี่สิบห้าสิบชีวิตมองหน้ากันไปมา รู้สึกว่า ตนเองช่างอ่อนด้อยเหลือเกิน และได้แต่ยอมรับชะตากรรม ค่อยๆพายเรือเข้าไปรับคนที่ยังเหลือรอดขึ้นจากผืนน้ำทะเลสีคราม
“ระวังฝูงฉลาม” เสียงผู้คนร่ำร้องขึ้น เมื่อเห็นกระโดงสัตว์น้ำขนาดใหญ่วนเวียนอยู่ข้างๆลำเรือ ผืนน้ำเริ่มเกิดสีแดงฉาน แสดงว่า ฝูงฉลามคงได้กลิ่นคาวเลือด จึงแห่กันมาเป็นฝูงใหญ่ และเริ่มกัดกินผู้คนซากศพที่จมอยู่ใต้น้ำแล้ว จนเศษซากอวัยวะมนุษย์ลอยขึ้นเกลื่อนกลาด ตัดกับจำนวนกระโดงฉลามเพิ่มขึ้นมากมายนับได้เป็นร้อยตัว
กำเหลงเห็นว่า สถานการณ์เช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดที่ลอยคอในทะเลรอดชีวิตได้อีก และพวกตนอยู่นานไปก็อาจจะไม่ปลอดภัยไปด้วย จึงสั่งการให้เรือเล็กทั้งห้าลำรีบมุ่งหน้าลงทางใต้ต่อไป แต่คงสั่งการช้าไปชั่ววูบ เรือเล็กท้ายขบวนกลับถูกฝูงฉลามหิวโซโจมตี กระแทกใส่จนเรือพลิกจม คนตกน้ำก็ถูกทึ้งกินอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาคนที่ยังหลงเหลือบนเรือทั้งสี่ลำ กระตุ้นให้ทั้งหมดรีบผลักดันลำเรือให้มุ่งหน้าออกไปให้เร็วที่สุด
…
ชีเซ่ง เตงฮอง รับฟังรายงาน พบเห็นเรือทหารลาดตระเวนขาดหายไปหนึ่งลำ จึงกางแผนที่กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นเป้าหมายสำคัญ ปรับรูปขบวนเรือ ออกไปค้นหา เป้าหมายปลายทางคือบริเวณหมู่เกาะที่เรือทหารหายสาบสูญไป ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความแตกตื่นให้กับสายข่าววุยก๊กไม่น้อย จนกระทั่งกษัตริย์โจผีที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ต้องระดมกำลังพลมาตรึงหัวเมืองชายฝั่งเพิ่มเติม หวั่นเกรงว่า พวกกังตั๋งจะฉวยโอกาสอ้อมเส้นทางมาเปิดสมรภูมิศึกทางทะเลอีกระลอกหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของชีเซ่ง เตงฮอง แม้ว่าดูจะเอิกเกริกในสายตาการทหาร แต่ยังคงเป็นเรื่องเล็กน้อยในท้องทะเลกว้างใหญ่ บริเวณหมู่เกาะที่ค้นหาอย่างละเอียด ล้วนไร้ร่องรอยผู้คนที่ต้องการ แสดงว่า เรือตระเวนอาจจะออกนอกเส้นทางไปไกลกว่าที่คาดคิด ทำให้ต้องปรับขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมกว้างขึ้นไปอีก ใช้เวลาในแต่ละเกาะให้นานขึ้น
เวลาผ่านไปอีกร่วมครึ่งเดือน คงเหลือเพียงเกาะทัมราอันรกร้าง ใกล้เขตแดนแพกเจที่ยังไม่ได้ค้นหา ทำให้ชีเซ่ง เตงฮองต้องชั่งใจอย่างหนัก ด้วยอาจจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พอดี กลับได้รับเบาะแสจากเรือสินค้าต่างถิ่น เล่าถึงฉากเหตุการณ์ฝูงฉลามหลายร้อยตัว รุมโจมตีเรือทหารลำใหญ่จนล่มสลาย แต่ที่เกิดเหตุนั้นกลับอยู่ห่างไกลจากตำแหน่งที่เรือลาดตระเวนสูญหายไปทางทิศใต้อีกพอสมควร
พอได้รับเบาะแสเช่นนี้ ทำให้ขุนพลทั้งสองกลับมีความหวังมากขึ้น จึงสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางค้นหาไปในตำแหน่งที่กล่าวอ้างแทน และกลับเผชิญหน้ากับพายุงวงช้าง วังน้ำวน และฝูงฉลามเช่นเดียวกัน เพียงแต่ประสบการณ์และประสิทธิภาพของเรือทหารกังตั๋งอาจจะเหนือกว่า จึงไม่ได้สูญเสียทรัพยากรมากนัก
ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน ในที่สุด กองเรือกังตั๋งก็ได้รับเบาะแสจากเรือสินค้าระบุถึงหมู่เกาะรกร้างไม่มีชื่อ หากแต่ที่ตั้งกลับอยู่ค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ต่ำลงไปกว่าปากแม่น้ำไต้กัง ทำให้ไม่ได้อยู่ในแผนการค้นหาช่วยเหลือ แต่เป็นตำแหน่งที่เพิ่งปรากฏภาพประหลาดของเสือโคร่งสีเขียวบนท้องฟ้ายามราตรีตามที่ชาวเรือบอกเล่า
…
ลกซุนใช้พลุสัญญาณพยัคฆ์หยกอันสุดท้ายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน นับตั้งแต่ที่พวกตนล่องเรือเล็กมาตามกระแสน้ำหลบหนีฝูงฉลามไล่ล่าจนมาถึงเกาะร้างขนาดใหญ่ ท่ามกลางหมู่เกาะเล็กน้อยแห่งนี้ สมควรเป็นเวลาร่วมสองเดือนได้แล้ว โชคดีที่เกาะร้างยังมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ผลไม้ใบหญ้าและน้ำสะอาดให้ดื่มกิน ผู้คนที่ร่วมชะตากรรมก็พอหาปลาล่านกได้ จึงกลายเป็นคนติดเกาะที่ไม่อดอยากขาดแคลนมากนัก ปัญหาสำคัญจึงเป็นเรื่องการหาทางกลับสู่แผ่นดินใหญ่ให้ได้เท่านั้น
ลกซุนประเมินศักยภาพของพลุสัญญาณ คำนวนทั้งเรื่องความสว่าง ความสูง และเวลาในการคงอยู่ แล้วค่อยตัดสินใจเสี่ยงปล่อยพลุออกไปในยามราตรีทุกเจ็ดวัน หวังว่าจะมีเรือประมง หรือเรือสินค้าที่ผ่านไปมาในเส้นทางเรือนี้พบพาน แต่ใช้ไปเจ็ดลูกสี่สิบเก้าวันจนหมดสิ้นแล้ว ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆในท้องทะเลเลย
ทางเลือกสุดท้ายรออยู่ที่หาดทรายนั้นแล้ว พวกทหารและไพร่เชลยภายใต้การกำกับของกำเหลง อดีตโจรสลัด ช่วยกันตัดต้นไม้ต่อแพขนาดใหญ่ หมายจะกระจายน้ำหนักผู้คนและเสบียงน้ำดื่มให้พอเสี่ยงประคองตัวกลับสู่แผ่นดินใหญ่ได้
“พี่่ลกซุน ข้าไม่อยากกลับไปเลย” เสียงหญิงสาวเอ่ยคำพร้อมยันตัวลุกขึ้นจากพื้นดิน “ที่นี่เป็นช่วงชีวิตที่ลำบาก แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ข้ารู้สึกเป็นอิสระที่สุดในชีวิตแล้ว”
ลกซุนแย้มยิ้มพลางกล่าว “เซียงน้อย ท่านอาเป็นถึงเจ้านครกังตั๋ง ไม่อาจปลีกตัวจากการเมืองได้หรอก หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่รู้เมืองต๋องง่อจะวุ่นวายไปเช่นไรแล้ว”
เสียงซุนกวนตะโกนมาแต่ไกล คล้ายหยอกล้อกันในหมู่ญาติมิตรคนสนิท “อาซุน เจ้าไม่ต้องจงใจว่ากล่าวให้ข้าได้ยินหรอก ข้าจะไม่ฟังเรื่องราวของเจ้าสองคนแล้วก็ได้ จงพูดคุยให้สบายใจเถิด ข้าจะไปอาบน้ำที่น้ำตกกับเล่งทองด้านหลังแล้ว”
ลกซุนสบตากันกับเซียงเซียง รู้ว่าซุนกวนรักษาคำพูด ไม่ใช้พลังหูทิพย์พร่ำเพรื่อ จึงค่อยว่ากล่าวกับหญิงคนรัก “ข้ารับเจ้าไว้เป็นภรรยา ไม่ใช่เพราะเจ้าบังเอิญเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวบนเกาะร้างแห่งนี้ท่ามกลางผู้ชายหลายสิบคน แต่เป็นเพราะรักแรกพบที่เจ้าดึงตัวข้าขึ้นมาจากกองซากศพด้วยพรหมลิขิตต่างหากเล่า”
…
ครั้งนั้น ลกซุนที่ถูกยิงจนตัวพรุนแน่นิ่งอยู่ในกองซากศพบนหาดทราย เป็นเซียงเซียง จอมยุทธ์สาวที่ปลอมตัวเข้ามาช่วยผู้คนบนเกาะโจรสลัด ออกแรงดึงร่างลกซุนขึ้นมา ทำให้ลกซุนฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกครั้ง มิเช่นนั้น ระหว่างที่หมดสติอยู่นั้น คงถูกเผาทำลายไปพร้อมกับซากศพทั้งหลายแล้ว ซึ่งแม้แต่พลังมังกรจักรวาลก็ไม่อาจปลุกชีวิตให้กลับฟื้นคืน และแน่นอนว่า รอยประหลาดรูปมังกรที่ตำแหน่งหัวใจของมันก็จางหายไปแล้วครึ่งตัวตามที่มันเคยตั้งข้อสังเกตไว้ นี่คือชีวิตรอบที่สามของมัน
หลังจากนั้น ยังคงเป็นเซียงเซียงที่ช่วยปกปิดร่องรอยให้มันปะปนอยู่กับพวกโจรสลัด และบอกเล่าเรื่องราวบนเกาะโจรสลัดจนสามารถวางแผนแหกคุกนรกออกมาจนได้ จึงนับว่า เป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อพวกมันอย่างยิ่ง ต่อมาที่เผชิญกับพายุฝนวังน้ำวน ได้สัมผัสถึงความผูกพันที่มีต่อกัน จึงทำให้ทั้งสองเปิดใจยอมรับความรักได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น เมื่อต้องมาติดเกาะกับผู้คนมากมายเช่นนี้ การใช้ชีวิตผู้หญิงตามลำพังอาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก ลกซุนจึงขออนุญาตจากซุนกวนในฐานะเจ้านาย และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายภรรยาหลวงให้ช่วยเป็นผู้ใหญ่ในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินบนเกาะร้างแห่งนี้เสียเลย
…
หลังจากพิธีวิวาห์ไม่นาน พลันปรากฏผู้หญิงครึ่งคน ร่างกายห่อหุ้มด้วยใบไม้ใหญ่ถักสานกัน นอนหมดสติรอความตายอยู่บนหาดทราย ที่ว่าครึ่งคนเพราะอวัยวะสำคัญล้วนขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ตั้งแต่แขนขาดเสมอข้อ ขาขาดเสมอหัวเข่า ดวงตาถูกทิ่มแทง ใบหูแหว่งหาย ใบหน้ายับเยินเสียโฉม และร่างกายบอบช้ำคล้ายผ่านการทรมานมาอย่างหนัก แต่ทุกคนบนเกาะร้างกลับจดจำนางได้ เพราะเส้นผมสีแดงฉานยังคงเหลือติดอยู่เป็นหย่อมๆ แสดงว่า นางคือนาคีผมแดง ผู้นำกลุ่มโจรสลัดหัวกระโหลกโลหิต
แขนขาขาดนั้นพอดูออกว่า เป็นผลงานของฉลามร้าย ร่างกายเว้าแหว่ง ผมเผ้าหลุดหาย อาจเป็นเพราะน้ำทะเลกัดเซาะ แต่ดวงตา ใบหู และใบหน้านั้น น่าจะเป็นการลงทัณฑ์ของผู้คนด้วยกันเสียมากกว่า อีกทั้งพลังฝีมือที่ยอดเยี่ยม ก็ดูเหมือนจะสูญสิ้นไปหมดแล้ว แต่เพราะผู้ใดกันที่อำมหิตโหดเหี้ยมต่อศัตรูได้ถึงเพียงนี้
อันที่จริง ทุกคนบนเกาะร้างล้วนเคียดแค้นชิงชังต่อนางมารร้ายผู้นี้ หลายคนเคยสูญเสียญาติมิตร และผ่านชีวิตเลวร้ายเพราะนางเป็นต้นเหตุ แต่พอพบเห็นบั้นปลายชีวิตของนางเช่นนี้แล้วกลับทอดถอนใจ ยอมอโหสิให้ต่อกัน หลงเหลือเพียงกำเหลงที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่กับนางมารในวาระสุดท้ายที่หาดทรายตามลำพัง แต่ซุนกวนสามารถใช้พลังหูทิพย์ และลกซุนสามารถอ่านริมฝีปากได้ จึงแอบรับรู้เรื่องราวด้วยความสงสัยใจ
“ในที่สุด เราท่านก็มีโอกาสได้พูดคุยกันเสียทีนะ ซิงป้า” ดวงตาข้างที่เหลือของนาคีสาวเบิกกว้าง มองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย “สามสิบปีแล้วที่ท่านยอมให้เรายึดครองกลุ่มผ้าแพรของท่าน เปิดทางให้กลุ่มหัวกระโหลกโลหิตขึ้นเป็นที่หนึ่งในท้องทะเลใหญ่”
น้อยคนนักจะรู้จักนามเดิมของมัน กำเหลงย้อนคิดถึงอดีตที่ตนเองในวัยหนุ่มกำลังรุ่งโรจน์อยู่บนเส้นทางโจรสลัดทะเลแถบปากแม่น้ำไต้กังกับกลุ่มผ้าแพรในฉายา มังกรพิโรธ จนเกิดเรื่องขัดแย้งกันกับกลุ่มหัวกระโหลกโลหิตแห่งทะเลใต้ ภายใต้การนำของประมุขสาวสวยจากลำน้ำหลานชางที่ชื่อ นาคีผมแดง พวกมันจึงนัดตัดสินชะตากรรมด้วยการประลองฝีมือตามลำพัง ใครแพ้ต้องยอมเข้าร่วมกลุ่มกับฝ่ายที่ชนะในทันที
แต่คืนวันเพ็ญก่อนกำหนดนัดหมาย มันเดินทางมาสำรวจสถานที่ประลองฝีมือ กลับพบนางมารอยู่ในสภาพมึนเมาขาดสติ กำลังจะถูกสมุนเอกซ้ายขวาของตัวเองย่ำยีข่มขืน มันรอดูจนแน่ใจว่าไม่ใช่อุบายแอบแฝง จึงลงมือสังหารโจรชั่วตาย แต่แล้ว นางมารสาวที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยากระตุ้นราคะ กลับยื้อยุดตัวมันไว้จนกลายเป็นบาปรักต่อกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นที่มีกำหนดการประลองยุทธ์ คนสำคัญในกลุ่มโจรทั้งสองฝ่ายเดินทางมาก่อน จึงพบเห็นคนทั้งสองในสภาพกอดก่ายเปลือยเปล่า สร้างความกระอักกระอ่วนใจต่อผู้คนที่พบเห็นย่ิงนัก จนกำเหลงแทบจะประกาศยกเลิกการประลองยุทธ์ แต่แล้ว เหล่าโจรสลัดกลุ่มต่างๆทั้งน้อยใหญ่ที่มาเป็นสักขีพยาน ต่างทะยอยกันมาถึงลานประลองแล้ว
นาคีผมแดงเห็นเรื่องการสร้างขุมกำลังสำคัญกว่าสิ่งใด จึงไม่ยินยอมยุติศึก ยืนยันให้ต่อสู้เช่นเดิม มังกรหนุ่มนาคีสาวสองสายพันธุ์มังกรจึงต้องลงมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะโจรสาวที่มีวิชาลี้ลับพิสดาร พอร่ายเวทย์มนตราคาถาแล้ว คล้ายบ้าคลั่งไม่รักชีวิต สุดท้าย กำเหลงมีโอกาสเอาชนะได้ชัดเจน กลับไม่อาจตัดใจทำร้ายโจรสาว แต่นางมารไม่อาจหยุดยั้งกระบวนท่า ทิ้งรอยแผลเล็กๆไว้ที่หน้าผากของกำเหลง
กำเหลงพลาดท่า จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ประกาศส่งมอบกองกำลังผ้าแพรให้เข้าร่วมกับกลุ่มหัวกระโหลกโลหิตตามสัญญา แต่ตัวเองขอล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงการโจรสลัดอีกต่อไป ทำให้กลุ่มหัวกระโหลกโลหิตที่มีกำลังพลเพิ่มเป็นเท่าตัว ทะยานขึ้นเป็นขุมกำลังโจรที่มีกำลังกล้าแข็งที่สุดในน่านน้ำทะเลฝั่งตะวันออก
“เฮอะ เจ้ายินยอมละทิ้งขุมกำลังเก่า ไม่รับฟังข่าวคราวคนคุ้นเคย จึงทำให้ข้าต้องทนอับอายผู้คนที่ต้องอุ้มลูกที่ไม่มีพ่อมาตลอดสามสิบปี” นางมารร้ายคล้ายพรั่งพรูความในใจ “ฟังไว้ เสียวเหลงยี่ไม่เคยรู้จักพ่อที่แท้จริงของมัน นี่คือเรื่องที่ข้าเฝ้าเสียใจมาตลอดทั้งชีวิต พอได้ยินสายข่าวบอกว่า พวกเจ้าใช้เส้นทางแม่น้ำฮวงโห หลบหนีออกจากเมืองหลวง ข้าจึงผลักดันให้มันไปก่อกวนเมืองปักไฮ หวังชักจูงให้พ่อลูกได้พบหน้ากันสักครา แต่แล้ว กลับกลายเป็นตัวมันที่ตกตายไปก่อน ช่างน่าอนาถใจนัก”
กำเหลงตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ตัวมันเองดื้อดึงประเมินจิตใจของโจรสาวผิดมาโดยตลอด จึงจงใจลืมเลือนความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนนั้น และยิ่งเมื่อได้ยินข่าวการกำเนิดของเสียวเหลงยี่ กลับเข้าใจผิด คิดว่า เป็นบุตรของผู้อื่น ทำให้มันยิ่งปิดกั้นตนเอง ไม่รับฟังข่าวคราว อีกทั้งหลีกเลี่ยงการพบปะกัน แล้วพอสุดท้าย ฟังว่า นาคีและเสียวเหลงยี่ หวังดีช่วยพวกตนออกจากวงล้อม จึงยิ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับตนเองจนน้ำตาร่วงริน “ที่จริง เหลงยี่คือลูกชายของข้าดอกหรือ แล้วใครกันเป็นผู้ทำร้ายเจ้าเช่นนี้หรือ”
นาคีสะดุ้งเฮือก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายบนเกาะทะเลเพลิง พลางกล่าว “ในค่ำคืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ พลังฝีมือของข้าที่จริงเป็นอวิชชาสายมนตร์ดำแถบลำน้ำหลานชาง (แม่น้ำโขง) ทุกๆวันเพ็ญจะเป็นเวลาที่พลังฝีมือสูญสลายไปชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม เพื่อให้วิญญาณภูตผีที่สิงสถิตย์ในร่างกายได้รับการปลดปล่อย ข้าจึงต้องซ่อนตัวเข้าถ้ำ อ้างว่าฝึกปรือวิชาเพิ่มเติม ครั้งก่อนที่ท่านพบกับเราในสภาพคับขันถูกคนร้ายย่ำยี ก็เป็นเพราะพวกนั้นแอบล่วงรู้จุดอ่อน จึงลอบลงมือตอนข้าที่ไม่อาจต่อสู้หลบหนีได้”
ข้อความนี้ช่วยให้ความกระจ่างต่อสถานการณ์ผิดปกติในครั้งนั้น ตลอดมา กำเหลงก็เฝ้าหาคำอธิบายเรื่องราวตรงนี้ จนสุดท้าย ถึงกับสรุปว่า เป็นแผนร้ายหลอกลวงตัวมัน แต่ที่แท้ กลับเป็นปัญหาของอวิชชาไสยศาสตร์ จึงลอบเสียใจต่อนาคียิ่งขึ้นไปอีก
นางมารยังคงเล่าต่อเนื่องไป “ครั้งนี้ก็เฉกเช่นกัน พวกเจ้าหลบหนีออกมา ก่อกวนกองทัพโจรสลัดแทบล่มสลาย แต่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเป็นช่วงเวลาที่พลังฝีมือสูญสลายนั่นเอง ตัวข้าแค้นใจที่เห็นกองกำลังจากโจรกลุ่มต่างๆฟาดฟันกันเองจนวุ่นวายอยู่นั้น และแล้ว ก็มีขบวนเรือลึกลับเข้ามาจอดเต็มชายหาด เป็นกองทหารร่างเตี้ยเล็กใส่ชุดเกราะสวมหมวกโลหะปิดบังใบหน้านับพันคน ใช้ดาบตรงที่เรียวยาวกว่าดาบปกติสองเท่า ตั้งขบวนฟาดฟันไปด้วยกระบวนท่าเดียวกัน เพียงครึ่งชั่วยาม ขุมกำลังโจรอันเกรียงไกรก็พินาศไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่คนที่ยอมแพ้ก็ถูกฟันทิ้ง จนทั่วทั้งเกาะเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ หลงเหลือเพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ไม่ถูกทำร้ายถึงชีวิต”
“ตัวข้ายังต้องรอคอยพลังฝีมือฟื้นคืนอีกเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น แต่ดันถูกสมุนทรยศกลุ่มหนึ่งมาพบตัวเสียก่อน และลงมือทุบตีทำร้ายจนบอบช้ำสาหัส ซ้ำร้าย คนของกองทัพลึกลับมาพบเห็นเข้าด้วย จึงถูกลากตัวมาให้กับผู้นำกองทัพ โชคร้ายนักที่พวกมันดันรู้จักคุ้นเคยกับตัวข้า จึงสั่งให้ทำลายเวทมนตร์ด้วยการกรีดตาตัดใบหูจนพิกลพิการ ซ้ำยังตัดเอ็นมือเอ็นเท้า หมดสิ้นโอกาสแก้มืออีกต่อไป” มาถึงจุดนี้ เรี่ยวแรงของนาคีคล้ายถดถอยลงไปมาก จนหายใจหอบถี่ขึ้น
“พวกมันต้องการจัดตั้งเกาะทะเลเพลิงเป็นฐานทัพที่มั่นในการจู่โจมแผ่นดินใหญ่ จึงยังคงเก็บตัวข้ากับหญิงสาวบนเกาะเอาไว้เพื่อใช้ระบายความใคร่ สร้างขวัญกำลังใจกันก่อนทำศึกใหญ่ ข้าถึงแม้จะสิ้นไร้วิทยายุทธ์ แต่ก็ยังคงรักในศักดิ์ศรีความเป็นคน ในยามที่ถูกเสนอตัวให้ผู้นำกองทัพ จึงได้แต่ใช้เศษหินกรีดหน้าทำลายโฉมหน้าตัวเอง มันโกรธแค้นจึงลงมือซ้ำเติมอย่างหนักหน่วง และผูกขึงตรึงไว้บนหาดทรายให้พวกทหารผลัดกันย่ำยี ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างหญิงสาวคนอื่น”
นี่คือคำอธิบายถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน ปราศจากเสื้อผ้า ห่อหุ้มไว้ด้วยใบไม้ถักสาน สงครามนั้นไม่เคยปรานีผู้ใด ใครก็ตามที่ตกเป็นเชลยศึกในยามนั้น จึงคล้ายดั่งตกสู่นรกอเวจี จนบางที ความตายอาจจะเป็นหนทางแห่งการปลดปล่อยก็ได้
“ครั้งนั้น ข้าคิดว่า คงต้องตายอยู่เช่นนั้นแล้ว แต่พวกหญิงสาวที่ตกเป็นเชลยศึกบำเรอกาม กลับรู้สึกสงสารต่อเพศเดียวกันไม่ต้องการให้ใครหยามเหยียดศักดิ์ศรี จึงแอบใช้ใบไม้ปิดบังร่างกาย แล้วผูกตัวข้าไว้กับท่อนไม้ใหญ่ผลักไสออกมาสู่ทะเล ตั้งใจทำลายซากศพไปกับกระแสน้ำแทน ช่วงเวลาที่ลอยคอในทะเล แม้ว่าจะไม่ตาย แต่ข้ากลับถูกน้ำทะเลกัดกินบาดแผล และถูกฉลามทึ้งกัดร่างกายจนกระจุยกระจายไปด้วย และในที่สุด ข้ากลับได้มาพบกับเจ้าเป็นวาระสุดท้าย” นาคีผมแดงเหลือกตามองหน้ากำเหลง
“กองทัพลึกลับนั้น สมควรเป็นศัตรูอันร้ายกาจของวุยก๊ก เพราะผู้นำทัพคล้ายมีความแค้นต่อคนสกุลโจเป็นยิ่งนัก ดังนั้น จงชั่งน้ำหนักให้ดี หากเจ้าล้างแค้นให้ข้า พวกเจ้าจะมีศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวเพิ่มขึ้นหนึ่งกลุ่ม แต่หากเจ้าวางเฉยต่อเรื่องราวครั้งนี้เสีย ศัตรูของพวกเจ้ากลับต้องเผชิญหน้ากับสงครามต่างถิ่นที่โหดเหี้ยมเกินคำบรรยาย”
กำเหลงสำนึกว่า เรื่องนี้เกินกว่าที่ตัวมันจะตัดสินใจได้เอง จึงได้แต่กุมมือนางนาคีเปลี่ยนมาถามไถ่ในเรื่องส่วนตัวแทน “ชื่อที่แท้จริงของเจ้า เรียกหาว่าอย่างไรหรือ”
สลัดสาวนิ่งอึ้ง พลันเผยอยิ้ม “ในที่สุด เจ้าคนโง่ก็รู้จักใส่ใจต่อผู้อื่นแล้ว ชื่อเดิมของข้าคือเตียวหยู เดิมเป็นคนแถบแม่น้ำหลานชางในอาณาจักรทองคำทางใต้ ถัดจากเผ่าเย่ลงไปอีกไกลนัก” นาคีหยุดหายใจเล็กน้อย จึงรีบกล่าว “เอาเถอะ ข้าบอกกับเจ้าก็แล้วกัน ที่จริง ข้าเคยทำการค้าขาย (ความหมายคือปล้นชิง) กับพวกมันมาก่อน พวกมันมาจากเผ่าวอก๊กบนหมู่เกาะสุริยะเทพภายใต้การปกครองของเจ้าหญิงจอมเวทย์นามว่า ฮิมิโกะ ศัตรูคนสำคัญของข้าคนหนึ่ง ในยามที่กองทัพพวกมันเข้มแข็งมากพอ จึงส่งแม่ทัพใหญ่ อ้วนซง มาล้างแค้นกับพวกข้าและเจ้าชายโกอีซึ่งเป็นเหมือนหนามยอกอกพร้อมกัน ด้วยการนัดหมายจาก กุยเฮง ที่เป็นสายลับสองหน้าให้กับพวกมัน”
“อ้วนซง กุยเฮง” กำเหลงทวนคำ รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อแซ่อยู่บ้าง แต่สำหรับซุนกวน ลกซุนที่ลอบฟังลอบอ่านริมฝีปากนั้น กลับสะท้านใจไปชั่ววูบ รู้ซึ้งแล้วว่า เหตุไรผู้นำทัพอ้วนซงจึงมีเหตุแค้นเคืองต่อสกุลโจ ที่แท้ มันก็คือทายาทที่หลงเหลือของสกุลอ้วนที่ถูกโจโฉประหารล้างตระกูลไปเมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นเอง ครานี้ วุยก๊กคงอยู่ไม่เป็นสุขเสียแล้ว
ส่วนกุยเฮงนั้น กลับเป็นชื่อที่ไม่ใคร่คุ้นหูนัก พอดี นางนาคีกล่าวเสริมขึ้น “ที่จริง กุยเฮงเป็นคนของแพกเจที่เข้าไปแฝงตัวอยู่ในราชสำนักฮั่นมานานแล้ว จึงเคยมาพบปะกับเจ้าชายโกอีที่เกาะของข้าหลายครั้ง ทั้งลูกชายกุยห้วย ลูกสาวกุยฮวยต่างเติบโตคุ้นเคยกับเหลงยี่มานาน ราวกับมิตรสหายและคนรัก มิคาดว่า สุดท้ายก็เป็นแผนการตีสนิท เพื่อล้วงความลับในการทำลายพวกข้าทั้งหมด การที่เหลงยี่ลงมือต่อทหารฮั่นเกินกว่าแผนการ ก็คงเป็นเพราะต้องการแสดงฝีมือให้สาวคนรักได้เห็น ช่างน่าแค้นใจยิ่งนัก”
ใกล้ถึงลมหายใจสุดท้ายแล้ว เห็นนาคีประคองมือของกำเหลงขึ้นทาบบนหน้าผากตัวเอง พร้อมกล่าวคำอำลา “ซิงป้า ข้าผู้เป็นภรรยาขอล่วงหน้าไปก่อน” จบคำ นาคีค่อยหลับตาพริ้มลงอย่างสงบ ปิดฉากชีวิตโจรสลัดสาวผู้อาภัพความรักไปตลอดกาล
นั่นคือเรื่องราวเศร้าสะเทือนใจต่อผู้คนเมื่อเดือนก่อน นับจากนั้นเป็นต้นมา กำเหลงก็คล้ายหมดสิ้นพลังชีวิต ท่าทางเซื่องซึม นั่งเฝ้าหลุมศพของหญิงคนรักอยู่ที่ชายหาดทุกวี่วัน จนพวกซุนกวนยังอับจนหนทางที่จะปลุกปลอบใจขุนพลทรนงให้กลับคืนมา
…
กำเหลงนึกถึงเหตุการณ์สงครามระหว่างซุนเซ็กกับเงียมแปะฮอที่ตัวมันเผชิญหน้ากับจิวยี่ครั้งแรก เป็นจิวยี่ที่ส่งมอบม้วนกระดาษปริศนาให้กับมัน และทำให้มันสะเทือนใจจนพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ส่งผลให้โจรสลัดเก่า จ้าวเสือขาว พ่ายศึก มันค่อยๆหยิบเอาแผ่นกระดาษซีดจางที่พับเก็บติดตัวมาตลอด และผ่านการเปิดอ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ออกจากอกเสื้อ ถ้อยคำที่เขียนมีเพียงว่า “นาคีผมแดง ให้กำเนิด เสียวเหลงยี่ แล้ว”
ตัวมันเองอ่านข้อความ แล้วเข้าใจไปว่า นาคีมีบุรุษคนใหม่จนกำเนิดบุตรชาย จึงเศร้าสะเทือนใจในเรื่องนี้ หากแต่ความหมายอีกนัยหนึ่ง อาจจะเป็นเพียงคำแจ้งเตือนว่า รับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับโจรสลัดสาวสวยเท่านั้น และที่จริงแล้ว คำว่า “เสียวเหลงยี่” (ลูกมังกรน้อย-ลูกของเหลง) ก็สื่อถึงความนัยที่ชัดเจน แต่ตัวมันกลับโง่งมเกินไป
“ข้าขอสาบาน จะล้างแค้นให้กับพวกเจ้าทั้งสองอย่างแน่นอน” กำเหลงกล่าวพร้อมปล่อยให้แผ่นกระดาษเก่าขาดปลิว ล่องลอยหายไปกับคลื่นทะเล
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย