Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
25 ต.ค. 2021 เวลา 23:10 • นิยาย เรื่องสั้น
7.4. แผนกำจัดพันธุ์มังกร
ตั๋งไป๋ คนรักวัยเยาว์ของกำเหลง - เกียงอุย จอมยุทธแบกหนี้เลือด - กุยห้วย ขุนพลสะท้านขวัญ
ยามสนธยาแล้ว ลกซุน เซียงเซียง ยังคงคลอเคลียออดอ้อนอยู่ที่ชายหาดตามประสาคนรักใหม่ ชี้ชวนให้มองดูพระอาทิตย์ตกน้ำ ทันใดนั้น ซุนกวนก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาเพื่อรีบแจ้งข่าวสำคัญ “ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเสียงทหารกังตั๋งพูดจากันอื้ออึงลอยมาตามกระแสลม อาจจะเป็นกองเรือค้นหา แต่พวกมันคล้ายพบพานร่องรอยโจรสลัด จึงกำลังปรับเปลี่ยนทิศทางใหม่ อาจจะเลี่ยงออกห่างไปจากเกาะแห่งนี้เสียแล้ว”
ลกซุนรีบลุกขึ้นมองด้วยตาเปล่า แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของใบเรือ นี่หากไม่ใช่กระแสลมเสริมส่ง แม้แต่พลังหูทิพย์ของซุนกวนก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย “เราต้องหาทางส่งสัญญาณ เรียกร้องความสนใจจากพวกมัน น่าเสียดายนักที่ข้าใช้พลุสัญญาณไปจนหมดสิ้นแล้ว”
พวกซุนกวนกวาดตามองไปโดยรอบ นึกไม่ออกว่าจะใช้อะไรไปเรียกร้องความสนใจจากเรือรบที่อยู่ไกลเกินสายตาจะมองเห็นได้ กำเหลงที่มักนั่งทอดอาลัยข้างหลุมศพ พลันลุกพรวดขึ้น แล้วลอยตัวเข้าใส่แพใหญ่ ใช้กรงเล็บตะขอในมือตัดเชือกเถาวัลย์ที่ผูกยึดไว้อย่างบ้าคลั่ง จนลกซุน เซียงเซียง พลันเข้าใจในความคิด รีบสั่งการให้ทั้งหมดช่วยเหลือกันจัดตั้งท่อนไม้จากแพเหล่านั้นให้เป็นกองไม้สูงคล้ายเตาสนามขนาดใหญ่
สุดท้าย ลกซุนค่อยสั่งการให้ทหารช่วยกันส่งฟืนแห้งใบไม้แห้งเข้าไปเป็นเชื้อเพลิง และยัดท่อนไม้จุดไฟเข้าไป กระตุ้นให้ลุกไหม้ต่อเนื่อง กลายเป็นกองไฟทรงสูงใหญ่ส่งแสงสว่าง และควันสูง ตัดกับขอบฟ้าที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ช่วงราตรีกาลพอดี
ซุนกวนพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากท้องทะเล แต่คล้ายไม่เกิดผลตอบรับใดๆ จนกองไฟจำเป็นเริ่มมอดลง ลกซุนได้แต่ตัดสินใจให้กำเหลงส่งพลังปราณกระแทกเรือเล็กให้แตกสลายเพิ่มอีกสองลำ แล้วช่วยกันส่งเศษแผ่นไม้จากเรือเล็กเข้าไปสังเวยเปลวเพลิงให้ลุกโชติช่วงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการเสี่ยงพนันจนหมดเค้าในมือแล้ว
ขอบฟ้าแนวทะเลยังคงราบเรียบ ไม่มีวี่แววการตอบรับใดๆ สร้างความท้อแท้ให้กับพวกซุนกวนยิ่งนัก ลกซุนจ้องมองเรือเล็กอีกสองลำสุดท้าย กริ่งเกรงว่าจะเป็นการพนันที่สูญเปล่า แต่กลับพบเห็นดวงตามุ่งมั่นของซุนกวน และสัญญาณที่เข้าใจได้ว่า “ทุ่มสุดตัว”
เรือสองลำสุดท้ายกลายเป็นแผ่นไม้ที่ถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นแล้ว แสงไฟเริ่มอ่อนแรง และแล้ว ซุนกวนพลันเกิดรอยยิ้มมีชัยขึ้น “พวกมันพบเห็นร่องรอยแล้ว ในที่สุด เราจะได้กลับกังตั๋งกันแล้ว ช่างเป็นการเดินทางที่เนิ่นนานยิ่งนัก ฮ่าฮ่าฮ่า”
…
ชีเซ่ง เตงฮอง รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทำภารกิจช่วยเหลือพวกซุนกวนมาจากเกาะร้างที่ภายหลังเรียกขานกันเองว่า เกาะเตียวหยู ได้สำเร็จ แสงไฟจุดเล็กๆที่ปลายฟ้ายามราตรีนั้นลุกวาบขึ้นสองสามครั้งจนผิดสังเกต ทำให้พวกมันสั่งการให้หันขบวนเรือปรับออกนอกเส้นทางอีกครั้ง และพบตัวผู้สูญหายที่มีความสำคัญได้ครบถ้วน
หมายเหตุ หมู่เกาะเตียวหยู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศจีน ตำแหน่งใกล้กันกับเกาะอี้จิ๋ว (ไต้หวัน) เดิมที เป็นเพียงหมู่เกาะรกร้าง แล้วค่อยขยับขยายขึ้นเป็นฐานที่มั่นในการป้องกันโจรสลัดในบางยุคสมัย และเพิ่งเกิดเป็นคดีพิพาทแย่งชิงกันระหว่างจีนกับญี่ปุ่น โดยเชื่อกันว่า สองประเทศต่างมุ่งหวังในแหล่งแก๊สธรรมชาติในบริเวณนั้น
…
เมื่อกองเรือค้นหาผู้นำหันเข้าสู่เกาะเตียวหยูนั้นเอง ทำให้กองเรือโจรสลัดต่างชาติในบริเวณใกล้เคียง เกิดความตื่นตระหนก นึกว่าเป็นการส่งสัญญาณพร้อมโจมตี จึงระดมพลเรียกพวกพ้องร่วมเส้นทางมาสมทบได้อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ฝ่ายกังตั๋งไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง ด้วยเกรงจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อบุคคลสำคัญที่เพิ่งช่วยเหลือกลับมาได้
หลังจากได้ขึ้นเรือทหาร ศึกษาแผนที่ทางทะเลแล้ว กำเหลงจึงเสนอให้นำกองเรืออ้อมเส้นทางลงใต้หลบเข้าไปสู่เกาะใหญ่นามอี้จิ๋ว ซึ่งเป็นแหล่งพักพิงปกติของพ่อค้าชาวเรือทั้งหลาย และมักจะมีกองกำลังในรูปแบบทหารรับจ้างมาประจำการณ์อยู่เสมอ
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม เพราะกลุ่มโจรสลัดต่างชาติถึงกับติดตามมาหยั่งเชิงกับผู้คนที่เกาะอี้จิ๋วจริงๆ ทำให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างกองทหารกังตั๋ง และกลุ่มคนอาสาสมัครที่อาศัยบนเกาะ ฝ่ายหนึ่ง กับโจรสลัดต่างชาติ อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเวลาร่วมสัปดาห์เศษ จนพายุใหญ่ระลอกแรกมาถึง อันเป็นสัญญาณการเปลี่ยนฤดูกาล ซึ่งจะมีพายุพัดผ่านไม่ขาดสาย เรือใหญ่น้อยต้องจอดหลบภัยบนเกาะ จนกว่าจะหมดสิ้นภัยธรรมชาติ ดังนั้น จึงพบเห็นพวกโจรยอมยุติศึกยืดเยื้อ แยกย้ายกันกลับคืนสู่ฐานที่มั่น
พอปัญหาโจรสลัดค่อยคลี่คลายไปแล้ว กลับมีลมพายุรุนแรงตามฤดูกาลระลอกใหญ่พัดผ่าน จนออกเรือไม่ได้ไปอีกหลายเดือน แม้ว่าพวกซุนกวนจะร้อนใจ แต่ก็ไม่อาจฝืนพลังธรรมชาติเช่นนี้ จำต้องยอมอาศัยอยู่บนเกาะอี้จิ๋วไปก่อน จนพ้นฤดูกาลอันโหดร้ายนั้นแล้ว คนกังตั๋งจึงค่อยอำลาชนชาวเกาะใหญ่ ออกเดินทางกลับบ้าน
แต่ยิ่งเข้าใกล้ชายฝั่งดินแดนกังตั๋ง เจ้านครซุนกวนยิ่งคล้ายเคร่งเครียดตื่นเต้น ลกซุนจึงเสนอแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยการทะยอยกลับคืนสู่เมืองต๋องง่อเป็นหลายระลอก พร้อมทั้งไม่ให้เผยแพร่เรื่องการค้นพบซุนกวนกับพวก จึงเป็นสภาพคล้ายกับการล่าถอยกองเรือกลับจากท้องทะเล หลังจากการเดินทางค้นหาที่ยาวนานเท่านั้น
สุดท้าย ช่วงบ่ายก่อนที่ขบวนเรือชุดหลักจะเข้าไปถึงท่าเรือใหญ่ เรือประธานกลับถูกลอบโจมตีด้วยกลุ่มมือสังหารทันทีที่เข้าสู่ปากแม่น้ำไต้กัง เรือประมงลำน้อยหลายสิบลำที่ลอยกระจัดกระจายอยู่ในแถบนั้น พลันพุ่งตรงมายังขบวนเรือที่เดินทางมาไกลอย่างรวดเร็ว และกระโจนเข้าใส่เรือประธาน หมายสังหารแต่ตัวหัวหน้าใหญ่เป็นสำคัญ
พวกทหารมีฝีมือล้มตาย แต่ยังมีจำนวนมากพอที่จะตั้งยันไว้ได้ จนตัวหัวหน้าโจรเผยตัวตนออกมาสองสามคน ชีเซ่ง เตงฮองที่ยืนคุ้มครอง ”เจ้านคร” อยู่ที่ดาดฟ้า จึงค่อยลงมือตอบโต้แล้ว แต่ในทันทีที่ “เจ้านคร” เผยช่องว่างนั้นเอง หนึ่งในมือสังหารชุดดำคลุมหน้าก็ลงมือแทงกระบี่เข้าใส่อย่างรวดเร็ว แสดงออกว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมืออย่างแท้จริง
“เจ้านคร” สลัดผ้าคลุมร่างออก เห็นเป็นขุนพลโจรสลัดปลอมแปลงมา กำเหลง เหวี่ยงกรงเล็บมีดดาบในมือเข้าตอบโต้ ทำเอาหัวหน้ามือสังหารมือไม้ปั่นป่วน เสียเชิงให้กับกับดักของคนกังตั๋งเข้าให้แล้ว ทหารบนเรือประธานยิ่งมายิ่งมาก ที่แท้ ลกซุนถึงกับสั่งการให้ทหารจำนวนมากแอบซ่อนเตรียมพร้อมอยู่ในลำเรืออยู่ก่อนแล้ว อีกทั้ง เมื่อเกิดการโจมตีขึ้น เรือคุ้มกันต่างๆพากันเข้ามาประสานรุมล้อมเรือประธาน วางสะพานไม้เชื่อมเปิดทางให้เหล่าทหารจากเรือลำอื่นขึ้นมาช่วยเหลือได้โดยพร้อมเพรียงกัน
เหล่ามือสังหารชุดดำคลุมหน้าที่นำขบวนมาโดยตั๋งไป๋ เกียงอุย ที่จริงล้วนเป็นนักสู้ผู้พิทักษ์ที่มีฝีมือสูงส่ง แต่คนน้อยก็ยังแพ้คนมากอยู่ดี สุดท้าย กำลังพลก็เริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ ตั๋งไป๋เห็นว่า แผนการลอบสังหารล้มเหลว ไม่อาจรับมือกับฝ่ายตรงข้ามได้ จึงได้แต่ส่งสัญญาณให้ล่าถอยรักษาชีวิตตนเองไว้ก่อน
คนอื่นพยายามหลบหนียังพอทำเนา เสียดายว่าคู่ต่อสู้ของตั๋งไป๋คือกำเหลง ซึ่งบัดนี้ได้พลังมังกรจักรวาลเพิ่มพูนกำลังภายในขึ้นเป็นพิเศษ และอารมณ์ขุ่นมัวจากการตายของคนรักเป็นทุนเดิม ทำให้กำเหลงเร่งเร้าพลังภายในถึงขีดสุด ฟาดฝ่ามือกรงเล็บเข้าใส่ตั๋งไป๋ครั้งแล้วครั้งเล่า จนออกอาการบาดเจ็บให้เห็นอย่างชัดเจน เกียงอุย ผู้เป็นลูกศิษย์ที่กำลังรับมือกับชีเซ่ง เตงฮองอยู่นั้น ต้องร่ำร้องในใจ ไม่กล้าหลบหนีตามคนอื่นไปก่อน
กำเหลงเห็นว่าตนเองได้เปรียบ คุมสถานการณ์ได้หมดสิ้นแล้ว จึงชะล่าใจไปชั่ววูบ ใช้กรงเล็บมีดดาบเปิดผ้าคลุมหน้าของฝ่ายตรงข้าม พอพบเห็นว่าเป็นจอมยุทธ์หญิง รู้สึกคุ้นใบหน้า ฉับพลัน ร่างของกำเหลงพลันสั่นสะท้านขึ้นราวกับนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา
…
ภาพของตัวมันในวัยหนุ่มคะนอง เป็นเพียงเด็กนักเลงปลายแถว อาศัยอยู่ที่เมืองเสเหลียง แอบเฝ้ามองสาวน้อยแรกรุ่นที่เป็นถึงลูกศิษย์คนสำคัญของจอมยุทธ์เผ่าเกี๋ยง นางดูเงียบเหงาเศร้าสร้อย และชอบมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมแม่น้ำฮวงโหนอกประตูเมือง คล้ายรอคอยให้ผู้ใดกลับมาพบพานอีกครั้ง ตัวมันเองรู้ตัวว่าต่ำต้อยด้อยฐานะ จึงได้แต่แอบหลงรักอยู่ลำพัง แม้แต่ชื่อแซ่ของนางก็ไม่รู้จัก
แต่ด้วยอิทธิพลแห่งความรักนั้นเองที่ผลักดันให้มันไขว่คว้าโอกาสไต่เต้าจากนักเลงปลายแถวขึ้นมาเป็นโจรสลัดแห่งน่านน้ำ และออกมาสู่ท้องทะเลหลวงด้วยประสบการณ์ต่อสู้ในแบบฉบับของวงการนักเลง จนได้เป็นผู้นำแห่งกลุ่มโจรสลัดผ้าแพรแล้ว
ครั้งหนึ่ง มันเคยหวนกลับไปสืบหาสาวน้อยคนนั้น ตระเตรียมแสดงทรัพย์สินเงินทอง หวังว่านางจะยังคงใช้ชีวิตเป็นเช่นเดิม แต่เพียงได้ยินว่า นางถูกศัตรูต่างถิ่นตามล่าจนต้องหลบหนีหายสาบสูญไป เพราะมีความเกี่ยวดองกันกับคนร้าย สุดท้าย มันจึงได้ล่วงรู้ชื่อแซ่ของหญิงสาวที่มันแอบรัก นางคือตั๋งไป๋ ลูกสาวนอกสมรสของจอมทรราชย์แห่งยุคนามตั้งโต๊ะ คนที่นางเฝ้ารอคอยนั้น สมควรเป็นบิดาของนางนั่นเอง
หลายสิบปีผ่านไป มันยังคงเฝ้าคิดถึงแต่สาวน้อยคนนั้น และนึกไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้ว ความรักนั้นกลับมาหลอกหลอนมันอย่างหนักหน่วงยิ่งนัก หญิงคนที่มันแอบรักมานาน กำลังต้องการสังหารมันให้ตาย หรือว่า นี่คือบททดสอบความรักอีกบทหนึ่ง
…
จังหวะนั้น หนึ่งในซากศพมือสังหารที่เห็นกับตาว่าเพิ่งถูกฟันใส่เต็มแรงจนล้มหงายไปเมื่อครู่ กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา ใช้ดาบสะบัดใส่กำเหลงในระยะประชิด เห็นเป็นองครักษ์กุยห้วยที่เคยพบเห็นในวังหลวง ยังดีที่กำเหลงมีกรงเล็บมีดดาบติดตัว ตอบสนองได้เร็ว จึงกดตรึงดาบลงกับพื้นกระดานเรือได้ทัน แต่กลับเป็นตั้งไป๋ที่ฉวยจังหวะได้เปรียบ ฟาดฝ่ามือเข้ากลางอกของกำเหลงในทันที
พอลงมือเป็นผลสำเร็จ กุยห้วย ตั๋งไป๋ ต่างเร่งเร้าพลังยุทธ์เข้าใส่คู่ต่อสู้ตรงหน้าหมายเอาชีวิต กำเหลงจึงกระแทกพลังภายในใส่กุยห้วย เป็นอีกครั้งที่พลังภายในกับพลังภายนอกสายมังกรจักรวาลมาปะทะกัน จึงทำให้บาดเจ็บสาหัสไปทั้งคู่ ตั้งไป๋หวังผลงาน ชิงลงมือด้วยการพุ่งกระบี่แทงใส่ศัตรู แต่กุยห้วยที่กำลังมึนงงอยู่ กลับฟาดฝ่ามือมาจากทางด้านหลังอีกทอดหนึ่ง จึงเห็นกำเหลงร่ำร้องขึ้น “ระวังด้านหลัง ตั๋งไป๋"
กระบี่ในมือตั๋งไป๋แทงช่วงท้องของกำเหลงจนเลือดกระเซ็น แต่มันกลับหมุนตัวผ่านไปด้านหลังของตั้งไป๋ ใช้แผ่นหลังรับพลังฝ่ามือของกุยห้วยแทน จึงเห็นกำเหลงถูกฟาดใส่เต็มแรง ลอยละลิ่วลงสู่ผืนน้ำ จนหายลับไปทันที ตั้งไป๋งุงงงต่อท่าทีดังกล่าว แต่พอคาดเดาเหตุการณ์ได้ กุยห้วยเมื่อเห็นไม่เกิดประโยชน์อันใดอีก จึงชักชวนพรรคพวกล่าถอย พร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียดแก้วหู หลงเหลือเพียงชีเซ่ง เตงฮอง หลั่งน้ำตานักรบ เข้าใจว่า สูญเสียขุนพลกำเหลงผู้เลื่องชื่อไปแล้ว
…
ห่างไกลออกไปหลายสิบลี้ ซุนกวน ลกซุน เซียงเซียง และทหารติดตามไม่กี่สิบคน ใช้เรือสินค้าขนาดย่อมแอบขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเล็กแทน โดยมีเพียงคนในตระกูลซุน เช่น ซุนลอง ซุนลู่ปันในคราบของซุนเต๋ง มาคอยต้อนรับตามที่นัดแนะกันไว้อย่างลับสุดยอด
จู่ๆ ซุนกวนก็มีน้ำตารินไหล ถ่ายทอดคำกล่าวอาลัยของคนบนเรือ ทำให้ทุกคนรับทราบว่า ขุนพลโจรสลัดผู้อาภัพรักได้จากไปแล้ว “พวกมันซ้อนแผน ลอบฆ่ากำเหลงไปเสียแล้ว ข้าจดจำเสียงหัวร่อของคนร้ายได้ คล้ายเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน”
ที่แท้ พอซุนกวนเข้าใกล้ผืนแผ่นดิน ทดลองใช้พลังหูทิพย์รับฟังเรื่องราว พบว่า ผู้คนในกังตั๋งกำลังกังวลใจต่อกองทัพเสฉวนที่กำลังรุกคืบเข้ามาเป็นสองสาย สายแรก เล่าปี่ เสียวเอี่ยนจื่อ ตีผ่านชายแดนมาใกล้จะถึงเมืองชีสอง โดยที่พัวเจี้ยง จูเหียน ไม่กล้าลงมาช่วย เพราะถูกสายที่สองซึ่งมีจูล่ง อุยเอี๋ยน นำทัพมากดดัน หมายจะชิงดินแดนทางเกงจิ๋ว จนพวกเตียวเจียวต้องขอตัวฮกหวนออกไปช่วยรบ เพื่อสร้างเสริมขวัญกำลังใจ
แค่รับฟังภัยสงครามก็น่าปวดหัวแล้ว พลันซุนกวนกลับได้ยินกลุ่มคนจำนวนหนึ่งคล้ายวางแผนลงมือต่อขบวนเรือที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ปากแม่น้ำ จึงนำเรื่องไปปรึกษากับลกซุน กำเหลง เป็นการภายใน ทั้งสองคนเห็นตรงกัน ต้องการให้เกิดการลงมือจริงๆ หวังจะสืบหาตัวการที่เป็นหนอนบ่อนไส้ใกล้ตัว ทำให้เกิดแผนการปลอมแปลงเช่นนี้ โดยเชื่อมั่นว่า กำเหลง ชีเซ่ง เตงฮอง สามขุนพลสำคัญ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
“สังหารขุนพลค้ำแผ่นดิน ย่อมทำให้ผู้คนแตกตื่นเสียขวัญไม่น้อยกว่าการบุกยึดชิงเมืองใหญ่” ลกซุนกังวลใจ จึงสั่งให้ปิดข่าวการตายของกำเหลงไว้ก่อนชั่วคราว
…
“อาจารย์ อาจารย์” เสียงเกียงอุยในวัยเยาว์ร่ำร้องก้องตัวถ้ำ หวังให้ตั๋งไป๋ที่สลบไสลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนให้ฟื้นคืนสติ กุยห้วยคล้ายรำคาญใจ จึงโยนโสมคนให้ต้นหนึ่ง พร้อมกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “นางเพียงแต่อ่อนเพลียเกินไปเท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องร่ำร้องให้วุ่นวาย เอายาโสมไปต้มกินแล้วรีบเร่งเดินทางต่อ ภารกิจเรายังไม่จบสิ้นที่นี่”
เกียงอุยเบิกตาโพลง แผนการที่นัดแนะกัน เพียงแค่ให้ตั๋งไป๋ออกหน้ารับมือกับกำเหลงก่อน แล้วให้องครักษ์กุยห้วยลอบช่วยเหลือรุมสังหารขุนพลชื่อดัง แต่แล้ว กุยห้วยกลับประวิงเวลาเนิ่นนานเกินไป จนตั๋งไป๋บาดเจ็บสาหัสค่อยลงมือ แม้ว่า ภารกิจจะสำเร็จ แต่ก็ทำให้อาจารย์หญิงแทบเสียชีิวิตในการต่อสู้ แสดงว่า คนผู้นี้ไร้น้ำใจยิ่งนัก
“งานของฝ่ายเราเพียงเพื่อกำจัดขุนพลกำเหลง สยบความฮึกเหิมของคนกังตั๋งเป็นสำคัญ แต่เป้าหมายจริงยังคงอยู่ทางด้านนั้นต่างหาก” กุยห้วยชี้มือไปทางท่าเรือเล็กห่างไกลออกไป ราวกับมองเห็นความเคลื่อนไหวของพวกสกุลซุนทางด้านนั้น “ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน พวกเจ้าค่อยติดตามไปพบกันที่ตำบลอิเหลงเลยแล้วกัน”
…
พวกซุนกวนเพิ่งออกเดินทางพ้นจากท่าเรือเล็ก ทันใดนั้น กลุ่มคนแต่งกายคล้ายชาวเผ่าเย่หลายร้อยคนพร้อมอาวุธครบมือ พลันปรากฏตัวขึ้นรุมล้อมคนทั้งหลายเอาไว้อย่างประสงค์ร้าย ลกซุนเคยคลุกคลีกับพวกเผ่าเย่เมื่อหลายปีก่อน ยังจดจำผู้นำเผ่าได้ จึงส่งเสียงร้องเรียก “ท่านอิ้วตู้คิดก่อการร้ายอีกแล้วหรือ”
นับตั้งแต่ลกซุนนำประกาศิตกระเรียนของราชครูอาวุโสไปเจรจาความเมืองกับเผ่าเย่เมื่อหลายปีก่อนนั้น ชาวฮั่นสายกังตั๋งกับเผ่าเย่ก็คล้ายต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่ใคร่ยุ่งเกี่ยวกันนัก จนเกิดเหตุคลื่นสมุทรยักษ์ถล่มเมืองที่เผ่าเย่ได้จัดส่งความช่วยเหลือมาให้เร่งด่วน ทำให้สองชนเผ่าเปลี่ยนสถานะจากศัตรูมาเป็นมิตรสหายต่อกันเรื่อยมา
อิ้วตู้คล้ายนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับลกซุน อดีีตแม่ทัพปราบทักษิณที่เคยมีความคุ้นเคยกันอยู่ จึงก้าวเท้าออกมาว่ากล่าว “ขออภัยด้วยท่านขุนพล ผู้เป็นตัวแทนราชครูผู้ล่วงลับ (หมายถึงเฒ่ากระเรียน ซึ่งเคยเป็นราชครูให้กับเผ่าเย่) เราได้รับคำชี้แนะให้มาจัดการกับพวกสกุลซุนเท่านั้น หากท่านยังคิดถึงน้ำใจเก่าก่อน โปรดจงเปิดทางให้เราด้วยเถิด”
คำว่า ตัวแทนราชครูผู้ล่วงลับ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อพวกสกุลซุน โดยเฉพาะซุนกวนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความหวั่นไหวใจ หวาดระแวงในตัวลกซุนขึ้นบ้างแล้ว เพราะไม่เคยได้ยินลกซุนกล่าวถึงเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน
ลกซุนได้แต่แอบขุ่นเคืองใจ เปลือกนอก อิ้วตู้ดูเหมือนสัตย์ซื่อตามแบบชาวป่าชาวดอยทั่วไป แต่ที่จริง กลับมีความคิดลึกซึ้ง เพียงใช้ถ้อยคำสะดุดหูไม่กี่คำ ก็ก่อกวนให้เกิดความแตกแยกได้ในทันที แอบประเมินกำลังทั้งสองฝ่ายแล้ว ยังเห็นว่า ฝ่ายตนเสียเปรียบยิ่งนักในจำนวนคน จึงไม่อาจลงมือแตกหักกับฝ่ายตรงข้ามในยามนี้
ซุนกวนในฐานะเจ้านครมานาน พอเข้าใจจุดประสงค์ของผู้นำเผ่าเย่ที่ต้องการสงบศึกกังตั๋งอย่างถาวรเด็ดขาด และเคยติดตามข้อมูลเบื้องลึกของผู้นำมาบ้าง จึงก้าวเท้าออกมาว่ากล่าวบ้าง “ท่านอิ้วตู้ คงต้องการยุติสงครามชายแดน และยกระดับฐานะของเผ่าเย่ เรามีข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับท่าน จงมาคุยกันด้านนี้เถิด”
ว่าแล้ว ซุนกวนก็ก้าวย่างไปทางต้นไม้ใหญ่ข้างทางอย่างเปิดเผย อิ้วตู้ลังเลใจเล็กน้อย ค่อยส่งสัญญาณให้กับลูกน้องคนสนิทควบคุมสถานการณ์เอาไว้ แล้วจึงก้าวตามไปพูดคุยกันเบาๆ แม้แต่เสนาบดีบู๊อย่างลกซุนเอง ก็ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรับฟังด้วย แสดงถึงบรรยากาศที่ไม่ไว้วางใจเบาบางได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
สักครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ซุนกวน อิ้วตู้เดินจูงมือกันกลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซุนกวนชี้มือไปยังซุนลู่ปันที่ยังคงแต่งตัวเป็นผู้ชายอย่างมีเลศนัย ในขณะที่อิ้วตู้ทำตาโตพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้ง แล้วถึงกับคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมคำเรียกหาใหม่ “คารวะท่านพ่อตา ตัวข้าและชนเผ่าเย่ทั้งหลายขอภักดีต่อแดนกังตั๋งตลอดไปชั่วนิรันดร์ ทายาทของเราสองจะได้ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าสืบทอดไปตลอดกาล”
ทุกคนต่างตกตะลึงในคำพูดที่คล้ายโง่งม แต่แหลมคมยิ่งของอิ้วตู้อีกครั้ง เพียงกล่าววาจาไม่กี่คำ ก็เปิดโปงข้อตกลงของซุนกวนให้คนทั้งหลายกลายเป็นสักขีพยานไปเสียแล้ว ซุนลู่ปันไม่ใช่คนโง่ จึงคาดเดาเรื่องราวได้ในทันที เมื่อเห็นว่า ไม่อาจฉีกหน้าบิดาต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงยืนหน้าซีดขาวด้วยความสับสน และเสียใจที่กลายเป็นเหยื่อทางการเมืองไปเสียแล้ว
สิ่งที่ซุนกวนหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ก็คือ เรื่องนายหญิงของผู้นำเผ่านั่นเอง สายข่าวเคยรายงานว่า อิ้วตู้เพิ่งสูญเสียภรรยาหลวงไปกับการคลอดบุตรีนามเจาอี้เมื่อปีก่อน ดังนั้น อิ้วตู้ในฐานะผู้นำเผ่า ย่อมจำเป็นต้องหาคู่ครองใหม่ ซุนกวนจึงเสนอมอบซุนลู่ปันที่เป็นลูกสาวเจ้านคร ให้เป็นภรรยา เพื่อยกชั้นศักดิ์ศรีให้กับอิ้วตู้มากยิ่งขึ้นด้วย
มาถึงขั้นนี้ ซุนกวนจึงไม่ปิดบังท่าที จับมือของซุนลู่ปันมากุมคู่กันกับอิ้วตู้ พลางกล่าวคำ “บิดาตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่คืนคำ หากแต่ตอนนี้ ศึกเสฉวนตึงเครียดยิ่งนัก รบกวนให้อิ้วตู้นำทัพไปก่อกวนศัตรูให้วุ่นวายสักระยะหนึ่งก่อน รอเวลาให้ข้ายกทัพใหญ่ไปจัดการกับพวกมันขั้นเด็ดขาด แล้วค่อยกลับมาจัดงานวิวาห์ให้สมเกียรติกันที่เมืองต๋องง่อ พวกเราชาวกังตั๋งพร้อมที่จะยกระดับอาณาจักรขึ้นเป็นง่อก๊ก เทียบเทียมกับวุยก๊ก จ๊กก๊กแล้ว”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาท่าเรือระหว่างกังตั๋งกับเผ่าเย่ ทำให้กองทัพเสฉวนเกิดปัญหาต่อเนื่องในศึกอิเหลง เพราะลิเงียมโดนปล้นชิงเสบียงท้องถิ่นซ้ำสองในเวลาต่อมา
…
เมื่อจัดการกับเผ่าเย่แล้ว ซุนกวนและพวกก็ไม่รอช้า รีบเดินทางไปยังจุดนัดพบกับพวกชีเซ่ง เตงฮอง รวบรวมไพร่พลจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยตรงเข้าสู่เมืองต๋องง่ออย่างเอิกเกริก เพื่อปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้กับคนกังตั๋งทั้งหลาย กว่าจะมาถึงเมืองต๋องง่อก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว แต่เตียวเจียว โกะหยง พร้อมขุนนางนายทหารรีบออกมาต้อนรับโดยเร็ว
ซุนกวนไม่เห็นจูกัดกิ๋นร่วมขบวนมาด้วย ทำให้ชื่อตัวคนบงการที่อิ้วตู้สารภาพไว้ มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ยังสะกดใจ แสร้งถามหาจากเตียวเจียว “จูกัดกิ๋นหายไปไหนหรือ”
เตียวเจียวทำหน้าซื่อ ตอบคำ “ท่านจูกัดกิ๋นกังวลต่อสถานการณ์ทางด้านเกงจิ๋ว จึงอาสานำกองทัพเรือยี่สิบหมื่น เดินทางพร้อมสี่พยัคฆ์น้อย ไปเสริมกำลังตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ”
ซุนกวน ลกซุน สบตากันอย่างเท่าทัน ความเป็นไปได้ทางหนึ่ง คือ จูกัดกิ๋นวางแผนสังหารกลางลำน้ำ และท่าเรือเล็ก แต่ยังหวั่นเกรงความผิดพลาด ถึงกับอ้างอัยการศึกนำกองทัพออกรบ แต่ที่จริงคือการนำทายาทขุนนางสำคัญและกองทัพยี่สิบหมื่นนายไปเป็นตัวประกัน หากมีความเปลี่ยนแปลง มันย่อมสามารถใช้กองทัพเหล่านี้กลับมาทำลายกังตั๋งได้อีก จากปากคำของซุนลอง เหตุการณ์ที่เมืองอ้วนเซียนั้น พวกสกุลจูกัดคล้ายจะร่วมมือกัน หวังช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินเช่นกัน
แต่อีกทางหนึ่ง จูกัดกิ๋นอาจจะเป็นเพียงแพะทางการเมืองอีกคนหนึ่ง คนบงการตัวจริงอาจจะอ้างชื่อจูกัดกิ๋นต่ออิ้วตู้ และอาจกระตุ้นให้จูกัดกิ๋นนำทัพไปเช่นนี้ ซึ่งคนที่ทั้งสองสงสัยนั้น คือ เตียวเจียว หรือ โกะหยง ที่ยืนหน้าซื่ออยู่เบื้องหน้านี่เอง แต่ตราบใดที่ไม่มั่นใจ วิสัยของซุนกวนจะไม่ลงมือก่อนให้สูญเสียกำลังคนโดยใช่เหตุ
ลกซุนพอคาดเดาท่าทีของซุนกวนได้ จึงเสนอแผนลองใจจูกัดกิ๋นโดยส่งชีเซ่ง เตงฮอง สองขุนพลทหารเรือรีบนำกองทัพเรือเหล็กตามไป อ้างว่าเพื่อช่วยเสริมทัพ พร้อมส่งกลศึกต้นไม้ผลิดอก ชูธงรบประจำตัวของกำเหลง ขุนพลโจรสลัดเป็นผู้นำทัพ กำกับไปด้วย
หากจูกัดกิ๋นมีความจริงใจ ยอมรับแผนการที่ลกซุนส่งไปโดยดี ปัญหาศึกเกงจิ๋วก็จะบรรเทาเบาบางลง และชีเซ่ง เตงฮองก็สามารถเข้าใกล้ตัวจูกัดกิ๋นได้ในระยะประชิด แต่หากจูกัดกิ๋นเลือกที่จะต่อต้าน กองทัพยี่สิบหมื่นนายคงไม่ถูกลวงให้ลงมือกับพวกเดียวกันเอง จูกัดกิ๋น แม้จะเก่งกาจเพียงไร ก็ย่อมถูกจับกุมได้โดยง่าย
…
ภาพสงครามเกงจิ๋วในเวลาต่อมา จึงปรากฏกองทัพเรือของกำเหลงปลอม เข้าไปช่วยเหลือจูเหียนจากการบุกจู่โจมของจูล่ง อุยเอี๋ยน และเสริมกำลังเมืองเกงจิ๋วไว้ได้ทันท่วงที
นอกจากนั้น จูกัดกิ๋นยังช่วยกำกับสมรภูมิรบทางด้านนั้นไว้อย่างเข้มแข็ง และสร้างผลงานยอดเยี่ยมในการตามตีกองทัพล่าถอยของพวกเสฉวนในช่วงเวลาก่อนเจ้านครเล่าปี่ตายได้อีกด้วย ทำให้มองไม่ออกว่า จูกัดกิ๋นนั้นเป็นคนบงการตัวจริงหรือไม่
…
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย