27 ต.ค. 2021 เวลา 00:24 • นิยาย เรื่องสั้น
7.5. คู่รักโลกต้องห้าม
ลกซุน เขยเอกแห่งง่อก๊ก - เซียงเซียง นักธนูหญิงพเนจร - ซุนหยง ทายาทสองสกุลดัง
สถานการณ์สมรภูมิรบด้านเกงจิ๋วได้รับการแก้ไขให้ผ่อนคลายไปแล้ว แต่กองทัพใหญ่เสฉวนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ลกซุนจึงรีบวางแผนโจมตีต่อเนื่องใส่กองทัพเล่าปี่ที่ตำบลอิเหลงจากสามทิศทาง
กล่าวคือ เจียวขิมนำทัพเรืออ้อมไปยิงปืนไฟจากระยะไกลทางทิศตะวันตก ซุนหวนนำทัพกองโจรใช้ท่อนไม้ไฟกลิ้งถล่มลงจากภูเขารกร้างทางทิศเหนือ และกองทัพหลวงนำโดยซุนกวน ลกซุน เล่งทอง รุกโจมตีด้วยกลศึกมาจากทางทิศตะวันออก ส่วนซุนลอง เตียวเจียว โกะหยง รวมทั้ง ซุนลู่ปัน ซึ่งถูกเฉลยไปโดยปริยายที่ท่าเรือเล็กแล้วว่าเป็นหญิงสาวปลอมตัวมา ให้คอยอยู่กำกับสถานการณ์ในเมืองต๋องง่อแทน
ระหว่างทาง ซุนลู่ปันกลับไม่ยินยอมเชื่อฟัง ยังคงแต่งตัวเป็นซุนเต๋ง ลอบติดตามกองทัพซุนกวนมาด้วย ครั้นถึงยามค่ำคืน กลับได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างพ่อลูกด้วยประเด็นเรื่องการวิวาห์กับชนเผ่าเย่ ที่จริง ซุนกวนไม่ได้คิดจะยกลูกสาวให้อิ้วตู้จริงๆ ด้วยแค่ต้องการให้ผ่อนคลายสถานการณ์จากวงล้อม ถึงกับพร้อมจะตระบัดสัตย์ หาทางสังหารอิ้วตู้อยู่แล้ว แต่เมื่อถูกลูกสาวกดดันในยามกระทันหัน จึงไม่พร้อมที่จะเปิดเผยความจริง กลับดุด่าให้ลูกสาวยอมเสียสละเพื่อชาติเสียบ้าง
 
แผนการทั้งหมดดำเนินไปได้ด้วยดี กองทัพเสฉวนปั่นป่วนจากการถูกตีกระหนาบรอบด้าน แต่ช่วงเวลาวิกฤตของสงครามอิเหลง ลกซุนคล้ายได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากสายข่าว ถึงกับลอบออกจากกระโจมสั่งการ เดินทางไปยังเชิงเขาใกล้ที่มั่นฝ่ายเล่าปี่
บังเอิญที่ซุนกวนรับรู้ความเคลื่อนไหวของลกซุนได้จากพลังโสตทิพย์ และมีใจระแวงในเรื่องราวของเผ่าเย่เป็นทุนเดิม จึงเรียกซุนลู่ปัน ซุนหวน เล่งทอง และหน่วยทัพโลกันต์ ให้ติดตามไปอีกทอดหนึ่ง หวังจะคลี่คลายความสงสัยในท่าทีลึกลับของลกซุนให้ได้
ในที่สุด กลุ่มของซุนกวนทั้งสี่ จึงประสพกับเหตุการณ์ต่อสู้กันระหว่างเล่าปี่ เสียวเอี่ยนจื่อ ลกซุน และพวกขงเบ้ง กุยห้วย ตั้งไป๋ ด้วยระยะทางที่ไกลห่าง ซุนกวนใช้พลังโสตทิพย์ปะติดปะต่อเรื่องราวล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ยังไม่ทันปักใจเชื่อมั่นท่าทีของลกซุน แต่กลับจดจำเสียงหัวร่อของกุยห้วย องครักษ์วุยก๊กได้ว่า นี่คือมือสังหารที่ฆ่ากำเหลงกลางลำน้ำ จึงสั่งการให้ลงมือจับตายไปที่กุยห้วย แล้วสุดท้าย เมื่อซุนหวนเสียทีถูกสังหารตาย และกุยห้วยถูกทำร้ายพิการแขนขาด แต่ตัวมันกลับถูกท่อนมือติดพิษฝังเข้ากลางลำตัว พิษร้ายแผ่ขยายเข้าสู่ร่างกายและหัวใจอย่างรวดเร็ว
ซุนกวนรู้สึกตัวว่า ตัวมันคงไม่อาจรอดชีวิตแล้ว มองดูลกซุนยังมีท่าทีร้อนรน แสดงถึงความเป็นห่วงอยู่ชัดเจน มันจึงได้แต่ตัดสินใจสั่งความเป็นวาระสุดท้าย “อาซุน กังตั๋งไม่อาจขาดผู้นำที่เข้มแข็ง และลูกเต๋งก็ยังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งนี้ ดังนั้น ข้าขอร้องเจ้าเป็นการลับเฉพาะคนเดียว จงจัดการให้ลูกปันปลอมเป็นตัวข้า ดำเนินนโยบายยกระดับกังตั๋งเป็นง่อก๊กไปตามแผนเดิม เพียงแต่เรียกหาตัวเองว่า ง่ออ๋อง อย่าเพิ่งเป็นฮ่องเต้ เพื่อลดกระแสต่อต้าน ระหว่างนั้น จงค้นหาให้พบว่า ใครอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารกลางลำน้ำ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ทำไปตามที่เจ้าเห็นควรเถิด”
ว่าแล้ว เจ้านครกังตั๋งก็หันมากุมมือสั่งเสียกับซุนลู่ปัน “น่าเสียดายนักที่เจ้าเกิดเป็นผู้หญิง มิเช่นนั้น บัลลังก์นี้ก็ควรมอบให้แก่เจ้าผู้ห้าวหาญ แต่ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเช่นนี้ ก็จงเปิดทางให้กับอาเต๋งเมื่อถึงเวลาอันควร ส่วนเรื่องอิ้วตู้นั้น พ่อเชื่อว่า ลกซุนมีวิธีจัดการที่จะทำให้เจ้าพอใจ พ่อรักเจ้า ย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปตกระกำลำบากในถิ่นสามานย์ดอก”
ซุนกวนยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนกระตุกด้วยแรงพิษร้ายจนสิ้นลมหายใจ ควันสีเขียวเข้มพวยพุ่งออกจากจมูกม้วนเป็นรูปมังกร ตรงเข้าสู่ร่างของลกซุน สักพักใหญ่ ใบหูเรียวแหลมสีเขียวก็งอกเงยขึ้นแทนที่ใบหูเดิม พลังโสตทิพย์ถูกเปลี่ยนโอนมาสู่ลกซุนแล้ว
ลกซุนรู้สึกงุนงงวิงเวียนกับเหตุการณ์ตรงหน้า และสุ้มเสียงสารพัดที่ดังสนั่นเข้ามาอย่างกระทันหัน แต่พอคุ้นเคยกับพลังมังกรชุดนี้จากปากคำบอกเล่าของซุนกวนมาบ้างแล้ว จึงเรียนรู้ได้โดยเร็ว และรีบรุกคืบต่อในทันที “ลู่ปัน เราต้องรีบไปกำจัดพวกเล่าปี่ก่อนจะถึงเมืองเป๊กเต้เสีย นี่คือโอกาสในการทำลายขุมกำลังของพวกเสฉวนให้สิ้นซาก”
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่พวกซุนกวนปลอมจะพากองทัพเรืออันเกรียงไกรไปพ่ายแพ้ต่อค่ายกลระเบิดฟ้าผ่าจนย่อยยับ เจียวขิมตายในลำน้ำ ซุนลู่ปันกับลกซุนกลับเมืองต๋องง่อ แต่ทั้งสองจำเป็นต้องปกปิดใบหน้าใบหูให้มิดชิด จึงนำเอาผ้าโพกหัวชาวเรือมาใช้เป็นประจำ โดยอ้างว่า เป็นการระลึกถึงชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สมรภูมิอิเหลง และกุเรื่องที่ซุนลู่ปันกลับสู่รังลับ เพื่อเปิดทางให้ซุนกวนปลอมตั้งตนเป็นง่ออ๋อง ปกครองเมืองต่อไป
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กังตั๋งคล้ายจะเข้าที่เข้าทางไปตามแบบฉบับของอาณาจักรตั้งใหม่ เพียงแต่ลกซุนกลับสับสน และอับจนปัญญาตามลำพัง เซียงเซียง จอมยุทธ์สาวลึกลับที่อยู่ร่วมกันเป็นคู่รักบนเกาะร้างมานานหลายเดือนนั้น หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่กลับถึงเมืองต๋องง่อก่อนออกศึก ลกซุนยังฝากฝังนางไว้กับซุนหยง ภรรยาหลวง แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น นางกลับหายสาบสูญ ทิ้งไว้เพียงป้ายทองรูปมังกรผงาด ฝากมอบให้ลกข้อง ทารกน้อยของซุนหยงกับลกซุนเมื่อยามเติบใหญ่ และจดหมายอำลาสั้นๆ “สะสางหนี้แค้นในครอบครัว โปรดอย่าตามหาข้าอีกเลย”
ย้อนกลับไปหลังเหตุการณ์การลอบสังหารกำเหลงที่ปากแม่น้ำไต้กัง เมื่อกุยห้วยเพิ่งจากไปได้พักหนึ่ง ตั้งไป๋ที่สลบไสลด้วยความอ่อนเพลีย พลันฟื้นคืนสติขึ้น เกียงอุยแย้มยิ้มอย่างรู้ทัน พลางกล่าว “ข้ารู้ว่าอาจารย์แสร้งทำเป็นสลบไสล ไม่อยากสนทนาวิสาสะกับกุยห้วย ที่จริงแล้ว อาการบาดเจ็บแค่นี้ไม่สมควรทำอะไรท่านได้ดอก”
ตั้งไป๋ยิ้มตอบ พยักเพยิดให้เกียงอุยพานางลงมาพักผ่อนที่ข้างแม่น้ำใหญ่ แล้วเกียงอุยค่อยปลีกตัวไปหาน้ำ เพื่อมาต้มยาโสมให้กิน ตั้งไป๋มองดูเงาหลังศิษย์น้อย กลับนึกถึงเหตุการณ์ข้างแม่น้ำในวัยเยาว์ เคยมีเด็กหนุ่มผอมเกร็ง เส้นผมปรกตา มักแอบอยู่หลังต้นไม้ ลอบมองนางอยู่บ่อยครั้ง นางเองยามนั้นก็เป็นแค่เด็กสาวไม่รู้ประสา จึงเสแสร้งไม่รู้ตัว ทำเป็นเหม่อลอยมองแม่น้ำตรงหน้าอยู่เนืองๆ ต่างฝ่ายต่างคิดวุ่นวายในใจ แต่ไม่เคยเอ่ยวาจาใดต่อกัน หรือแม้แต่จะสบตากันเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่รับรู้ความรู้สึกที่มีต่อกัน จนวันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายไปจากความเป็นจริงและความทรงจำตลอดมา
ผ่านไปนานหลายสิบปี สาเหตุหนึ่งที่ตั้งไป๋ช่วยชีวิตเด็กน้อยเกียงอุยจากการล่าสังหารล้างตระกูล จนรับไว้เป็นลูกศิษย์ ส่วนหนึ่งก็เป็นการชดเชยเวลาที่ขาดหายไปในเรื่องนี้ คิดไม่ถึงเลยว่า ในยามนี้ เด็กน้อยคนนั้นพลันกลับมาในคราบร่างของกำเหลง ขุนพลโจรสลัดผู้เลื่องชื่อ แต่ก็ถูกสังหารไปเสียแล้วด้วยน้ำมือของนางเอง
“อาจารย์ ดูสิว่า ข้าพบกับอะไรลอยมาติดริมฝั่งน้ำด้านโน้น” เกียงอุยทิ้งวัตถุชิ้นใหญ่ลงกับพื้น ถึงกับเป็นร่างอันสูงใหญ่ของกำเหลง คนที่นางกำลังระลึกถึง “มันยังคงมีลมหายใจอยู่เบาบาง แต่อาการสาหัสเช่นนี้ ไม่น่าจะรอดดอก”
“จงต้มยาโสมนี้ให้มันกิน แล้วพวกเราก็เดินทางต่อกันเถอะ เรายังมีเรื่องต้องไปสะสางกับกุยห้วยอีก” ตั้งไป๋ทำนิ่งเฉย สั่งความตามพื้นฐานจิตใจตนเอง ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของเกียงอุย “กุยห้วยล่วงเกินข้า มันจึงต้องชดใช้ กำเหลงทำร้ายข้าปางตาย ที่จริงสมควรถูกฆ่าทิ้ง แต่ที่มันเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะมันช่วยรับฝ่ามือสุดท้ายแทนข้า ข้าจึงตอบแทนให้แก่มันบ้าง ส่วนมันจะรอดหรือตาย ก็ให้แล้วแต่สวรรค์ลิขิตไปเถอะ”
นี่คือเหตุการณ์ฉากหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจของตั้งไป๋ที่เมืองเป๊กเต้เสีย เป็นการลงมือล้างแค้นต่อกุยห้วย โดยอาศัยน้ำมือของพวกเสฉวน และกังตั๋งนั่นเอง
ตั้งไป๋ เกียงอุยเดินทางจากไปตามที่กุยห้วยนัดหมาย หลังจากที่กรอกยาโสมให้กับกำเหลง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ได้รับยาโสมแค่นั้น ก็ยังสมควรขาดใจตายอยู่ที่นั้น แต่เผอิญที่กำเหลงมีลมปราณมังกรฟ้าคุ้มครอง จึงทอดระยะเวลาได้ยาวนาน จนสุดท้าย ถึงกับมีชาวประมงเฒ่าผ่านมาพบเห็น และพาตัวไปรักษากับหมอคนเก่งที่ผ่านทางมา
เมื่อมันฟื้นคืนสติ จึงได้รับรู้เพียงแค่ว่า คนที่ช่วยชีวิตมันไว้คือชาวประมงเฒ่าที่เคยเป็นลูกสมุนโจรสลัดในอดีต และหมอที่ใช้วิชาฝังเข็มกรุยชีพจรคือ ฮ่วมอา หมอพเนจรร่อนเร่ที่โชคชะตาบันดาลให้มาพบกัน แต่เนื่องจากสมุนเก่ากลัวว่ามากเรื่อง จึงเรียกหากำเหลงด้วยชื่อเดิมนาม ซิงป้า ส่วนฮ่วมอาไม่รู้เท่าทัน จึงพยักหน้ารับทราบเป็นพิธี
กำเหลงพักฟื้นอยู่กับสมุนเก่าหลายเดือน จนสมรภูมิอิเหลงจบสิ้นลง วุยก๊ก จ๊กก๊ก เริ่มส่อเค้าหมองหม่น เพราะการจากไปของกษัตริย์โจโฉ เล่าปี่ ในขณะที่ง่อก๊กผงาดขึ้นเป็นอาณาจักรที่สาม ภายใต้การปกครองของอ๋องซุนกวน มันคิดเห็นว่า ภาระขุนพลโจรสลัดจบสิ้นไปแล้ว ในบั้นปลายชีวิตของมันนั้น สมควรไปล้างแค้นให้กับนาคีผมแดง และเสียวเหลงยี่ ที่ถูกกุยเฮง และลูกทั้งสองทรยศหักหลัง จนตายจากไปจนหมดสิ้น
บังเอิญที่ได้ยินว่า ฮ่วมอาก็กำลังจะเดินทางขึ้นเหนือต่อไป มันจึงแสดงเจตนาขอร่วมทางไปด้วยในฐานะผู้คุ้มกันภัย ฮ่วมอา ซิงป้า สองนายบ่าวหมอในคราบหมอพเนจรจึงแยกจากเฒ่าประมง มุ่งหน้าสู่เมืองซินเอี๋ย ชายแดนของวุยก๊ก
อีกฟากฝั่งหนึ่งในนครต๋องง่อ ยามที่ลกซุนจากไปสู่สมรภูมิอิเหลง เซียงเซียงได้รับการจัดสรรให้พักอาศัยอยู่กับนางซุนหยงเป็นการชั่วคราว และช่วยดูแลทารกน้อยที่ถือกำเนิดมาในช่วงที่พวกซุนกวนออกเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงพระราชทานที่วังหลวง
วันเวลาของเซียงเซียงจึงผ่านไปด้วยการรับฟังข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในวุยก๊ก จ๊กก๊ก และกังตั๋งเอง โชคดีที่ซุนหยงเป็นผู้หญิงในตระกูลใหญ่ คุ้นเคยกับเครือข่ายสหพันธ์การค้าของท่านตา จึงเป็นแหล่งความรู้ที่ดีไม่น้อยกว่าขุนนางนายทหารทั่วไป
บทสนทนาครอบคลุมทั้งเรื่องเล่าต่อกันมาอย่างเปิดเผยตามท้องตลาด และเรื่องที่สายข่าวรายงานให้ทราบในทางลับ คราใดที่พาดพิงไปถึงดินแดนเหนือ เซียงเซียงจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องราวของคนสกุลโจที่ก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์อย่างไม่ชอบธรรม จนมาถึงเรื่องที่สะเทือนใจอย่างที่สุดโดยไม่ได้ตั้งใจ
“...สุดท้าย กษัตริย์โจผีลงมือฆ่าโจสิด ผู้เป็นน้องชายอย่างเหี้ยมโหด ทั้งบังคับให้แต่งกลอนในเจ็ดก้าว ทั้งจัดฉากให้เดินบนหินร้อนลวกเท้า แต่โจสิดก็สมกับเป็นยอดกวี แต่งบทกลอนเถาถั่ว-ฝักถั่วในยามคับขันได้น่าประทับใจ น่าเสียดายที่ยังคงต้องตายอยู่ดี โจผีน่าจะคิดเห็นว่าโจสิดเป็นหอกข้างแคร่ ไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตสืบไป จึงหาเหตุใส่ร้ายไปเช่นนี้ อีกทั้งนางเอียนซีเอง ก็ผูกคอตายอย่างมีเงื่อนงำ คล้ายถูกใส่ร้ายว่าเล่นคุณไสย แต่ข้าว่า เกิดจากความหึงหวงของโจผีเอง จนโจสิด เอียนซี ต้องกลายเป็นคู่รักต้องห้ามในปรโลกไปแล้ว” นางซุนหยงบอกเล่าข่าวดังในมุมมองของตัวเอง
เซียงเซียงยิ่งฟังยิ่งขุ่นเคืองใจ ถึงแม้โจผีจะเป็นพี่ชายคนโตสุด แต่ก็เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมเป็นทุนเดิม พวกน้องๆล้วนเกรงกลัวในอำนาจ ต่างจากโจสิดที่เป็นคนสบายๆ ให้ความสนิทสนมกับพี่น้องมากกว่า ดังนั้น นางจึงกลับมาปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์พเนจร เดินทางสู่เมืองหลวงลกเอี๋ยง เพื่อไปล้างแค้นตามที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ในวังหลวง
ใช่แล้ว นางคือ โจเซียง คุณหนูแห่งสกุลโจ ผู้มีความสามารถทางเกาทัณฑ์เป็นเลิศ และเป้าหมายของนาง ย่อมต้องเป็นโจผี พี่ชายต่างมารดาของตนเอง
เส้นทางของกำเหลงกับโจเซียงกลับมาบรรจบกันอีกครั้งที่วัดป่าน้อยที่สอง เขาจวนหยกสัน เมืองซินเอี๋ย ฮ่วมอาแวะพักที่โรงเตี๊ยมเชิงเขาหลายวันคล้ายนัดหมายผู้คนไว้ กำเหลงรู้สึกว่างเปล่า ได้แต่ร่ำสุรารอคอย จนรำลึกถึงครั้งที่มีส่วนร่วมในการสังหารกวนอู จึงปลีกตัวเดินทางขึ้นไปยังวัดร้างในยามสนธยา ส่วนโจเซียงกลับเดินทางผ่านมา และแอบมาพักอาศัยวัดร้างเป็นที่ค้างแรมอยู่ก่อนแล้ว
แต่บุคคลที่ไม่น่าจะปรากฏตัว กลับเป็นจูกัดเอี๋ยน หนึ่งในห้าพยัคฆ์รุ่นสอง ผู้เป็นเจ้าเมืองซงหยง ที่ขี่ม้ามาตามลำพังอย่างลับๆล่อๆ คล้ายแอบนัดพบผู้ใด ดังนั้น กำเหลงที่เพิ่งมาถึง กับโจเซียงที่หลบอยู่ด้านในพระอารามก่อนแล้ว จึงได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อีกสักพักหนึ่ง ปรากฏรถม้าลึกลับวิ่งตะบึงมาถึงหน้าประตู แล้วขับจากไป ทิ้งให้คนคนหนึ่งในชุดคลุมหน้าเดินย่องเข้ามา เห็นจูกัดเอี๋ยนพุ่งตัวเข้าใส่จากด้านหลัง แต่คนคลุมหน้ารู้สึกตัว รีบหันกลับมาพร้อมยื่นมือออกมาทางด้านหน้าคล้ายจะตอบโต้
ไม่มีเสียงฝ่ามือปะทะกันดั่งคาด แต่กลับกลายเป็นภาพที่คนสองคนพุ่งเข้าโอบกอดจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม และแล้ว จูกัดเอี๋ยนค่อยปลดผ้าคลุมหน้าฝ่ายตรงข้ามออก ถึงกับเป็นกุยฮวย อดีตนางรำในวังที่เป็นฮองเฮาคนใหม่ของกษัตริย์โจผี ได้ยินนางกล่าว “ศิษย์พี่รอง อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เรานำข่าวลับของท่านพ่อมารายงานต่อท่านที่เป็นผู้นำกลุ่มในสายวุยก๊กมากมาย จึงหาเหตุออกจากวังหลวงมาด้วยตนเอง”
โจเซียง กำเหลง หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดที่แตกต่างกัน แต่ถึงกับหูผึ่ง เมื่อมีโอกาสได้ยินความลับที่สำคัญใหญ่หลวงโดยไม่คาดคิดมาก่อน พวกจูกัดเอี๋ยน และพวกสกุลกุยถึงกับอยู่ร่วมกันในขุมกำลังลับอันใด จึงร่ำร้องโชคช่วยในใจ
นางกุยฮวยกล่าว “เมื่อไม่นานนี้ สายข่าวรายงานความเคลื่อนไหวที่เกาะรกร้างนอกชายฝั่งตะวันออก คาดว่าเป็นกองทัพของพวกชนเผ่าวอก๊กแห่งดินแดนพระอาทิตย์ เดินทางมาตระเตรียมการอันใด หรือเป็นเพียงการกวาดล้างพวกโจรสลัดก็ยากจะคาดเดาได้ เพราะกลุ่มหัวกระโหลกโลหิตที่เป็นกลุ่มโจรสลัดอันดับหนึ่ง ถูกตีพ่ายไปแล้ว อีกทั้งยังได้ยินมาว่า พวกแพกเจที่ผ่านทางมาในน่านน้ำแถบเดียวกัน ก็ล่าถอยหลบหนีไปเช่นกัน ท่าทีของเผ่าวอในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของแผ่นดินฮั่นได้ในเร็ววันนี้”
จูกัดเอี๋ยนขบคิดเพียงวูบหนึ่ง ค่อยสรุปความ “เรื่องนี้ ปล่อยให้โจผีมันปวดหัวไปเถอะ พวกเราอย่าเพ่ิงวุ่นวายไปเลย รอดูความเปลี่ยนแปลงไปก่อน เวลาค่ำคืนนั้นสั้นนัก พวกเรารีบมาหาความสุขกันเถิด” พูดพลางอุ้มสาวงามเดินไปยังกองหญ้าด้านข้างอย่างคนคุ้นเคยกัน แสดงว่า อดีตองครักษ์กับนางรำคู่นี้คงเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาก่อนแล้ว
กำเหลงรับฟังความแล้ว ปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่นาคีผมแดงเคยเล่าให้ฟัง พอเดาได้ว่า พวกกุยเฮงพ่อลูกเป็นกลุ่มจารชนสองหน้าโดยแท้ แรกเริ่ม พวกมันอยู่ในสังกัดแพกเจของเจ้าชายโกอี ต่อมา หันไปร่วมมือกับพวกเผ่าวอก๊กเตรียมก่อการณ์ใหญ่ แล้วนี่ยังอยู่ในขุมกำลังอันใดของจูกัดเอี๋ยนอีก จนไม่แน่ใจแล้วว่า พวกสกุลกุยภักดีต่อฝ่ายใดกัน
ด้วยวิถีนักเลงใจทรนงของตัวมัน ภายในใจจึงนึกชิงชังรังเกียจพวกจารชนการเมืองแบบคนสกุลกุยยิ่งนัก มันถึงกับสาบานว่าจะต้องจัดการคนพวกนี้ให้ได้อย่างสาสม ทั้งเพื่อการล้างแค้นให้คนที่รัก ทั้งขจัดคนเลวทรามต่ำช้า จึงรีบกวาดตาสำรวจโดยรอบ
ทางฝ่ายโจเซียงที่เติบโตมาในตระกูลขุนนางใหญ่ ใช้ชีวิตในวังหลวง กลับคิดเห็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้า องครักษ์กับนางรำถือสาที่สุดในเรื่องการก่อเหตุบัดสีอื้อฉาว นางย่อมไม่ยินยอมปล่อยให้ชายโฉดหญิงสามานย์เช่นนี้ลอยนวลได้เป็นแน่ จึงเตรียมเกาทัณฑ์เล็งใส่ หมายจะยิงสังหารในดอกเดียวให้ทะลุร่างคนทั้งสองในขณะที่อยู่ในสภาพอนาจารอุจาดตาให้เป็นหลักฐานประจานความชั่วช้าของพวกมัน
เห็นจูกัดเอี๋ยน กุยฮวยยื่นมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว และเริ่มบรรเลงเพลงรักกันอย่างไม่ละอายต่ออดีตสถานที่ทางศาสนา โจเซียงยิ่งขุ่นเคืองใจ จึงลอบยิงลูกเกาทัณฑ์ใส่บั้นเอวด้านหลังของจูกัดเอี๋ยนอย่างแรง เพราะสำนึกตัวว่า พลังยุทธ์ยังห่างชั้นกว่าจูกัดเอี๋ยนนัก แต่ฝีมือเกาทัณฑ์กลับยอดเยี่ยมกว่า
ลูกเกาทัณฑ์พุ่งเกือบถึงเป้าหมาย กลับเกิดเสียงเพียะดังขึ้น จนลูกเกาทัณฑ์กระเด็นไปทางด้านข้าง โจเซียงมองเห็นว่า มีคนแอบใช้ก้อนหินดีดใส่เบี่ยงเบนอาวุธ จึงไม่ปกปิดร่องรอยอีกต่อไป รีบกระโดดลอยตัวให้เห็นเป้าหมายใหญ่ขึ้น พร้อมยิงเป็นเกาทัณฑ์คู่ตามหลักวิชาที่ร่ำเรียนมา ยังคงเป็นเป้าหมายเดิมที่เพ่ิงรู้สึกถึงความผิดปกติ ในขณะที่ปลายหางตาเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งตรงไปยังมุมมืดอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เสียงเพียะพะยังคงดังขึ้นสองครา ลูกเกาทัณฑ์ทั้งสองยังถูกขัดขวางได้เช่นเดิม แต่เงาร่างเมื่อครู่ค้นพบคนที่ลอบขัดขวาง และลงมือต่อสู้กันแล้ว ตัวการก็คือคนคลุมหน้าชุดดำ รูปร่างสูงใหญ่ ที่ใช้มือเปล่าต่อสู้กับเงาร่างที่มีมือข้างหนึ่งเป็นกรงเล็บมีดดาบ โจเซียงเห็นว่ากำเหลงที่มาช่วยลงมือ ลอบร้องยินดีในใจ ด้วยเชื่อมั่นในฝีมือของกำเหลงยิ่งนัก
หากแต่คู่ต่อสู้ที่กำลังลงมือกับกำเหลงก็คือเหยี่ยวดำ จอมยุทธ์เดียวดายของหน่วยปักษาสวรรค์ที่ล่มสลายไปแล้วนั่นเอง ที่จริง เหยี่ยวดำเดินทางมาที่เมืองซินเอี๋ย เพราะนัดพบกันกับโงโพ้ ฮ่วมอา ลูกศิษย์ของหมอฮัวโต๋ แต่กลับพบเห็นเตงงายปลอมเป็นสารถีขับขี่รถม้ามาลำพังอย่างมีพิรุธ จึงแอบติดตามมาจนพบเห็นเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ และที่ต้องสอดแทรกลงมือ เพราะไม่อาจปล่อยให้จูกัดเอี๋ยนกับกุยฮวยตายไปก่อนเวลาอันควรต่อหน้าต่อตาตนเอง โดยนึกไม่ถึงว่า ฝ่ายที่ลงมือทำร้ายผู้คนคือ โจเซียงแห่งวุยก๊ก และกำเหลงแห่งง่อก๊ก ซึ่งล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวเหยี่ยวดำเองเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าพลังฝีมือของมันพัฒนามาถึงขั้นที่เหล่าขุนพลจอมยุทธ์ทั้งหลายที่ยังหลงเหลือชีวิตอยู่นั้น ไม่อาจต้านทานได้แล้ว จึงกล้าที่จะปรากฏตัวเข้าคลี่คลายสถานการณ์อย่างเปิดเผย หวังใช้พลังยุทธ์สยบกำเหลง โจเซียง และแยกย้ายคนทั้งสองกลุ่มให้จากกันไปโดยดี แต่กำเหลงที่ได้รับพลังลมปราณมังกรฟ้าสะสมมาระยะหนึ่งแล้ว กลับมีกำลังภายในเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้การต่อสู้กลับยืดเยื้อยาวนานเกินคาด
จูกัดเอี๋ยน กุยฮวยเองก็มิได้อยู่เฉย เมื่อพบว่า สนามรักของพวกมันถูกคนนอกแทรกแซง ก็นึกรู้ในทันทีว่า ไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดหลุดรอดไปได้ จึงรีบใส่เสื้อผ้าให้พอไม่อุจาดตา และตรงเข้ากลุ้มรุมโจเซียงที่ยังคงพยายามยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่เป็นระยะ ด้วยประเมินได้ว่า ฝีมือของนางอยู่ในขั้นธรรมดา เพียงแค่โดดเด่นในด้านเกาทัณฑ์เท่านั้นเอง
พอเข้าถึงได้ในระยะประชิด โจเซียงก็มือไม้ปั่นป่วน ถูกมืดบินแพรไหมของกุยฮวยแทงผ่านหัวไหล่ไปก่อนแล้ว ในขณะที่จูกัดเอี๋ยนสะอึกเข้าใช้กระบี่แทงใส่กลางอก คนคลุมหน้าร่างใหญ่กลับดีดก้อนหินกระแทกใส่ตัวกระบี่ให้เบี่ยงเบนไปอีกเช่นกัน พร้อมหมุนกายมารับมือกับพวกมันแทน กำเหลงยังคงติดตามมาลงมืออย่างบ้าคลั่งอีกคน กลับกลายเป็นสภาพสามฝ่ายลงมือต่อสู้กันเอง สลับวนเวียนไปมา
เหยี่ยวดำมีวาระซ่อนเร้นตั้งแต่ต้น เพียงต้องการให้ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันไปโดยดี จึงทดลองโจมตีจุดอ่อน ซึ่งก็คือ โจเซียง ที่ยืนมองการต่อสู้เพลินอยู่ด้านนอกวงต่อสู้ มันเพียงใช้พลังฝ่ามือสองส่วนปาดใส่ทำให้นางหมดสติล้มลง ดูว่าจะมีใครสนใจหรือไม่
จริงดั่งคาด กำเหลงที่ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียงเซียง เพียงนึกว่านางคือคนรักของลกซุน และเคยใช้ชีวิตร่วมกันบนเกาะร้างมาพักใหญ่ รีบตรงเข้าอุ้มร่างหญิงสาวหลบหนีออกไปก่อน ทำให้สภาวะการต่อสู้ลดเหลือเพียงจูกัดเอี๋ยน กุยฮวย กับตัวมันเท่านั้น มันจึงรับมือได้อย่างง่ายดาย เพียงถ่วงเวลาให้พวกกำเหลงห่างไกลก่อน
แต่แล้ว ภายในวัดกลับปรากฏคนมาใหม่อีกสี่คน เป็นเตงงายที่ปลอมตัวเป็นสารถี ขับรถม้าให้กับนางกุยฮวย ย้อนเส้นทางกลับเข้ามาที่วัดตามเวลานัดพบพร้อมกันกับเบ้งตัด อุยก๋วน คนสนิทคนใหม่ของจูกัดเอี๋ยน และ กุยห้วยแขนด้วนที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากเสฉวน พร้อมคำสั่งเพิ่มเติมจากจูกัดเหลียง ผู้นำขบวนการคนใหม่
ที่แท้ การพบปะกันที่วัดป่าน้อยที่สองนี้ ถึงกับเป็นการประชุมย่อยของพวกขบวนการฟ้าดินในสายวุยก๊กนั่นเอง เพียงแต่จูกัดเอี๋ยนกับกุยฮวยฉวยโอกาสพบปะกันก่อนเวลา เพื่อทำภารกิจลับส่วนตัวเท่านั้นเอง ส่วนคนอื่นเพียงแต่มาตรงตามกำหนดนัดจริง
เมื่อพวกกุยห้วยมาถึง เว้นแต่อุยก๋วนที่ไร้ฝีมือยุทธ์ คนใหม่ทั้งสามรีบตรงเข้าร่วมวงด้วย การต่อสู้จึงกลายเป็นสภาพห้ารุมหนึ่ง กุยห้วยที่มีพลังมังกรสองสาย ถึงกับทำให้เหยี่ยวดำตึงมือขึ้นไม่น้อยกว่ากำเหลงเมื่อครู่ ยิ่งพอมีเบ้งตัด ขุนพลเก่าที่ย้ายถิ่นมาจากเสฉวน เตงงาย ศิษย์เอกของขุนพลห้าพยัคฆ์ กับจูกัดเอี๋ยน กุยฮวย ที่เป็นลูกศิษย์ของเตียวโถ มาร่วมมือด้วย ซึ่งนับได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในรุ่นหลังทั้งสิ้น ทำให้ยิ่งนานยิ่งรู้สึกอึดอัดคับขันยิ่งนัก
ยังดีที่เหยี่ยวดำได้ฝึกปรือวิชากระบวนท่ามังกรฟ้าจนช่ำชอง ผ่านประสบการณ์มายาวนาน จึงต่อสู้กันได้อย่างสูสี พอได้จังหวะ จึงค่อยกวาดเท้าใส่กุยฮวยที่เป็นจุดอ่อนให้ล้มลง จนจูกัดเอี๋ยนต้องหยุดมือไปช่วยเหลือ มันจึงล้วงหยิบเอาระเบิดหมอกควันท้ิงลงกับพื้น เปิดช่องให้มันลอยตัวพลิ้วกายขึ้นบนหลังคาวัด หลบหนีไปได้ ถึงกับเป็นประสบการณ์การหลบหนีการต่อสู้ที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้นของชีวิตมันแล้ว
พวกจูกัดเอี๋ยนไม่กล้าไล่ติดตามคนลึกลับที่มีพลังยุทธ์สูงส่งขั้นแทพ จึงได้แต่แลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญต่อกัน แล้วรีบแยกย้ายกันไป มีเพียงจูกัดเอี๋ยน กับกุยฮวยที่แอบหวั่นเกรงภายในใจว่า จะมีมือดีปล่อยข่าวอื้อฉาวออกไปหรือไม่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา