Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
29 ต.ค. 2021 เวลา 00:32 • นิยาย เรื่องสั้น
7.7. เป้าหมายที่เปราะบาง
กากุ๋ย กาเซี่ยง พ่อลูกกุนซือเงาปีศาจ - หัวขวาน อัจฉริยะสติเฟื่อง
ทางด้านสุสานหลวงประจำราชวงศ์วุยเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตียวโถ หัวหน้าขันที อองลอง เสนาบดีฝ่ายการศึกษา กับ ฮัวหิมเสนาบดีฝ่ายพิธีการ จึงเดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อยในรายละเอียดร่วมกัน โดยมีเมธีวาตะโชย ซุนต่ำ ประมุขสำนักหอสมุดใต้หล้าและหุยสิว บัณฑิตหนุ่มผู้ช่วย นำทางให้คนจำนวนมากเข้าชมสถานที่โดยรอบ
แต่แล้ว พอได้ยินข่าวคราวความครึกครื้นเช่นนี้ รัชทายาทโจยอยกลับถือเป็นโอกาสที่่เดินทางมาเยี่ยมชมด้วยพร้อมกัน โดยมีโจซอง สุมาสู สุมาเจียว ครบทั้งสี่คุณชายนครหลวงรุ่นใหม่ พร้อมผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้บรรยากาศการเยี่ยมชมสถานที่ยิ่งคึกคักพลุกพล่านมากขึ้น
เนื่องจากผู้คนมากมาย สถานที่กว้างใหญ่ซับซ้อน ห้องหับแยกเป็นสัดส่วนหลายชั้นหลายช่วงตอน กลับทำให้โจยอย อองลอง ฮัวหิมกับเตียวโถ ถึงกับพลัดหลงไปจากขบวนเยี่ยมชมเสียเนิ่นนาน กว่าที่ผู้คนจะตระหนักว่ามีคนสำคัญพลัดหลงทางไปเสียแล้ว
…
“ซินผี ถอยออกไป เจ้าไม่ใช่คนที่ข้าต้องการ” คำพูดที่หลุดออกมาจากมือสังหารกำเหลงในเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนั้น ทำให้โจยอยสะท้านใจย่ิงนัก
ที่แท้ เมธีน้ำค้างพราว ฮัวหิม อาจารย์ด้านบุ๋นในวัยเยาว์ของมัน ก็คืออดีตกุนซือซินผี คนที่มารดาสั่งความไว้ก่อนตายนั่นเอง มิน่าเล่า ทายาทของฮัวหิม เช่น ซินเหียนเอ๋ง ซินเป กลับใช้แซ่ซินกันทั้งสิ้น เพียงแต่ตัวมันเองมิได้ใส่ใจในความเป็นมานี้มาก่อน
จากที่ตนเองสืบหาความจริงมาสักระยะหนึ่ง เดิมที ซินผีเป็นกุนซือในสังกัดของอ้วนเสี้ยว เจ้านครผู้ยิ่งใหญ่ทางเหนือในอดีต มีเชื้อสายมาจากเผ่าเซียนเปยเช่นเดียวกันกับมารดา จึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับมารดาที่เป็นชนเผ่าเดียวกัน และเป็นภรรยาของอ้วนฮี ทายาทคนรองของอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างดี แต่หลังจากที่อ้วนเสี้ยวแตกทัพ อาณาจักรล่มสลายแล้ว ชื่อที่ปรึกษาซินผีก็หายสาบสูญไปเช่นกัน ที่แท้ นางเอียนซีเกรงความลับรั่วไหล จึงใส่ชื่อเดิมของฮัวหิมเอาไว้ในจดหมาย ทำให้ตนเองเสียเวลาค้นหาเนิ่นนาน
…
โจยอยเพียงต้องการหาเหตุพูดคุยกับฮัวหิมเป็นการส่วนตัว หลังจากที่รู้ความจริงว่า ฮัวหิมก็คืออดีตกุนซือซินผีที่มารดาให้ตามหา ฮัวหิมเองก็พอรู้เท่าทันความคิดของโจยอย ศิษย์เก่า จึงทำเป็นพลัดหลงจากขบวนไปหาที่สงบเงียบพูดคุยกันสักที
สิ่งที่ฮัวหิมบอกกล่าวต่อโจยอย คือ ความจริงที่ว่า โจยอยเป็นลูกติดท้องมาจากอ้วนฮี สามีเก่าของนางเอียนซี และโจผีเองก็ระแวงสงสัยในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุโรคระบาดที่ต้องใช้เลือดทารกทองคำเป็นตัวยา จนสุดท้ายแล้ว ถึงกับสั่งการให้คนไปลอบใส่ความและฆ่าปิดปากนางเอียนซี ดังนั้น การที่โจผีตั้งโจยอยไว้เป็นองค์รัชทายาท อาจจะเป็นเพียงการซื้อเวลา และตั้งเป้าสังหารไปที่โจยอยไว้ก่อน แต่เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม โจผีน่าจะยกราชบัลลังก์ให้กับคนอื่นแทน
อองลองยังเสริมเติมว่า สมควรลงมือก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัชทายาท แต่โจยอยที่เพิ่งรับรู้ความจริง คล้ายลังเลชั่งใจ จนเสียงที่สี่ดังขึ้น
“หากท่านตัดสินใจได้แล้ว ตัวข้าก็พร้อมจะรับใช้” เป็นหัวหน้าขันทีเตียวโถก้าวเข้ามาคล้ายล่วงรู้แผนนัดพบเช่นกัน
โจยอยใบหน้าซีดเผือด แต่ฮัวหิมรีบอธิบาย “ท่านเตียวโถกับข้าน้อยมีความคิดเห็นตรงกัน จึงนัดแนะกันไว้ก่อนแล้ว นายน้อยไม่ต้องกังวลใจไป”
โจยอยฟังแล้วค่อยใจชื้น เริ่มเชื่อมั่นว่า ตัวเองยังมีคนหนุนหลังอยู่ จึงปรึกษากันลงความเห็นว่าจะให้เตียวโถหาโอกาสสังหารโจผี และยกบัลลังก์ให้โจยอย ว่าแล้วทั้งสี่ค่อยแยกย้ายกันกลับเข้าสู่ขบวนเยี่ยมชมเช่นเดิม
พอทั้งหมดกลับมาพบกันพร้อมหน้าสักพักหนึ่งแล้ว โจยอยค่อยแอบขยิบตากับเพื่อนสนิททั้งสาม อ้างว่า ปวดศีรษะ อากาศไม่ถ่ายเท ขอตัวกลับเมืองหลวงก่อน ปล่อยให้ขบวนตรวจการของสามขุนนางผู้ใหญ่ดำเนินต่อไป ส่วนพวกสี่คุณชายเริ่มทะยอยเดินย้อนกลับออกมาจากสุสานหลวงแทน
…
บังเอิญนักที่ห้องสุสานที่เกิดบทสนทนาเมื่อครู่ กลับมีคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในโลงเปล่าภายในห้องนั้นก่อนแล้ว จึงพลอยได้ยินเรื่องลับไปด้วยอีกคน เป็นม้ากิ๋น-หัวขวานที่เพิ่งค้นพบกล่องโลหะที่เป็นมรดกอีกชุดหนึ่งของกาเซี่ยงซุกซ่อนอยู่
เป็นหุยสิวจัดการให้มันปะปนเข้ามาในช่วงที่มีขบวนเยี่ยมชมชุดใหญ่ จะได้ไม่ผิดสังเกตต่อพวกช่างฝีมือและทหารรักษาการณ์ มันจึงเข้ามาสืบค้นตามรหัสลับของกาเซี่ยงจนพบความลับที่ซุกซ่อนอยู่ และกำลังกังวลใจว่าจะติดต่อกับพวกเหยี่ยวดำที่กำลังเดินทางไปหมู่บ้านหมื่นเซียนได้ทันเหตุการณ์หรือไม่ ก่อนที่จะเป็นอันตรายโดยไม่ทันรู้ตัว
เรื่องราวที่กาเซี่ยง-กระตั้วฝากเอาไว้นั้น กลับน่าตระหนกยิ่งไปกว่าสำนักฟ้าประทานที่พูดถึงในพินัยกรรมชุดแรกเสียอีก และสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์อาจจะเสี่ยงต่อความเป็นตายครั้งสำคัญยิ่งไปกว่าครั้งใดๆเสียแล้ว
…
ขบวนสี่คุณชายกลุ่มใหญ่กำลังออกเดินทางไปจากสุสานหลวง หัวขวานจึงรีบปะปนออกไปด้วย และหลบเข้าข้างทาง เดินตัดพงหญ้าสูง หมายอ้อมเส้นทางไปอย่างเร่งร้อนใจ แต่เพียงโผล่พ้นพงหญ้าออกมา ก็พบกับกากุ๋ยที่คล้ายรอคอยอยู่ก่อนแล้วตามลำพัง “ท่านอาพบพานสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ในสุสานแล้วหรือไม่ เป็นอะไรบอกได้หรือไม่” กากุ๋ยเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง
“อ้อ เป็นเพียงจดหมายธรรมดา บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจดอก” หัวขวานตอบพลางสะบัดมือลง เพื่อให้สิ่งของในแขนเสื้อร่วงหล่นลงมา เป็นกระบอกปักษาพิฆาต อาวุธลับอันร้ายแรงที่สุดในยุคสมัยนี้
หัวขวาน กากุ๋ยต่างยื่นมือชูไปยังฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน กระบอกปักษาทั้งสองกลับชี้เข้าหากัน หัวขวานนึกไม่ถึงว่า อาวุธลับที่เพิ่งมอบให้วันก่อน จะย้อนกลับมาทำร้ายมัน
กากุ๋ยเห็นว่าความลับไม่อาจปกปิด จึงแสร้งพูดคุยให้ฝ่ายตรงข้ามเสียสมาธิ “ยามนั้น เราเป็นเพียงหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปี พบเห็นว่าท่านพ่อมีตำหนิผิดสังเกต จึงบอกกล่าวกับท่านแม่ไปด้วยความสงสัย และแล้ว ท่านแม่กลับตกบ่อน้ำตายไปอย่างอนาถในวันต่อมา ทำให้เราเชื่อมั่นว่า ต้องมีคนอื่นปลอมแปลงเป็นท่านพ่อมาโดยตลอด เราแสร้งสอบถามเรื่องราวเล็กๆน้อยๆในวัยเยาว์ มันตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง เราจึงยิ่งมั่นใจว่ามันคือตัวปลอม ถึงกับคิดวางยาพิษสังหารมันทิ้งเสีย แต่เผอิญพบเห็นว่ามันยังมีพรรคพวกร่วมขบวนการ คือหมอฮัวโต๋ที่แวะมาเยี่ยมเยียน พร้อมทั้งพาดพิงถึงคนอื่นอีกหลายคน เราจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ รอคอยที่จะสืบเสาะให้พบพวกมันทั้งหมด เหอะเหอะ นึกไม่ถึง หลายสิบปีผ่านไป เราก็ถูกมันหลอกล่อให้สับสนจนมาถึงวันที่มันตายอย่างกระทันหัน เราจึงสวมรอยใช้รหัสลับเรียกหาสมาชิกทั้งหมดออกมารวมตัวกัน”
พูดจบ กากุ๋ยขยับตัวยกมือขึ้นหมายปล่อยน้ำยาพิษจากกระบอก แต่แล้ว กลับมีกลุ่มคนโผล่ออกมาจากพงหญ้าด้านหลังของหัวขวานพร้อมส่งเสียงกู่ร้องดีใจ พุ่งเข้าหาตัวมัน จนดูวุ่นวายยุ่งเหยิง เป็นหุยสิวกับบรรดานักศึกษาวัยหนุ่มจากสำนักหอสมุดใต้หล้าที่โผล่ออกมาทักทายตามประสาบัณฑิตคงแก่เรียนทั่วไป โดยไม่รับรู้ว่า พวกมันกีดขวางเส้นทางอาวุธลับร้ายแรง จนทำให้กากุ๋ยไม่กล้าลงมือให้เสียของสำคัญไปเปล่าๆ
หุยสิวแอบขยิบตาพร้อมผลักไหล่ หัวขวานหัวไวย่อมรู้ทันท่าที รีบฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังแนวหินผาด้านข้าง พร้อมใช้กรงเล็บเสือผูกเชือกยิงไปด้านบน เพื่อไต่ขึ้นแนวผาไปก่อน อย่างน้อย ก็เพื่อให้พ้นจากระยะการยิงของกระบอกปักษา
พวกนักศึกษาคนอื่นไม่รับรู้ความจริง ล้วนงุนงงต่อการกระทำของม้ากิ๋น หุยสิวจึงแสร้งกล่าว “อาคันตุกะท่านนั้นคงต้องรีบร้อนเดินทาง เปิดทางให้พวกเราได้พูดคุยกันกับท่านอาจารย์ได้สะดวกแล้ว”
กากุ๋ยแค้นใจ แต่ไม่อาจเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อเหล่าบัณฑิต จึงได้แต่คล้อยตามท่าทีคนที่เหลือ อย่างน้อยก็ยังมีคนเหล่านี้ไว้ให้หลอกใช้สอยได้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนหุยสิวได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกภายในใจเอาไว้ ไม่ให้ทายาทกุนซือปีศาจล่วงรู้การกระทำอันอุกอาจที่แอบช่วยเหลือศิษย์อาของตนเอง
…
หัวขวานไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเส้นเชือก ค่อยถอดกรงเล็บเสือออกมาช่วยในการปีนหน้าผาต่อไปจนถึงแนวราบด้านบน โชคดีที่ตัวมันมักพกพาอุปกรณ์หลบหนีไว้ติดตัวตลอดเวลา จึงหยิบมาใช้ได้ทันในยามฉุกเฉิน ชดเชยกับความที่ไร้วิทยายุทธ์
พอจับทิศทางได้แล้ว มันรีบใช้รองเท้าดีดสะท้อน อีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่พัฒนาให้เดินทางได้รวดเร็ว ตรงไปทางตะวันตก หมายจะหาพบพรรคพวกให้ได้ทันเวลา โดยเฉพาะนางแอ่นและเหยี่ยวดำ เป้าหมายสำคัญในการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
จดหมายลับของกาเซี่ยง มีไม่กี่สิบคำ ใจความเพียงบอกว่า “ระวังกากุ๋ย มันเป็นคนของสุมาล่งมาตั้งแต่ต้น เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของมัน จึงได้แต่จับตาดู หากวันใดมันคิดเสาะหาพวกเรา แสดงว่า สุมาล่งพร้อมจะลงมือแล้ว เก้ากับสิบสามคือเป้าหมายแรก”
ยามใดที่สุมาล่งลงมือ ความหายนะอาจจะบังเกิดกับหน่วยปักษาสวรรค์ หรือ แม้แต่ก๊กทั้งสาม หัวขวานจึงไม่อาจเสียเวลาไปแม้แต่น้อย เท่าที่มันรับรู้ คนกลุ่มใหม่นี้น่ากลัวกว่าศัตรูกลุ่มอื่นที่ผ่านมา เพราะเป็นพวกที่ไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้หรือผลกระทบใดๆ
...
วันเวลากว่าสี่ปีที่หมู่บ้านหมื่นเซียน สภาพความเป็นอยู่ของเหล่าทายาทคล้ายกับอยู่ในโรงเรียนประจำตลอดทั้งวัน ตันอุ๋นสอนหนังสือให้กับเตียวซิงไช่ เตียวซิงเหอวัยสิบขวบ กวนสกวัยหกขวบ เล่าลีวัยสี่ขวบ และเล่าเสี้ยนวัยสิบหกปี เล่าเอ๋งวัยสิบสองขวบ ฝึกซ้อมกระบี่ให้ประมุขเฒ่าตันโหชี้แนะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งสองล้วนทุ่มเทให้เหล่าทายาทน้อยมีความสามารถเป็นผู้นำได้ในอนาคต กิจวัตรประจำวันจึงเป็นเช่นนี้
หากแต่ผู้เฒ่าตันโหมองดูเล่าเสี้ยนแล้วได้แต่ส่ายหน้า เพราะอาเต๊ามีปัญญาปานกลาง แม้ว่า กระบวนท่าจะถูกต้องพอรับได้ แต่จิตใจเหมือนไม่อยู่กับตัว คอยแต่ชะเง้อมองดูเด็กแฝดที่นับวันจะเติบใหญ่ขึ้นอย่างงดงาม และฉลาดเฉลียวเกินวัย ส่วนซิงไช่ ซิงเหอ ย่อมรู้สึกตัวว่าโดนจ้องมอง ซิงไช่ทำเหมือนตั้งใจร่ำเรียน หากแต่ซิงเหอกลับใจห้าวหาญกว่า แลบลิ้นหยอกล้อคืนกลับไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งใจร่ำเรียนอย่างที่ควร จนเล่าเอ๋งต้องหันมาทำตาดุห้ามปรามทั้งพี่ใหญ่และน้องสาวฝาแฝดอยู่เนืองๆ
คงมีเพียงกวนสก ทายาทของกวนอูที่ชะตาชีวิตลำเอียง เติบโตมาแบบตัวประกันที่ไม่เคยได้พบเห็นบิดามารดาเหมือนคนอื่น จึงมีนิสัยโดดเดี่ยวเฉยเมย ไม่สนิทสนมกับคนอื่นๆ พอรู้สึกถึงความสับสนวุ่นวายภายในห้องเรียน ถึงกับบันดาลโทสะ ลุกขึ้นคว้ากระบี่ไม้ออกมา หมายจะสั่งสอนกับเล่าเสี้ยนพี่ใหญ่สักครา
เวลานั้น กวนสกอายุเพียงหกปี ย่อมไม่อาจต้านทานเรี่ยวแรงของเล่าเสี้ยนในวัยสิบหกปีได้ จึงถูกเล่าเสี้ยนใช้กระบี่ไม้ตีล้มลุกคลุกคลานไปหลายครั้ง จนพวกเล่าเอ๋งที่ออกมามุงดูต้องร้องห้ามปราม ไม่ให้พี่ใหญ่ลงมือรุนแรงเกินไป แต่กวนสกกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยังคงดึงดันเข้าต่อสู้ จนบังเอิญฟาดถูกหน้าแข้งของเล่าเสี้ยนได้คราหนึ่ง ทำให้เล่าเสี้ยนโมโหจัด ออกแรงหนักหน่วงฟาดคืนในตำแหน่งเดียวกันจนเกิดแผลห้อเลือด
ตันโห ตันอุ๋น เกรงว่าเหตุการณ์จะบานปลายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาซึ่งมักจะลงเอยด้วยการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างรุนแรงราวกับสุนัขกัดกัน จึงก้าวมาขวางทาง สั่งให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันอย่างสันติ
พอดี นางอุยหลิงฉีอุยไทเฮาทราบเรื่องจากเล่าลีที่ร่ำไห้ไปแจ้งความตามประสาเด็ก จึงรีบก้าวออกมาจากห้องพัก เพื่อหยุดยั้งเรื่องราวด้วยการคว้าตัวเด็กน้อยกวนสกไปตบตีสั่งสอนเช่นเคย “เจ้าสมควรไว้หน้ารัชทายาทแห่งจ๊กก๊ก เจ้าเป็นทั้งผู้เยาว์ เป็นทั้งลูกกำพร้า ไม่สมควรก้าวล่วงต่อพี่ใหญ่อาเต๊าที่ต่อไปจะเป็นผู้นำแห่งแผ่นดินเยี่ยงนี้”
“ผู้นำเช่นไร เพียงมันแซ่เล่า ข้าแซ่กวน ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด พ่อมันเสวยสุขเป็นฮ่องเต้ ส่วนพ่อข้าและท่านอาสามล้วนพลีชีพในสนามรบ เช่นนี้ เรียกว่า ยุติธรรมหรือ ตัวมันเองก็ชอบแต่ความสุขสบายเช่นเดียวกับตัวพ่อมัน ท่านน้ากับอาจารย์ล้วนแต่เกรงกลัวในอำนาจบารมี จึงเข้าข้างแต่มัน แต่ข้าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว” กวนสกระบายความโกรธออกมาอย่างรุนแรง พร้อมลากเท้าเดินไปทางด้านหลังหุบเขา ซึ่ีงมีน้ำตกใหญ่ และทิวทัศน์สวยงาม โดยมีเด็กสาวฝาแฝดติดตามไปปลอบใจน้องเล็กตามปกติ
ตันอุ๋นเดินเข้ามาปลอบใจต่อนางอุยหลิงฉี “เดี๋ยวทั้งสองสงบจิตใจลง คงได้คิดเหมือนเช่นเคย เด็กน้อยทะเลาะกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ไทเฮาไม่ต้องเคร่งเครียดจนเกินไปดอก”
นางอุยหลิงฉีหลั่งน้ำตาร่ำไห้ ระบายความกดดันที่ต้องทนหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลำธารสวรรค์มานานหลายปี แม้ว่าความเป็นอยู่จะไม่ลำบากอันใด หากแต่ยังแตกต่างไปจากชีวิตปกติของไทเฮาระดับเจ้าเมืองอยู่ดี ทำให้เล่าเอ๋ง เล่าลีต้องเดินมาปลอบใจท่านแม่ คงเหลือแต่ตันโห ตันอุ๋น และเล่าเสี้ยนที่มองตากันไปมาอย่างอีดอัดใจ
สุดท้าย เล่าเสี้ยนได้แต่ทิ้งกระบี่ลงกับพื้น กล่าวแก้เกี้ยวอย่างไว้ท่าที “ข้าจะไปตามน้องทั้งสามกลับมากินข้าว ท่านน้ารบกวนช่วยจัดเตรียมอาหารด้วยละกัน”
…
หากเป็นในยามปกติ บรรยากาศภายในหุบเขาลำธารสวรรค์คงจะจบลงด้วยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หากแต่ในวันนี้ พอเงาร่างเล่าเสี้ยนหายลับสายตาไปสักครู่ใหญ่ พลันเกิดเสียงอึกทึกกึกก้องคล้ายมีแรงระเบิดมหาศาลเกิดขึ้นที่ปากทางเข้าหุบเขา ผู้เฒ่าตันโหเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “คงจะมีคนกำลังพยายามทำลายค่ายกลด้านหน้า รีบนำตัวเหล่าทายาทหลบหนีตามแผนเร่งด่วนที่กำหนดไว้”
อุยหลิงฉี ไม่รอช้า รีบคว้าตัวเล่าเอ๋ง เล่าลีไปยังเพิงอุปกรณ์ใกล้กับเรือนพักใหญ่ในทันที ตันโหปลีกตัวไปสั่งการให้ข้าทาสบริวารออกมาช่วยกันเปิดกลไกค่ายกลระลอกสอง เพื่อทอดเวลาในการหลบหนีไปได้อีกพักใหญ่ ผู้คนในหุบเขาล้วนมีวิชาติดตัวพอสมควรจากการฝึกสอนของขุนพลตันเตา ย่อมสามารถรับมือทหารทั่วไปได้ไม่ยากนัก ส่วนตันอุ๋นรีบเร่งฝีเท้าไปทางด้านหลังหุบเขา ซึ่งคาดว่า พวกเล่าเสี้ยน กวนสก และเตียวซิงไช่ ซิงเหอ น่าจะอยู่กันตรงนั้น
เสียงพึ่บพั่บดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ การจู่โจมระลอกแรกของฝ่ายศัตรูกลับเป็นฝูงค้างคาวตัวเล็กจำนวนนับร้อยนับพันตัวที่บินกรูผ่านค่ายกลกับดักเข้ามาภายในหุบเขาได้ก่อน เนื่องจากสิ่งประดิษฐ์ถูกออกแบบจัดสร้างไว้ป้องกันผู้คนทั่วไป ไม่ได้คาดหมายว่าจะมีสัตว์ปีกขนาดเล็กบุกรุก จึงทำให้พวกมันผ่านกำแพงกับดักมาอย่างง่ายดาย และตรงเข้ากลุ้มรุมดูดเลือดผู้คน เพียงพริบตาเดียว เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถึงกับกลายเป็นซากศพร่างกายซีดเซียว ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
ในทางกลับกัน ฝ่ายตั้งรับ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ กลับขวัญหนีดีฝ่อ แตกตื่นไม่อาจควบคุมกองกำลังได้เหมือนปกติ ค่ายกลบางส่วนจึงไม่ทันได้ถูกขับเคลื่อนเพิ่มเติม สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับประมุขเฒ่ายิ่งนัก แสดงว่า ผู้บุกรุกมีการตระเตรียมการณ์มาเป็นอย่างดี หรืออาจจะเรียกได้ว่า ล่วงรู้คาดการณ์ได้ราวกับตาเห็น
ตันโหขบคิดชั่วครู่ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ สร้างความตื่นตระหนกใจยิ่งนัก จนออกอาการกระวนกระวายใจ และแล้ว ทางด้านหน้าหุบเขา พลันเกิดแสงเพลิงเผาไหม้วูบวาบลุกโชนเข้ามาเป็นระยะๆพร้อมควันไฟคละคลุ้ง กลุ่มคนในชุดทหารเผ่าม่านเริ่มเดินหน้า อาศัยคบเพลิงผสมผสานกับกระบอกฉีดน้ำมัน ฉีดเป็นเปลวไฟ เผาผลาญโครงสร้างของค่ายกลที่ใช้ท่อนไม้เป็นวัสดุหลักจนลุกไหม้เสียหาย ทำให้รื้อทำลายทิ้งได้โดยง่าย แต่ก็ทำให้ฝูงค้างคาวบินหลบหนีความร้อนของกองเพลิงไปด้วยเช่นกัน
ตันอุ๋นกับเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่วิ่งย้อนกลับมาแล้ว ตันโหเหลือบเห็นตัวผู้นำทัพที่ใส่ชุดสีดำผิดแผกกว่าคนอื่น และคล้ายใส่หน้ากากประหลาดรูปค้างคาว กำลังก้าวเดินฝ่ากลุ่มควันเข้ามา จึงไม่ทันสั่งความอันใด รีบโบกมือไล่ให้ทั้งหมดเข้าไปยังเพิงอุปกรณ์ที่มีพวกอุยไทเฮารอคอยอยู่ก่อน และรีีบผลักกลไกสำคัญตามที่เคยได้รับการบอกกล่าวเอาไว้
เสียงครืน ครืน ดังขึ้นอย่างกระทันหัน โครงสร้างไม้ของเพิงอุปกรณ์ที่ถูกปิดบังด้วยหญ้าแห้งร่วงหล่นพังทลาย เห็นเป็นกรงเหล็กทรงสี่เหลี่ยมปิดทึบโยงติดอยู่กับเส้นลวดขนาดใหญ่ ถูกรั้งดึงขึ้นไปสู่ยอดเขาด้านบนอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงตันอุ๋นที่มองผ่านซี่ลูกกรงระบายอากาศออกมาด้วยความห่วงใย แต่ก็รับรู้ว่า หน้าที่ของตนต้องทำเช่นไร
ผู้นำกลุ่มทหารคำรามด้วยความโกรธ พร้อมยิงเกาทัณฑ์มือใส่ประมุขตันโห ราวกับเป็นการลงโทษ จนร่างของตันโหกระตุกไปติดค้างทางต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง สิ้นใจตายไปในทันที พร้อมออกคำสั่งกองทหารด้วยภาษาต่างถิ่นให้รีบขึ้นเขาตามเบาะแสเส้นเชือกที่ขึงจากเพิงอุปกรณ์ขึ้นไปเบื้องบน และเร่งมือสังหารผู้คนที่ต่อต้านให้หมดสิ้น
กองทหารนับร้อยนายไล่ล่าสังหารผู้คนในหุบเขา แล้วรวมตัวกันลัดเลาะเส้นทางขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว จนพบกระท่อมรกร้างขนาดเล็กที่เป็นปลายทางของเส้นเชือก จึงกระจายกำลังกันออกค้นหาโดยรอบ ในที่สุด ค้นพบถ้ำลับแห่งหนึ่งที่มีร่องรอยของก้อนหินใหญ่หนักหลายพันชั่งเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายมาปิดตาย ทำให้คาดเดาได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามน่าจะหลบซ่อนตัวกันอยู่ภายใน และเปิดกลไกปิดผนึกถ้ำเอาไว้ เพื่อรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอกอีกทอดหนึ่ง บ่งบอกถึงการเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า
ค้างคาวขบคิดหาทางเคลื่อนย้ายก้อนหินใหญ่ไม่ได้ เพราะต้องการจับเป็น มิใช่จับตาย สุดท้าย จึงยอมเสียเวลาขอกำลังพลเพิ่มเติมจากองค์ราชันย์แห่งม่าน
…
นั่นคือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกเสียวเอียนจื่อทั้งสามจะมาถึงยังหุบเขาลำธารสวรรค์ เมื่อเสียวเอียนจื่อกับจูล่งกำลังเดินขึ้นมาตามเส้นทาง และกำลังโอบกอดกันนั้นเอง การซุ่มโจมตีก็บังเกิดขึ้น แต่กลับเป็นองครักษ์ตันเตาที่ใช้กระบี่พุ่งเข้าใส่จูล่งจากด้านหลัง
ยังดีที่จูล่งได้รับจิตสำนึกมังกร และฟื้นคืนวิชาที่เคยซ่อนเร้นมานาน จึงพร้อมจะรับมือได้ไม่ยาก เพียงแต่เสียวเอี่ยนจื่อก็คล้ายจะโอบรั้งสองแขนเอาไว้ จึงได้แต่ผลักร่างภรรยาให้ห่างพอจะพลิกมือปะทะคนร้ายในระยะประชิด จึงสยบตันเตาลงไปนอนสิ้นสติได้แล้ว
พอเห็นคนร้ายเป็นตันเตา แต่จูล่งพลันคิดต่อเนื่อง หากตันเตาลงมือ ย่อมเป็นคำสั่งหรือแผนการของเสียวเอี่ยนจื่อ ผู้เป็นอาจารย์ จึงหันมาลงมือสยบภรรยาไว้ก่อน แต่ด้วยความที่พลังฝีมือของนางสูงส่ง และมีพลังมังกรคืนสภาพที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วย จึงไม่อาจออมมือไว้ไมตรี นอกจากตัดใจใช้พลังเนตรมังกรออกไปอย่างกระทันหัน
แสงสีเขียววาบขึ้น ทำให้เสียวเอี่ยนจื่อที่ยังไม่ทันตั้งตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หมดสติหงายร่างไปในฉับพลัน จูล่งจึงได้แต่ยื่นมือประคองร่างเอาไว้ให้นอนลงกับพื้นหญ้าข้างกาย พร้อมพึมพำปลอบใจนางอันเป็นที่รักและหวั่นเกรงในเวลาเดียวกัน “ขออภัยด้วย"
ความคิดของจูล่งโลดแล่นฟุ้งซ่านไปอย่างรวดเร็ว นึกถึงเหตุการณ์หลายเรื่องที่เกี่ยวพันกับตนเองและกลุ่มลับของฝ่ายตรงข้าม หรือว่า ภรรยาตนหมายจะลงมือล้างแค้นกับตนเองเสียแล้ว การเคลื่อนไหวของนางยากจะคาดเดา ดั่งเช่นที่นางเคยกระทำต่อเล่าปี่ผู้เป็นพี่ร่วมสาบาน มันจึงมิอาจไม่ระแวงแม้จะเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีก็ตาม
จูล่งรู้สึกถึงกลิ่นหอมประหลาด พร้อมแสงสีแดงวูบหนึ่ง พลันเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ วัยไล่เลี่ยกับตนเองก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า มันจดจำได้ว่า เป็นคนของกลุ่มลับที่ภรรยาสังกัดอยู่ และมันเคยพบเห็นเมื่อครั้งที่พวกมันพากันถล่มกระท่อมรังนก จึงคาดเดาต่อไปได้ว่า ช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คนผู้นี้คือคนที่สวมรอยแทนตัวมันในหลายครั้งหลายเหตุการณ์ นับว่าต้องมีฝีมือสูงส่ง แต่ด้วยความที่มันฟื้นคืนความทรงจำจนสามารถจดจำยอดวิชาดั้งเดิมมาได้หมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังมีเปรียบด้วยพลังเนตรมังกร จูล่งในยามนี้จึงมิได้กลัวเกรงผู้ใดอีกต่อไป พาลชักดาบสยบมังกรขึ้นมาขวางอกเตรียมลงมือโจมตี
ในทางกลับกัน เหยี่ยวดำเพิ่งเดินทางมาถึงหุบเขาลับ ก็พบเห็นเสียวเอี่ยนจื่อและตันเตาล้วนถูกจูล่งสยบจากระยะไกล ทำให้ร้อนรุ่มใจยิ่งนัก เพราะรู้ดีว่า ขุนพลท่องเมฆาเป็นบุคคลอันตรายที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับพวกมันมานานแล้ว
ทางหนึ่งก็พอรู้พลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามมาก่อน เพียงคิดว่าต้องระวังพลังเนตรมังกรเพิ่มขึ้นเท่านั้น อีกทางหนึ่งก็กังวลว่าผู้ใดก่อกวนแหล่งกบดานจนล่มสลายเช่นนี้ ในใจจึงคิดใช้พลังยุทธ์ที่เหนือกว่า สยบฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อนค่อยเจรจาว่ากล่าว ถึงกับยินยอมนำกระบี่สั้นสัตตดาราออกมาใช้บ้าง
ในที่สุด สองยอดฝีมือซึ่งเป็นตัวจริงตัวปลอมที่เคยสวมบทบาทแทนกันมาหลายครั้ง ก็ถึงเวลาต้องพิสูจน์ฝีมือกันเองแล้ว
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย