Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
30 ต.ค. 2021 เวลา 00:48 • นิยาย เรื่องสั้น
7.8. จริงปลอมยากแยกแยะ
จูล่ง ขุนพลท่องเมฆา - เหยี่ยวดำ ยอดยุทธมือสังหาร - เสียวเอี่ยนจื่อ ขุนพลวิหคสวรรค์
ขุนพลท่องเมฆา จูล่ง วางแผนไว้อย่างรัดกุม หวังต่อสู้ให้จบสิ้นโดยเร็ว ด้วยการลงมือที่เหนือความคาดหมาย มันประเมินว่า ฝ่ายตรงข้ามเคยประมือกับตนมาหลายครั้ง ย่อมรับรู้ถึงขีดจำกัดของพลังฝีมือดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว และอาจจะรับรู้ถึงพลังเนตรมังกรที่ตนได้มาในภายหลังด้วย แต่ย่อมไม่คาดคิดว่า มันได้รื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับยอดวิชาที่เคยสร้างชื่อให้กับตนเองในวัยหนุ่ม ณ ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตกลับมาแล้ว
ดังนั้น จูล่งจึงแสร้งล่อลวงคู่ต่อสู้ ทางหนึ่ง มือขวาสะบัดดาบสยบมังกรเข้าใส่ศัตรู แต่อีกทางหนึ่ง ส่งพลังเนตรมังกรเป็นแสงวาบสีเขียวออกไป พร้อมแอบเร่งเร้าพลังสุริยันสะท้านภพไปที่มือซ้าย พอเห็นศัตรูขยับตัวหลบหลีกไปตามที่คิดไว้ล่วงหน้า ค่อยฟาดพลังลมปราณร้อนแรงที่ซ่อนเร้นนั้น ออกไปเต็มแรง
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น จูล่งมองเห็นคู่ต่อสู้ถูกฝ่ามือฟาดกลางอกอย่างถนัดถนี่ จนกระอักโลหิตออกมาเป็นทางยาว แต่ยังไม่อาจไว้วางใจ จึงรีบขยับฟันดาบใหญ่ออกไปอีกหลายกระบวนท่า จนชายร่างใหญ่ล้มฟุบจมกองเลือดลงไปแล้ว พอแน่ใจว่า ตนเองควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ จึงค่อยยื่นดาบไปจ่อไว้ที่ลำคอของคู่ต่อสู้หมายคาดคั้นข้อมูลเพิ่มเติม
…
เหยี่ยวดำชะงักร่างรั้งเท้าไว้ชั่วคราว พร้อมซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง มันพลันพบเห็นจูล่งทั้งสะบัดดาบ ทั้งปล่อยแสง และฟาดฝ่ามือใส่อากาศที่ว่างเปล่า คล้ายกำลังลงมือต่อสู้กับผู้ใด จึงครุ่นคิดขึ้น “หรือว่า อาการสติวิปลาสของเตียวหยุนเมื่อสิบปีก่อนนั้น กำเริบขึ้นมาอีกรอบแล้วกระมัง”
ชั่วขณะที่เหยี่ยวดำรั้งรอดูท่าทีอยู่นั้น เสียงกู่ร้องคล้ายเสียงนกกาดังแว่วมาจากทางด้านล่างเชิงเขาอย่างเร่งร้อน เป็นสัญญาณลับของคนหน่วยปักษาสวรรค์ ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว ตั้งแต่ หัวขวาน (ม้ากิ๋น) กระจิบ (โงโพ้) กระจาบ (ฮ่วมอา) แต่คงไม่ใช่ กระยาง (กากุ๋ย) ที่จะถ่อสังขารมาถึงที่นี่
เหยี่ยวดำซ่อนตัวอยู่ ไม่อาจส่งสัญญาณตอบให้เปิดเผยร่องรอย เงาร่างอันบอบบางของหนุ่มใหญ่ร่างเล็กจึงค่อยๆโผล่มาให้เห็นบนเส้นทางขึ้นเขา เพียงสะกิดเท้าครั้งหนึ่งก็สามารถไปไกลได้ทีละห้าหกวา ราวกับจอมยุทธที่มีสุดยอดวิชาตัวเบา แต่หากสังเกตในรายละเอียด อาจจะพบเห็นกลไกรองเท้าดีดสะท้อนอันพิสดาร ส่วนเหงื่อกาฬที่หลั่งไหลเต็มร่างกาย และสีหน้าที่ซีดเซียวอ่อนแรง แสดงถึงการเดินทางมาอย่างเร่งร้อนและยาวนานแล้ว เป็นหัวขวาน สมาชิกที่ไร้วิทยายุทธ์ของหน่วยปักษาสวรรค์นั่นเอง
…
จูล่งยื่นดาบไปยังไม่ทันถึงลำคอผ่ายตรงข้าม พลันพบว่า ศัตรูที่บาดเจ็บบอบช้ำนั้น พลันแยกร่างออกเป็นสองร่าง แยกจู่โจมตนเองมาจากด้านซ้ายขวาพร้อมกัน ซ้ำยังมีร่างที่สามกำลังกระโจนขึ้นมาจากเส้นทางขึ้นเขา ทำให้นึกถึงว่า คนผู้นี้อาจจะใช้อวิชชาเงามารมายาแยกร่างที่เคยได้ยินคำร่ำลือมาก่อน จึงหมุนตัวขวางร่างกวาดฟันเงาร่างทั้งสองตรงหน้าจนหายวับไปกับตา แสดงว่า ร่างที่สามอาจจะเป็นร่างที่แท้จริงเสียแล้ว
จูล่งไม่รอช้า ตระหนักว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมยุทธพิสดาร จึงต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว ได้แต่พุ่งร่างเข้าใส่พร้อมยื่นดาบอสูรไปข้างหน้าในทันที
…
หัวขวานเร่งฝีเท้าเดินทางมาเพื่อหวังเตือนภัยให้กับนางแอ่น เหยี่ยวดำ พอมาถึง ได้พบเห็นร่องรอยความเสียหายตามทาง ย่อมรับรู้ความรุนแรงของเรื่องราว ได้แต่ยอมเสี่ยงส่งสัญญาณลับฉุกเฉิน แต่ไม่คาดคิดว่า คนที่กำลังมุ่งสังหารตนเอง ถึงกับเป็นเตียวจูล่ง ยอดขุนพล จึงได้แต่ล้วงเอากระบอกปักษาพิฆาต หรือ “ประกาศิตขนนกยูง” ออกมาป้องกันตนเอง เพียงแค่กดกลไกน้ำพิษลงไป จูล่งคงต้องสิ้นชื่อก่อนวัยอันสมควรแล้ว
“ช้าก่อน” เสียงตวาดดังขึ้นจากพุ่มไม้ด้านข้างพร้อมเงาร่างสูงใหญ่กระโจนเข้าใส่จูล่ง เป็นเหยี่ยวดำที่จำใจต้องรีบออกมาขัดขวางการลงมือของหัวขวาน
…
จูล่งพลันเห็นเงาร่างที่สี่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง จึงใช้พลังเนตรมังกรสกัดไปก่อนเป็นกระบวนท่าแรก แสงสีเขียวพุ่งวาบ ทำให้ศัตรูรีบทิ้งร่างกลิ้งตัวไปกับพื้นดินหลบสายตาไปทันที จูล่งรีบใช้ดาบสยบมังกรโจมตีต่อเนื่องไปอีกหลายกระบวนท่า หากแต่เงาร่างที่สี่ ถึงกับรับมือมันได้อย่างสูสีด้วยกระบี่สั้นสัตตดาราที่มันคุ้นเคย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จูล่งจึงทดลองใช้กลยุทธ์ล่อหลอกซ้ำอีกครา สายตาส่งพลังสีเขียว มือขวากวาดฟันด้วยดาบ และมือซ้ายฟาดพลังปราณเข้าใส่อย่างกระทันหัน เฉกเช่นกันกับครั้งแรกที่ลงมือสำเร็จ แต่ครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้ามถึงกับรับมือได้สมกับเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง
ที่จริง เหยี่ยวดำย่อมตระหนกใจ ไม่คาดคิดว่า พลังยุทธ์ของจูล่งจะมีพัฒนาการสูงส่งได้เช่นนี้ หากประเมินแล้ว เห็นทีว่า ยามนี้ จูล่งน่าจะไม่ด้อยกว่าตนเองหรือนางแอ่นเลย จึงมีโทสะขึ้นบ้าง หมายสยบขุนพลท่องเมฆาให้ได้อีกสักครา กระบวนท่าที่ใช้พื้นๆจึงปรับเปลี่ยนเป็นกระบวนท่ามังกรฟ้าที่พัฒนามาถึงขั้นสูงสุดแล้ว
ได้ยินเสียงหัวร่อมาจากจูล่ง ดาบอสูรปะทะกับกระบี่สั้นเลื่องชื่อถี่ยิบ สลับกับฝ่ามือที่ฟาดกระแทกกันอย่างรุนแรง จนทั้งสองฝ่ายรู้สึกชาด้านที่มือทั้งสองข้าง ทำให้รับรู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามคือศัตรูที่น่ายำเกรงคนหนึ่งในชีวิต และไม่อาจหยุดยั้งกระบวนท่า ได้แต่ต้องเร่งเร้าพลังชีวิตตอบโต้ จนไปถึงจุดที่สองฝ่ามือว่างเปล่าประกบเข้าหากัน กลายเป็นการต่อสู้ด้วยพลังลมปราณที่แท้จริงกันแล้ว
เนื่องจากเหยี่ยวดำเป็นคนสายนักฆ่า เน้นที่กระบวนท่าและไหวพริบ ไม่ใช่ยอดฝีมือที่มีพื้นฐานลมปราณแข็งแกร่งอย่างผู้เฒ่ากระเรียน แต่ตัวตนที่แท้จริงของเตียวหยุน จูล่งผู้นี้เองกลับเติบโตมาจากสายลมปราณ ภาพที่ยากจะเกิดขึ้นจึงปรากฏขึ้น เมื่อจูล่งมีท่าทางปลอดโปร่ง มีสีหน้ามุ่งมั่นมากขึ้น สวนทางกับใบหน้าของเหยี่ยวดำซีดขาวราวกับกระดาษ เม็ดเหงื่อเต็มใบหน้า คล้ายจะพ่ายแพ้ในไม่ช้าแล้ว
นับว่า จูล่งอาศัยจิตสำนึกมังกรซึ่งเป็นพลังลับทางด้านปัญญาให้เกิดประโยชน์ ใช้ความคิดประมวลผลอย่างฉับไว ใช้กระบวนท่าหลอกล่อจนเหยี่ยวดำตกหลุมพรางได้สำเร็จ ด้วยการบีบบังคับให้สองฝ่ายต้องต่อสู้กันด้วยพลังลมปราณซึ่งฝ่ายจูล่งมีเปรียบนั่นเอง
ยังโชคดีที่การต่อสู้กันครั้งนี้มิได้เกิดขึ้นตามลำพัง เพราะหัวขวานกับโงโพ้ ฮ่วมอาที่เพิ่งมาถึงได้ช่วยกันแก้ไขเสียวเอี่ยนจื่อ-นางแอ่น และตันเตาให้ฟื้นคืนสติได้แล้ว จากปากคำคร่าวๆของตันเตา บอกให้ทราบว่า มันที่แยกตัวไปทำธุระด้านล่างหุบเขานั้น กลับโดนสะกดจิตด้วยกลิ่นหอมประหลาด เมื่อครู่ จึงลงมือทำร้ายผู้คนโดยไม่รู้ตัว
นางแอ่นเมื่อรับรู้ข้อมูลเช่นนั้น ทำให้คาดเดาได้ในทันทีว่า จูล่งก็ตกเป็นเหยื่อการสะกดจิตเช่นเดียวกัน หากแต่พอหันมาที่วงต่อสู้ พบเห็นท่าทีของคนทั้งสองกลับตกใจ ไม่คาดว่า เหยี่ยวดำจะส่อแววพ่ายแพ้ได้ยับเยินและรวดเร็วเช่นนี้ แต่ตนเองไม่อาจแทรกแซงการต่อสู้ด้วยลมปราณ เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ทั้งสองฝ่าย
หัวขวานหัวไว นึกถึงกลวิธีเฉพาะหน้าแล้วฉุกคิดขึ้น รีบกระซิบกับนางแอ่น แล้วค่อยส่งสัญญาณให้พรรคพวกที่เหลือปิดหูโดยเร็ว ในขณะที่นางแอ่นก้าวเข้าไปด้านข้างของวงต่อสู้ พร้อมเปล่งเสียงด้วยพลังราชสีห์คำรามออกไปอย่างกระทันหัน
เสียงคำรามดังสนั่นกึกก้องทั้งบริเวณ พลังเสียงกระแทกใส่คู่ต่อสู้โดยตรงในระยะประชิดทำให้ทั้งคู่หมดสติล้มลงไปพร้อมกัน สิ้นสุดการต่อสู้ด้วยลมปราณได้ในทันที สร้างความโล่งใจให้กับคนทั้งหลายที่ไม่ต้องเห็นความสูญเสียของคนฝ่ายเดียวกันเอง
แม้ว่าพวกตนจะปิดหูแล้วก็ตาม พลังเสียงก็ยังทำให้หูอื้ออึงไปชั่วขณะ จึงได้แต่มองหน้ากันไปมา คนสายแพทย์ไม่รอช้ารีบแยกกันดูแลเหยี่ยวดำกับจูล่งที่คาดว่าจะหลุดพ้นจากการสะกดจิตได้แล้ว ภายใต้การกำกับของนางแอ่นและตันเตาอีกทอดหนึ่ง จึงเหลือเพียงหัวขวานที่ว่างอยู่ พอให้มีเวลาทบทวนสถานการณ์ตรงหน้าได้บ้าง
จากร่องรอยการต่อสู้และการหลบหนีด้วยกรงเหล็กขึงลวดนั้น พวกตันอุ๋นสมควรซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำใหญ่ด้านบนตามแผนการฉุกเฉิน และฝ่ายติิดตามอาจจะล้อมคุมเชิงอยู่ที่ปากถ้ำ ดังนั้น การเดินหน้าต่อไป อาจจะพบเจอกับศัตรูที่บุกรุกหุบเขา และหนึ่งในนั้น อาจจะเป็นยอดฝีมือสายสะกดจิตที่ทำร้ายตันเตากับจูล่งมาแล้ว หรือว่า นี่คือกับดักกลุ่มคนที่กาเซี่ยงหมายถึงในหนังสือก่อนตายนั้น
หลังจากสอบถามกับตันเตาและจูล่งที่ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติแล้ว เบาะแสเริ่มต้นคือกลิ่นหอมประหลาด ซึ่งชักนำให้การสะกดจิตเป็นไปได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หัวขวานจึงขอให้ทุกคนคาดผ้าปิดจมูกพร้อมทายาสมุนไพรกลิ่นแรงอีกชั้นหนึ่ง เพื่อลดทอนพลังของกลิ่นหอมไว้ก่อน แล้วค่อยให้สามจอมยุทธ์เป็นกองหน้ารุกขึ้นไปดูเหตุการณ์ด้านบนโดยด่วน
ที่จริง นางแอ่น เหยี่ยวดำ ยังมีความคลางแคลงใจในพลังฝีมือของจูล่งที่รุดหน้าขึ้นมาก หากแต่ยามนี้ ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า จึงขยิบตารั้งดูท่าทีของขุนพลท่องเมฆาไปพลางก่อน ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทันระมัดระวังตัวว่า ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
…
ณ ลานกว้างด้านบนของไหล่เขาที่อยู่ด้านหน้าถ้ำใหญ่จุดหมายนั้น กลับมีการปะทะต่อสู้กันของกองทัพย่อยๆสองฝ่าย ดูจากการแต่งกายแล้ว ฝ่ายหนึ่ง สมควรเป็นพวกม่านก๊ก ศัตรูชายแดนทางใต้ อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นพวกเผ่าตี ชนเผ่านายพรานผู้เป็นมิตรสหายที่ดีของคนสกุลม้า และจริงดั่งคาด เสียวเอี่ยนจื่อพลันพบเห็นม้าเลี้ยงที่แรกคิดว่า ถูกเงียมหงันฆ่าตายไปแล้ว กำลังยืนมองสถานการณ์การรบอยู่กับม้าต้ายและผู้นำชนเผ่าด้วยท่าทีสนิทสนม ทำให้พอคาดเดาเหตุการณ์ได้บ้างบางส่วนแล้ว
พวกม่านก๊กกลุ่มนี้ น่าจะเป็นพวกที่บุกรุกเข้ามาทำลายหุบเขาลำธารสวรรค์จากทางด้านล่าง และไล่ติดตามเบาะแสของตันอุ๋นจนขึ้นมาถึงที่นี่ตั้งแต่หลายวันก่อน แต่ไม่อาจเคลื่อนย้ายก้อนหินปิดหน้าถ้ำ จนสุดท้าย ถึงกับกำลังอาศัยควันไฟรมใส่ถ้ำใหญ่ หวังบีบให้คนด้านในเปิดกลไกออกมามอบตัวเอง แต่แล้ว พวกนายพรานขุนเขาเผ่าตีที่คงมีจุดประสงค์ร้ายต่อหุบเขาลำธารสวรรค์เช่นกัน แต่อาจจะใช้เส้นทางขุนเขาป่ายปีนมาจนพบกันที่นี่โดยบังเอิญ ทำให้สองเผ่าเกิดปะทะกันเช่นนี้
นักรบค้างคาวพบเห็นคนของตนเองที่อ่อนล้าตรากตรำมาหลายวัน มีจำนวนร่อยหรอลงทุกที ไม่อาจต้านทานความสดชื่นเข้มแข็งของกองทัพฝ่ายตรงข้าม จึงส่งสัญญาณเรียกฝูงค้างคาวดูดเลือดให้ลงมาโจมตีใส่ศัตรูในทันที เห็นค้างคาวตัวน้อยแยกย้ายกันบินโฉบเข้ารุมสังหารคนเผ่าตีเป็นกลุ่มๆคล้ายได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้กองทัพนายพรานแตกกระเจิง บ้างล้มตาย บ้างหลบหนีเสียแล้ว
แต่แล้ว สายตาของจูล่งพลันพบเห็นการลงมือของนักรบค้างคาวคล้ายมีเลศนัยอันใด ทำให้นึกออกในใจ “เป็นเพราะนักรบค้างคาวดีดก้อนผงตัวยาให้ไปติดที่ร่างกายของเหยื่อ แล้วฝูงค้างคาวเพียงอาศัยกลิ่นของตัวยาเป็นเป้าหมายจู่โจม”
มันรีบกระซิบบอกความนัยให้กับพรรคพวก เพื่อร่วมกันหาทางกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าโดยเร็ว ก่อนที่ควันไฟหนาทึบนั้นจะทำร้ายคนที่อยู่ในถ้ำจนหมดสิ้น เสียวเอี่ยนจื่อขบคิดวูบหนึ่ง จึงตัดสินใจกระโดดเข้าไปประชิดกับฝูงค้างคาว จนเริ่มมีบางตัวหันมาเกาะดูดเลือดอยู่ตามร่างกายแล้ว แต่เห็นนางไม่สนใจแก้ไขตอบโต้ด้วยอาวุธ นอกจากปลดผ้าปิดจมูก และเริ่มใช้พลังราชสีห์คำรามอีกครั้ง
เสียงคำรามดังกึกก้องยาวนานไปทั่วทั้งหุบเขา เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายที่อ่อนด้อยพลังปราณ สิ้นสติล้มลงไปพร้อมกันกับฝูงค้างคาวดูดเลือดที่กลายเป็นก้อนเลือดแตกระเบิดขึ้นมาเอง จูล่งที่มีปัญญากว้างไกล ขบคิดได้ในทันที “ค้างคาวเป็นสัตว์ตาบอด แต่ประสาทหูว่องไว และเคลื่อนไหวรวดเร็ว พอได้รับพลังเสียงแกร่งกล้าเช่นนี้ กลับรุนแรงเกินไป จนประสาทรับรู้ทนทานไม่ได้ จากจุดเด่นจึงเปลี่ยนเป็นจุดด้อยนั่นเอง”
นางแอ่นที่ฝืนใช้พลังราชสีห์คำรามอย่างรุนแรงสองครั้งสองคราติดๆกัน อีกทั้งครั้งหลัง ใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง และถูกดูดเลือดทำร้ายด้วย ทำให้พลังปราณเสื่อมโทรม ล้มลงสิ้นสติไปด้วยเช่นกัน ปล่อยให้พลังมังกรคืนสภาพทำงานซ่อมแซมร่างกายของมันไปเอง
เหยี่ยวดำและจูล่งเข้าใจในสถานการณ์เร่งด่วน จึงแยกย้ายกันลงมือ เหยี่ยวดำพุ่งเข้าจัดการกับนักรบค้างคาว ส่วนจูล่งได้แต่โดดเข้าไปยืนคุ้มกันให้กับนางแอ่นก่อนที่พวกเผ่าตีจะเข้าใกล้ จูล่งจึงชิงประกาศเปิดโปงคนสกุลม้า เพื่อหวังกระตุ้นให้ล่าถอยไปก่อน “ม้าเลี้ยง ม้าต้าย เจ้าอาศัยกองทัพเผ่าตีเข้ามาบุกรุกในพื้นที่หวงห้ามของพวกเดียวกันเองเช่นนี้ ไม่เกรงกลัวต่ออาญาศึกบ้างเลยหรือ”
เห็น ม้าเลี้ยง ม้าต้าย มีใบหน้าเปลี่ยนสี ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอหน้ากันกับขุนพลท่องเมฆาเช่นนี้ จนแทบจะหลบหนีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามหลงเหลือพร้อมรับมือเพียงคนเดียว ในขณะที่ฝ่ายตนยังมียอดฝีมือตั้งหลายคน บัณฑิตคิ้วขาวจึงเปลี่ยนใจ “พวกเรารีบใช้ค่ายกลเงาหิมะที่ฝึกฝนมาใหม่ ลงมือสยบจูล่ง กำจัดเสียวเอี่ยนจื่อในคราวเดียว เช่นนี้ ย่อมต้องเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่เสนอต่อท่านขงเบ้งอย่างแน่นอน”
เฉียนต้วน ผู้นำเผ่าตี ไม่คุ้นเคยกับบุคคลเบื้องหน้า จึงไม่ตระหนักว่า กำลังเผชิญกับขุนพลเลื่องชื่อในแผ่นดิน รีบเรียกมือดีที่เหลือรวมกับตนเอง จัดเป็นค่ายกลเงาหิมะในรูปแบบสิบแปดคน วิ่งวนไปรอบๆ พลางใช้ไม้พลองเจาะรู ทั้งเคาะกระแทกทั้งฟาดเหวี่ยง ส่งเสียงกุกกักหวีดหวิวก่อกวนโสตประสาทยิ่งนัก
ที่แท้ ม้าเลี้ยงที่แสร้งตายในคราก่อน ทางหนึ่ง เป็นเพราะฝ่ายมันต้องการส่งเงียมหงันเข้าไปเป็นนักฆ่าพลีชีพ อีกทางหนึ่ง ตัวมันต้องการลอบเพาะบ่มค่ายกลเงาหิมะให้กับพวกนายพรานเผ่าตี หวังใช้เป็นไม้ตายในการจัดการยอดฝืมือ ดังนั้น ขุนพลท่องเมฆาจึงกลายเป็นเหยื่อรายแรกในการทดสอบอานุภาพของค่ายกลพอดี
ประสิทธิภาพการโจมตีของค่ายกล นับว่าไม่เลวร้าย เฉียนต้วนกับพวกล้วนเป็นนายพรานร่างกายกำยำแข็งแกร่ง เคลื่อนตัวคล่องแคล่วว่องไว คุ้นเคยต่อการต่อสู้ระยะประชิดตัวกับสัตว์ร้าย ทำให้รูปแบบการลงมือพิสดาร บางคนเลียนแบบท่าทางสัตว์ป่า บางคนทำท่าคล้ายนักล่าสัตว์ สร้างความสับสน ยากคาดเดาทิศทาง ยิ่งเมื่อประกอบกับการส่งเสียงเร่งเร้าอื้ออึงรบกวนสมาธิ ย่ิ่งทำให้ผู้คนมือไม้ปั่นป่วน ยากรับมือจริงๆ
หากเป็นจูล่ง หรือขุนพลมีชื่อในระดับใกล้เคียงกันเมื่อหลายปีก่อน เห็นทีว่า จะเพลี่ยงพล้ำต่อค่ายกลพิสดารเช่นนี้ แต่จูล่งในยามนี้ได้รับพลังมังกรปาฏิหาริย์มาแล้ว และเผอิญเป็นพลังทางด้านสติปัญญาโดยตรง ทำให้สมาธิเข้มแข็งลึกซึ้ง ไม่วอกแวกไปกับสำเนียงมารก่อกวนแต่อย่างใด และมองเห็นจุดอ่อนของค่ายกลได้ไม่ยาก
ปกติ ค่ายกลที่ดี ย่อมต้องอาศัยผู้คนที่มีฝีมือกล้าแข็งผลักดัน แต่ในเมื่อค่ายกลเงาหิมะใช้คนถึงสิบแปดคน จึงยากจะหาคนที่มีฝีมือดีได้ใกล้เคียงกันให้ครบจำนวน จูล่งจึงเล็งเป้าหมายไปที่คนที่อ่อนด้อยที่สุดสองคนเอาไว้แล้ว
เสียงเปรี้ยงดังแทรกขึ้นมา ฝ่ามือพลังสุริยันของจูล่งกระแทกเข้าใส่หน้าอกของคนทั้งสองลอยละลิ่วออกไปจากวงล้อม พอเกิดช่องโหว่ขึ้น ดาบสยบมังกรก็กวาดฟันไม้พลองขาดไปอีกสี่ห้าชิ้นในทันที และไม่ทันที่จะตั้งตัว พลังเนตรมังกรสีเขียวก็กวาดเข้าใส่อีกรอบ ทำให้ยอดฝีมือเผ่าตีล้มกลิ้งสิ้นสติกันไปหลายคน รวมทั้งตัวผู้นำเฉียนต้วนด้วย
ม้าเลี้ยงมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ และเสียดายเวลาที่อุตส่าห์ทุ่มเทฝึกฝนสร้างค่ายกลมานาน แต่แล้ว กลับไม่อาจเอาชนะได้เลยแม้สักครั้งเดียว จนต้องกระอักโลหิตออกมา และพลันรับรู้ถึงกลิ่นหอมอันประหลาดกับแสงสีแดงสว่างวูบ
ฉับพลัน มันพบว่า เสียวเอี่ยนจื่อ กุนซือตัวฉกาจ และนางคนรักของจูล่ง กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของมันได้อย่างไรไม่ทราบ มันจึงใช้กระบี่ขวางจ่อไว้ที่คอหอยของนาง พลางส่งสัญญาณให้ล่าถอย การที่มีนางเป็นตัวประกัน ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางมันได้อีก
…
ม้าต้ายและจูล่งรับรู้ถึงกลุ่มคนแต่งกายประหลาดสามสี่คนที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างอย่างกระทันหัน ผู้นำสาวโพกผ้าคลุมหัวสาดผงฝุ่นสีรุ้งเข้าใส่ม้าเลี้ยง ม้าต้ายที่ยืนเคียงคู่กัน พร้อมจ้องสะกด แต่ม้าต้ายเป็นสายนักรบ ท่าร่างว่องไว พลิกตัวหลบพ้นไปได้ทัน จึงเหลือเพียงกุนซือม้าเลี้ยงที่ตกอยู่ในมนตร์สะกดของนางเข้าอย่างจัง พลันเห็นม้าเลี้ยงคล้ายงงงันวูบหนึ่ง แล้วกลับขวางกระบี่พาดกับลำคอตัวเอง คล้ายจะเชือดคอตาย
ประสบการณ์ของคนทั้งสองทำให้คาดเดาจากผิวพรรณและการแต่งกายได้ทันทีว่า นี่คือคนเผ่าอิวจื่อ ชนเผ่ายิ่งใหญ่ทางเทือกเขาฝั่งตะวันตก และการลงมือเช่นนี้ คือ มนตร์มายาการสะกดจิตอันลี้ลับน่าสะพรึงกลัว จึงไม่อาจหยุดมือรับฟังเรื่องราวดูสักครา
หมายเหตุ ตามเส้นทางสายไหมยุคนั้น มี 4 อาณาจักรสำคัญ คือ หลัวหม่า (โรมันในยุโรป) อันซี (ปาร์เธีย - Parthia อิหร่านในสมัยโบราณ) อิวจื่อ (คูซาน - Kushan เอเซียกลางและภาคเหนืออินเดีย) และไต้ฮั่น (จีน)
ผู้นำสาวหันกลับมากล่าวกับม้าต้ายผ่านผ้าคลุมหน้าครึ่งท่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา ท่าทางราวกับไม่สนใจไยดีกับผู้อื่น “ม้าเลี้ยงตกอยู่ในมนตร์สะกดของเรา สั่งเป็นสั่งตายได้ในทันที เจ้าจงอย่าขัดขืน และนำคำจากเราไปยังม้าเฉียว พี่ชายท่าน ว่า ราชันย์แห่งอาณาจักรอิวจื่อ ต้องการสะสางความแค้นในวันวาน กำหนดไม่เกินหนึ่งรอบจันทราเต็มดวง”
กล่าวจบ ทั้งสองพลันได้กลิ่นประหลาดพร้อมแสงสีแดงวูบหนึ่ง แล้วผู้คนเผ่าอิวจื่อพร้อมกับผู้นำหญิงและม้าเลี้ยงก็พลันหายวับไปจากสายตา จึงรับรู้ได้ทันทีว่า ตนเองถูกมนตร์สะกดเข้าอีกแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีเจตนาทำร้าย จึงเพียงแค่สั่งสอนให้รู้สำนึกเท่านั้น ทำให้ต้องร่ำร้องละอายใจด้วยความอับจนปัญญาต่อสู้กับการลงมือเช่นนี้
ม้าต้ายสบสายตากับจูล่ง ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในท่าทีตามประสานักรบ จูล่งจึงโบกมือเป็นสัญญาณยินยอมให้ม้าต้ายไปจัดการเรื่องราวของพวกมันเอง ม้าต้ายสั่งการให้เผ่าตีช่วยลงมือกำจัดพวกทหารม่านก๊กที่เหลือ และดับกองไฟที่สุมควันให้ พร้อมกับรีบแก้ไขพวกเฉียนต้วนให้ฟื้นคืน ค่อยคำนับอำลาไปตามเส้นทางนายพรานจริงดั่งที่คาดไว้
บนลานโล่งที่เคยคึกคักวุ่นวาย จึงหลงเหลือเพียงค้างคาวกับเหยี่ยวดำที่ยังประมือกันไม่จบสิ้น กับจูล่งที่ตรงเข้าดูแลนางแอ่นที่นอนฟุบอยู่กับพื้น ยังไม่ฟื้นคืนสติ พวกหัวขวานทั้งสี่จึงค่อยออกมาจากที่ซ่อนตัว เพื่อช่วยเหลือพรรคพวก ที่แท้ พวกมันมาถึงตั้งแต่ช่วงเวลาที่เผ่าอิวจื่อลงมือกับคนทั้งหลาย หากแต่สถานการณ์เร่ิมคลี่คลายไปแล้ว และไม่ต้องการเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงยั้งเท้าหลบซ่อนไปพลางก่อน
โงโพ้ ฮ่วมอา สองแพทย์ตรงเข้าแก้ไขเสียวเอี่ยนจื่อ ในขณะที่หัวขวาน ตันเตา รีบจัดการหาอุปกรณ์มาเคลื่อนย้ายก้อนหินเพื่อเปิดถ้ำใหญ่โดยเร็ว เห็นทั้งสองขุดหลุมเล็กที่มุมล่างด้านหนึ่ง และฝังแท่งคล้ายประทัดมัดใหญ่เอาไว้ พร้อมเทผงสีดำโรยออกมาจนห่างจากก้อนหินได้ระยะหนึ่งแล้วค่อยจุดเชื้อไฟ จนเกิดเปลวไฟไล่ตามเส้นผงสีดำไปยังก้อนหินใหญ่แล้ว และส่งสัญญาณบอกให้คนที่เหลืออุดหูโดยเร็ว
เสียงตูมดังสนั่น พร้อมกลุ่มควันฝุ่นผงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณครู่ใหญ่ จนกระทั่งลมพัดให้ฝุ่นผงบางเบาลง แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมโพรงกว้างใหญ่ตรงจุดนั้นก็จริง แต่มิได้ทำให้ก้อนหินใหญ่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยนิด แต่อึดใจหนึ่งต่อมา หัวคนกลับโผล่ขึ้นมาจากหลุมใหม่นั้น เป็นบัณฑิตเค้าแมวดำ ตันอุ๋น ลูกศิษย์ของนกยูง ที่กำลังมุดรอดออกมาด้วยอาการอ่อนเพลีีย แสดงว่า ตำแหน่งนั้นมีโพรงใต้ดินซุกซ่อนอยู่ตามแผนการก่อนแล้ว
หันมาอีกด้านหนึ่ง มีคนล้มกลิ้งลงกับพื้นสองคน เป็นค้างคาวที่พ่ายแพ้การต่อสู้ และจูล่งที่เมื่อสักครู่ยังสาละวนอยู่กับการดูแลอาการของเมียรัก เสียวเอี่ยนจื่อ
จุดเด่นของค้างคาวคือการประสานงานระหว่างคนกับฝูงค้างคาวดูดเลือด ส่วนพลังยุทธ์ที่แท้จริงยังไม่ถึงขั้นสูงส่งมากนัก เพียงแต่เหยี่ยวดำทำเป็นต่อสู้ยืดเยื้อ เพื่อสำรวจสถานการณ์โดยรอบ และหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกม้าต้าย ตลอดจนคนเผ่าอิวจื่อที่ปรากฏกายขึ้นเหนือความคาดหมาย จนเมื่อหัวขวานจุดระเบิดเปิดโพรงถ้ำแล้ว จึงแสดงฝีมือที่แท้จริง อาศัยกลุ่มควันผงที่คละคลุ้งบดบังสายตา ตบใส่จุดสลบของค้างคาวทันที
นางแอ่นลุกขึ้นยืน จ้องมองจูล่งพร้อมถอนหายใจ เป็นนางที่ลงมือสกัดจุดสามีตัวเอง ที่แท้ เมื่อครู่ นางก็เสแสร้งหมดสตินานกว่าความเป็นจริงเช่นกัน เพราะการเผชิญหน้ากันกับคนเผ่าตี หรือเผ่าอิวจื่อ เป็นเรื่องราวที่คาดไม่ถึง จึงหวังให้คนในยุคสมัยหาทางคลี่คลายกันเองก่อน ซึ่งยิ่งคาดไม่ถึงที่เผ่าอิวจื่อ ถึงกับจับม้าเลี้ยงไปเป็นตัวประกัน เพื่อให้ม้าเฉียวตามไปช่วยถึงถิ่นกันดารแดนไกล
“ดูท่าครั้งนี้ ม้าเฉียวคงต้องจบสิ้นชีวิต เพราะการล้างแค้นของเผ่าอิวจื่อเสียแล้วกระมัง” นางแอ่นคาดเดาท่าทีของกลุ่มคนลึกลับนอกด่านที่อาจหาญเข้ามาจับตัวประกันถึงดินแดนฮั่น แต่ไม่อาจล่วงรู้ความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกัน “เอาเถิด พวกเรารีบลงไปช่วยพวกเด็กๆที่ด้านล่างหุบเขากัน สถานการณ์คุกคามได้จบสิ้นแล้ว”
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย