2 พ.ย. 2021 เวลา 23:42 • นิยาย เรื่องสั้น
7.11. มหัศจรรย์มนตร์มายา
มหาราชาอิวจื่อ จักรพรรดิมนตร์มายา - เจ้าหญิงรฐา ผู้นำพาความมั่นคง -พระนาครชุน ราชครูจอมอาคม
เส้นทางทะเลทรายใหญ่พาดผ่านดินแดนอันยิ่งใหญ่ในยุคสมัยสี่แห่ง ได้แก่ ไต้ฮั่น อิวจื่อ อันซี และหลัวหม่า ไม่ว่าจะมีปัญหาการเมืองอันใดเกิดขึ้นภายในอาณาจักร แต่ผู้นำของแต่ละประเทศต้องพยายามรักษาบรรยากาศค้าขายไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียกระทบถึงเส้นทางการค้า เพราะปัจจัยทุกอย่างล้วนต้องอาศัยเงินทองในการขับเคลื่อน ทำให้อิทธิพลของกลุ่มพ่อค้าที่ควบคุมเศรษฐกิจมีน้ำหนักต่อวงการการเมืองอย่างมาก
รากฐานของไต้ฮั่นเจริญรุ่งเรืองมาได้นานหลายร้อยปี ต้องนับว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากเส้นทางสายไหมยุคโบราณที่ทำให้เกิดการค้าขายระหว่างดินแดน ทรัพย์สมบัติ และคลังความรู้ทางวิชาการต่างๆของราชอาณาจักรทั้งสี่ไหลเวียนไปมา กลับทำให้เกิดวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด แตกต่างจากพวกชนเผ่าท้องถิ่นเร่ร่อนในแถบทุ่งหญ้าทะเลทรายด้านบน หรือประเทศเขตแดนรกร้างที่อยู่ห่่างไกลออกไป
ช่วงปลายรัชสมัยกษัตริย์ฮวนเต้ รับฟังคำแนะนำของเตียวตงจิง หมอเทพยดาผู้เฒ่า ถึงกับสั่งปิดตายเส้นทางการค้าขาย เพื่อสกัดกั้นโรคระบาดจากหลัวหม่าไปนานหลายสิบปี สร้างความเดือดร้อนให้กับกลุ่มพ่อค้าวาณิช จนกระทั่งตั๋งโต๊ะ ม้าเท้งเข้ามามีอิทธิพลได้ช่วยผ่อนคลายกฎ กระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคทดแทน และทำให้เจ้าเมืองเสเหลียงกลายเป็นมหามิตรกับชนเผ่าเกี๋ยง เผ่าตี ที่ได้พึ่งพาเม็ดเงินจากเส้นทางการค้าเป็นสำคัญ
เส้นทางทะเลทรายใหญ่ยังคงดำเนินการได้บ้างก็จริง แต่รายได้หดหายไปจากที่ควรหลายเท่า จนกระทั่งสถานการณ์ทางเหนือผ่อนคลายลงด้วยอิทธิพลของโจโฉ และต่อมา สหพันธ์การค้าสามแห่ง อันได้แก่ หมาป่าเงิน มังกรซ่อน และพยัคฆ์หยก ได้ถือกำเนิดขึ้น จึงเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่และคึกคักของเส้นทางการค้าอีกครั้งหนึ่ง
เพียงแต่เมื่อแผ่นดินฮั่นสิ้นสูญอย่างกระทันหัน และเป็นราชวงศ์วุยแทนที่ขึ้นมา นโยบายของเสนาบดีงานการค้า โจต้าย และเสนาบดีงานการทูต กุยห้วย หลายปีมานี้ อาจจะดูขูดรีดเกินไป สร้างความกดดันให้กับผู้คนบนเส้นทางการค้าอันสำคัญบ้างแล้ว
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ม้าเท้งหนุ่มเคยพาครอบครัวขึ้นรถม้า หลบหนีการตามล่าจากกลุ่มโจรฟ้าเหลือง หนีออกนอกด่านมุ่งหน้าสู่ตะวันตกผ่านทุ่งหญ้าธารหิมะและทะเลทรายเวิ้งว้างไปไกลยิ่งนัก ผ่านพ้นอาณาเขตเผ่าเกี๋ยงเลยไปจนถึงดินแดนอิวจื่อที่กำลังเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของมหาราชานักรบแห่งจักรวรรดิคูซาน จังหวะนั้น ม้าเท้งได้ให้ความช่วยเหลือพระสนมเอกของมหาราชาจากทหารข้าศึกโดยบังเอิญ ทำให้ม้าเท้งและครอบครัวถูกนำตัวมาพบกับผู้นำระดับสูงเพื่อตอบแทนบุญคุณ
ราชันย์เผ่าอิวจื่อกำลังต้องการนักรบที่มีความรู้ความสามารถ ทำให้คนเดนตายจากไต้ฮั่นกลับกลายเป็นคนโปรดของมหาราชาได้ในเวลาอันรวดเร็ว และอาณาจักรคูซานก็เหมือนเสือติดปีก แผ่ขยายอำนาจครอบคลุมดินแดนทางตอนใต้ของเส้นทางการค้า จนไปถึงพื้นที่ราบลุ่มแห่งมหาคงคา แม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนอนารยชนแถบนั้น
หมายเหตุ ตัวละครลอกเลียนมาจากเรื่องราวของพระเจ้ากนิษกะเป็นกษัตริย์องค์ที่สามแห่งจักรวรรดิกุษาณะ ที่ทรงแผ่อาณาจักรครอบคลุมคันธาระ แคชเมียร์ สินธุ และมัธยประเทศ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และบางส่วนของอินเดีย) และมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก จนได้รับขนานนามว่า “พระเจ้าอโศกองค์ที่สอง” ซึ่งช่วงเวลาจริงอาจจะเกิดขึ้นก่อนยุคสามก๊กประมาณหนึ่งร้อยปี
มหาราชาพึงพอใจในผลงานของม้าเท้งเป็นอย่างมาก จึงประกาศแต่งตั้งให้เป็น กุนซือ อาชาผู้เลื่องชื่อ หรือ “ราชครูอัศวโฆษ” ตามคำเรียกในภาษาท้องถิ่น เพื่อรำลึกถึงพระอัศวโฆษ อาจารย์ทางธรรมชื่อดังที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน และมีความหมายของชื่อพ้องกันกับม้าเท้ง พร้อมกับหมั้นหมายเจ้าหญิงอัชฌา (Asha - ความหวัง) บุตรีคนโตที่เกิดจากนางสนมคนนั้น ให้กับลูกชายคนโตตามประเพณีท้องถิ่นที่มักเชื่อมความสัมพันธ์กันด้วยการจับคู่วิวาห์
เวลาหลายปีผ่านไป มหาราชาเริ่มสูงวัยขึ้น เกิดเบื่อหน่ายการทำสงคราม หันมาฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาโดยมีพระนาครชุน ศิษย์ของพระอัศวโฆษ เป็นคุรุทางธรรมคนสำคัญ ราชครูอัศวโฆษจึงรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะขออำลาท่านผู้นำ เพื่อนำครอบครัวเดินทางกลับไปสู่ดินแดนถิ่นกำเนิด ก่อนที่ตนเองจะยิ่งหมดคุณค่าลงไปมากกว่านี้
ราชันย์เผ่าอิวจื่อเข้าใจดีว่า ราชครูม้าเท้งยังอยู่ในวัยที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งหมายจะกลับไปสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองบ้าง จึงมอบกองทัพม้าเหล็กอันเกรียงไกรแห่งอาณาจักรคูซานให้เป็นทุนตั้งต้น จึงเป็นต้นกำเนิดเรื่องราวการกลับมาครองเมืองเสเหลียงอย่างทรนงองอาจของม้าเท้งและเจ็ดอาชาแห่งเสเหลียง
ช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกม้าเท้งปกปิดเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าอิวจื่อ แต่ก็ยังเป็นข่าวลับทางการทหารที่รู้กันของพวกชนเผ่าใกล้เคียง ดังนั้น เผ่าเกี๋ยง เผ่าตี จึงค่อนข้างให้ความเกรงใจต่อคนสกุลม้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะทราบดีว่า เบื้องหลังของคนสกุลม้าแอบอิงอยู่กับชนเผ่าอันยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับไต้ฮั่นเลยด้วยซ้ำ และการที่ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง ออกนอกด่านไปวิวาห์กับนางเอียสีนั้น ที่จริงก็คือเจ้าหญิงอัชฌาแห่งเผ่าอิวจื่อที่หมั้นหมายกันตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้ม้าเฉียวมีสถานะเป็นราชบุตรเขยเผ่าอิวจื่อไปด้วย
เพียงแต่เสียดายที่นางเอียสีกับลูกทั้งสามพลาดพลั้งเสียชีวิตไปในระหว่างการทำสงครามกับโจโฉ และคนสกุลม้ามัวแต่วุ่นวายกับเรื่องราวเฉพาะหน้า จนลืมเลือนแจ้งข่าวให้กับมหาราชา ซึ่งเป็นการผิดขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่าแดนไกล ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยอย่างยิ่ง ถึงกับประกาศตัดขาดความสัมพันธ์กัน และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการบุกจับม้าเลี้ยงไปเป็นตัวประกันอย่างอุกอาจในครั้งนี้
ม้าเฉียว ม้าเจ๊ก ม้าต้าย ย่อมเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบากใจเช่นนี้ เกิดจากความผิดพลาดของพวกตนเอง จึงได้แต่นำกองกำลังของเผ่าตีกับเผ่าเกี๋ยงเข้าสู่สมรภูมิทะเลทราย เพียงหวังแสดงให้เห็นอิทธิพลทางการทหารที่พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะเพียงพอที่จะต้านทานกับกองกำลังในระดับมหาอำนาจได้หรือไม่
ระหว่างการเดินทาง เฉียนต้วน ผู้นำเผ่าตีได้รับข่าวการกวาดล้างเผ่าอย่างอำมหิตโดยฝีมือของพวกอุยเอี๋ยน จูล่งแล้ว เท่ากับชนเผ่าตีหมดสิ้นหลักแหล่งทำมาหากิน และสมาชิกในครอบครัวล้วนเสียชีวิต ทำให้กองกำลังนายพรานหลายร้อยนายสูญเสียขวัญกำลังใจอย่างมาก ดังนั้น ทางเลือกของมันในช่วงเวลานี้ จึงมีแต่ต้องเสี่ยงเทพนันให้หมดหน้าตัก ยอมตกเป็นกองทัพเดนตายอยู่ในสังกัดของม้าเฉียวไปก่อน
หากแต่กองทัพเสริมจากตองถู (เตียดลิเกียด) ผู้นำเผ่าเกี๋ยงอีกหลายพันคนนั้น กลับอยู่ในสถานะที่แตกต่างกัน เบื้องแรก มันถูกม้าเจ๊กลวงมาว่า คนสกุลม้าต้องการนำกองกำลังไปร่วมสยบศึกภายในให้กับเผ่าอิวจื่อ เป็นการเอาใจต่อชนเผ่าอันยิ่งใหญ่ จึงกะเกณฑ์เผ่าเกี๋ยงมาเพิ่มเติม นัดหมายกันที่เมืองชายแดนตุนหวง แต่ภายหลัง พอรู้ว่า ที่จริง มันกำลังจะไปต่อกรกับจักรวรรดิคูซานเสียเอง จึงทำให้เริ่มลังเลใจบ้างแล้ว
ขณะที่ตองถูกำลังว้าวุ่นใจ ไม่อยากเสี่ยงให้ขุนพลม้าเฉียวผู้ห้าวหาญ หรือราชันย์เผ่าอิวจื่อ เกิดความขุ่นเคืองใจ จึงส่งหนังสือปรึกษากับลูกสมุนคู่ใจ สมุหนายกแงตันที่เฝ้าดูแลเมืองที่มั่น จนหลายวันผ่านไป มันจึงได้รับหนังสือแจ้งข่าวศึกกลับมาว่า ห่อปี เผ่าเซียนเปยนำกองทัพมาประชิดเผ่าเกี๋ยงแล้ว ขอให้นำกองทัพกลับมาช่วยป้องกันเมืองโดยด่วน พร้อมกับถุงสัมภาระบรรจุผงสีขุ่นเทาต่างหากอีกถุงใหญ่อันเป็นที่รู้กันสองคน
ณ ค่ำคืนสุดท้ายที่เมืองตุนหวง ริมทะเลสาบเสี้ยวจันทร์นั้นเอง ตองถูและขุนพลคู่ใจ ออดกิด จึงวางแผนมอมยา ใช้ยาสลบเจือผสมกับตัวยามอมเมาที่ชื่อ ผงห้าศิลา สินค้าใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในแถบนอกด่าน ทำให้คนสกุลม้าและกองทัพนายพรานเผ่าตีสลบไสลหมดสติ แล้วเผ่าเกี๋ยงหลายพันนายจึงค่อยถอนทัพจากไป พร้อมทิ้งข้อความขออภัยที่ต้องกลับไปดูแลเมืองที่มั่นของตนเองอย่างกระทันหัน
หมายเหตุ ผงห้าศิลา หรืออีกชื่อว่า ผงอาหารเย็นในอดีต ถูกใช้เพื่อเป็นยาเพื่อทำการรักษาอาการป่วยไข้และเป็นยาอายุวัฒนะ ส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วย ฟลูออไรต์, ควอตซ์, ผงดินแดง, หินย้อย และ กำมะถัน มีต้นกำเนิดเก่าแก่ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฮั่น และใช้กันอย่างแพร่หลาย ภายหลังค่อยพบว่าการใช้มากเกินไปทำให้เกิดสติคลุ้มคลั่งได้ ทำให้ช่วงหลังยุคราชวงศ์ถังเป็นต้นมา จึงมีการประกาศให้เป็นยาผิดกฎหมาย
ม้าเฉียวกับพวก ตื่นขึ้นมาเผชิญกับสภาพความเป็นจริงอันโหดร้าย จำนวนกองทัพที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยคนเช่นนีี้ แล้วมีหรือที่จะสามารถเอาชนะกองกำลังของเผ่าอิวจื่อได้ เฉียนต้วนได้แต่ปลุกปลอบใจในฐานะสหายสนิท และยังคงมุ่งมั่นเดินทางต่อไปจนถึง ณ เนินทรายเปลวอัคคี เขตพื้นที่ที่ร้อนระอุที่สุดในดินแดนแห่งทะเลทราย ดั่งมีเปลวไฟสุมไหม้อยู่ตลอดเวลา จุดที่ผู้ผ่านทางทุกคนต้องระมัดระวังในการเดินทางอย่างที่สุด
ทันใดนั้น เกิดเสียงฝีเท้าม้าและทหารดังกึกก้องมาจากรอบด้าน ที่แนวกองทรายไกลโพ้น ปรากฏภาพของกองทัพม้าเหล็ก อูฐเหล็ก และทหารใส่ชุดเกราะโลหะพร้อมอาวุธครบมือเป็นจำนวนมาก รายล้อมบีบเข้ามาอย่างเป็นระเบียบแบบแผน สมกับเป็นกองทัพอันเกรียงไกรของหนึ่งในสี่ดินแดนอันยิ่งใหญ่ เสียงการประโคมดนตรีดังสนั่นหลากหลาย แสดงถึงการเดินทางมาด้วยตนเองของมหาราชาแห่งชนเผ่าอิวจื่อ
ยามนี้ ม้าเฉียวตระหนักดีว่า มิอาจเอาชนะด้วยกำลังพลได้อย่างแน่นอน จึงได้แต่อาศัยชื่อเสียงและความห้าวหาญของตนเองเท่านั้น เห็นมันก้าวเท้ามาด้านหน้า ปักทวนยาวลงกับพื้นดิน เอามือพาดขวางไหล่ และคุกเข่าลงหนึ่งข้างตามธรรมเนียมท้องถิ่น พร้อมประกาศ “ขอคารวะท่านมหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อย ม้าเฉียว บุตรชายอดีตราชครูอัศวโฆษ เดินทางมาเพื่อสำนึกผิดที่มิอาจปกป้องเจ้าหญิงอัชฌาไว้ได้ และขอรับโทษทัณฑ์ต่างๆไว้เพียงผู้เดียว ขอให้ท่านจงปลดปล่อยคนสกุลม้าให้ยังคงมีผู้สืบสกุลต่อไป”
กองทหารขยับตัวเปิดเป็นช่องทางเดินกว้างใหญ่ เห็นมหาราชาแห่งเผ่าอิวจื่อก้าวลงมาจากรถพระที่นั่ง พร้อมกับหญิงสาวนักสะกดจิตที่เป็นผู้นำขบวนชิงตัวประกันคราก่อน ดูจากการแต่งกายในวันนี้ กลับคลับคล้ายชนชั้นระดับเจ้าหญิงผู้หนึ่ง ถัดไปด้านหลัง ยังเป็นกรงขังเหล็กเคลื่อนที่ที่ใส่นักโทษม้าเลี้ยงเอาไว้ “หากจะให้เราเกิดความเมตตาต่อเจ้าบ้าง เจ้าก็ต้องผ่านบททดสอบแห่งชีวิตให้ได้เสียก่อน หากข้าขอสั่งให้เจ้าสังหารสหายเผ่าตีให้หมดสิ้น เจ้าจะทำได้หรือไม่”
สีหน้าของม้าเฉียวซีดเผือดลงทันที เป็นมันที่ชักชวนเผ่าตีให้มาร่วมรบกับฝ่ายตรงข้าม และเผ่าตีก็อุตส่าห์ทนยืนหยัดอยู่ข้างกายมาโดยตลอด แต่บัดนี้ คำสั่งแรกของมหาราชา ก็คือการทรยศหักหลังต่อมิตรสหายเสียแล้ว ม้าต้าย ม้าเจ๊กรีบกระซิบบอกว่า ไม่อาจทำได้โดยเด็ดขาด ชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนานจะป่นปี้หมดสิ้น
หากแต่เฉียนต้วน ผู้นำชนเผ่าตี กลับก้าวขึ้นมากล่าวแทรกแบบไม่เกรงกลัวชะตาเช่นกัน “เรา เฉียนต้วน ผู้นำแห่งชนเผ่าตี มีข้อเสนอเช่นเดียวกัน หากแม้นพวกเราสามารถเอาชนะต่อม้าเฉียวได้ ท่านมหาราชาจะยินยอมปล่อยให้พวกเราครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งของท่าน อนุญาตให้เป็นข้าราชบริพารผู้ภักดีต่อท่านได้หรือไม่”
หมากต่อรองของเฉียนต้วนนับว่าไม่เลวทีเดียว พวกเผ่าตีในยามนี้ สิ้นไร้ที่พักอาศัย เป็นกองกำลังพลัดถิ่นอย่างสมบูรณ์แบบ หากช่วยเหลือม้าเฉียวต่อไป หรือแค่ต่อสู้ต้านทานคำสั่งของมหาราชา ก็ได้แค่บาดเจ็บล้มตายไปเปล่าๆ แต่พอเกิดการระบุข้อเสนอเช่นนี้ กลับทำให้เผ่าตีมีโอกาสฟื้นตัว ได้พื้นที่ครอบครอง และอยู่ภายใต้ร่มธงบารมีของชนเผ่ายิ่งใหญ่ด้วย ถือว่า สร้างความหวังให้กับผู้คนได้เป็นอย่างยิ่ง
มหาราชาจ้องมองเฉียนต้วนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “เจ้าช่างองอาจห้าวหาญไม่แตกต่างจากม้าเท้งในครั้งนั้นเลย ยามสงบเงียบ ไม่แสดงออก ยามเคลื่อนไหว กลับดุดันเข้มแข็งยิ่งนัก เอาสิ หากเจ้าเอาชนะมันได้ ข้าจะจัดการให้ตามที่เจ้าร้องขอมา”
เฉียนต้วนโบกมือวูบ ค่ายกลเงาหิมะรวมตัวมันเป็นสิบแปดคน กลับตั้งวงล้อมคนสกุลม้าทั้งสามไว้ในทันที กองทหารที่เหลือรีบหลีกทางเปิดทางให้ค่ายกลสามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่ กลายเป็นค่ายกลที่ม้าเลี้ยงอุตส่าห์ฝึกฝนเอาไว้ กลับมาถูกใช้งาน เพื่อสังหารพี่ชายตนเองเสียแล้ว เมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ ม้าเฉียวจึงไม่ต้องลังเลใจอันใดอีก เห็นคนสกุลม้าชักอาวุธคู่มือออกมาเตรียมพร้อมพร้อมกระซิบสั่งความไปมาเช่นกัน
เฉียนต้วนและค่ายกลเงาหิมะทั้งสิบแปดคน วิ่งวนไปรอบๆคนสกุลม้า พลางใช้ไม้พลองเจาะรู ทั้งเคาะกระแทกพื้นทราย ทั้งฟาดเหวี่ยงอากาศ ให้เกิดเสียงหวีดหวิวก่อกวนโสตประสาท เป็นกระบวนท่าเริ่มต้นเช่นเคย เห็นการเลียนแบบท่าทางสัตว์ป่า และรูปแบบการจู่โจม กลับดูร้ายกาจยิ่งกว่าครั้งแรกที่ใช้กับจูล่งเสียด้วยซ้ำ แสดงว่า เฉียนต้วนก็มีความคิดแอบแฝง ถึงกับออมมือไม่ให้ม้าเลี้ยงล่วงรู้ถึงศักยภาพสูงสุดที่ค่ายกลไปได้ถึง
เพียงกระบวนท่าแรกของค่ายกลเริ่มทำงาน ม้าเจ๊กที่ฝีมือยุทธ์อ่อนด้อยที่สุด พลาดท่าอย่างง่ายดาย ถูกฟาดที่ข้อเท้า โคนขา และท้ายทอยตามลำดับ พลั้งพลาดวูบเดียวก็ลงไปนอนกองกับพื้นทรายเสียแล้ว ติดตามมาด้วยม้าต้ายที่ถูกสองพลองกระแทกใส่กลางหลังจนเซถลา และถูกอีกสี่พลองรุมกระหน่ำจนหมดสติกลางอากาศ
พอน้องทั้งสองล้มลงกับพื้นแล้ว ม้าเฉียวกลับคล้ายรอคอยจังหวะเช่นนี้มานาน พลันควงทวนยาวเป็นวงกว้าง กวาดคืนเข้าใส่ค่ายกลไม้พลองนายพรานทั้งสิบแปดคนบ้าง เพราะไม่มีพวกเดียวกันยืนบดบังทิศทางของอาวุธยาวแล้ว เห็นมือจับกุมปลายทวน เดี๋ยวยืดออก ฟาดบน เดี๋ยวหดเข้า สะบัดล่าง เพียงครู่เดียว ค่ายกลที่รุมล้อมก็เริ่มมีหยาดโลหิตกระจายออกมา บาดเจ็บล้มลงทีละคนสองคน ทำให้เกิดช่องว่างในค่ายกลแล้ว
จนสุดท้าย หลงเหลือเพียงเฉียนต้วนที่มีบาดแผลกระจายทั่วร่างกาย เลือดไหลท่วมตัว คล้ายมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง แต่ม้าเฉียวยังไม่ยอมยุติการต่อสู้ มันต้องการสั่งสอนคนที่ทรยศหักหลังด้วยการลงโทษให้สาสม ทางหนึ่งเปิดแผลเฉียนต้วน ทางหนึ่ง ไล่แทงสังหารคนที่นอนบาดเจ็บไปเรื่อยๆ แต่แล้ว กลับเกิดประกายแสงสีแดงวูบหนึ่งตรงหน้า
ทันใดนั้น ร่างกายของเฉียนต้วนพลันเปลี่ยนแปลงเป็นหมีดำตัวใหญ่สูงเท่าสองตัวคน ใช้กรงเล็บตะปบเข้าใส่มัน จนทวนยาวหักสะบั้นเป็นสองท่อนคามือ และกวาดกระแทกด้วยแรงมหาศาล จนมันตัวลอยปลิวไปตกที่พื้นทรายห่างออกไปหลายก้าว
ม้าเฉียวไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า ชนเผ่านายพรานที่คบหากันมานาน ก็มีเรื่องราวอาถรรพ์เช่นนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องรีบเผด็จศึกด้วยการลอยตัวตีลังกาขึ้นคร่อมบ่าเอาไว้ให้พอมีที่นั่งมั่นคง แล้วใช้ทวนหักครึ่งทั้งสองท่อน จ้วงแทงเข้าใส่หมีดำเฉียนต้วนที่กลางอก และโดดลงมาอีกครั้ง ก้มลงคว้าทวนของม้าต้าย แอ่นตัวแทงย้อนหลังเข้าใส่กลางลำคอของหมีดำเป็นกระบวนท่าสุดท้าย พร้อมกับหมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น
ฉากตรงหน้าพลันเปลี่ยนจากหมีดำร่างใหญ่เป็นเฉียนต้วนเช่นเดิม ทวนที่แทงทะลุลำคอไปด้านหลัง ปลิดชีวิตสหายเก่าไปแล้ว เสียงด่าทออื้ออึงดังมาจากกองทหารเผ่าตีหลายร้อยคน คล้ายต้องการล้างแค้นให้กับผู้นำที่สิ้นชีพตรงหน้า แต่แล้ว มหาราชากลับโบกมือเป็นสัญญาณ กองทหารเผ่าอิวจื่อกรูเข้าหาศัตรู ใช้เวลากวาดล้างเผ่าตีกลุ่มสุดท้ายจนสิ้นซากหมดสิ้นเผ่าพันธุ์ในช่ั่วเวลาเพียงอึดใจเดียว
“ปล่อยตัวม้าเลี้ยง” เสียงประกาศขานต่อดังเป็นทอดๆ ทำให้สี่พี่น้องสกุลม้าได้มาพบกันพร้อมหน้าอีกครั้ง เพื่อรอรับฟังคำตัดสินของมหาราชาต่อไป “ละเว้นโทษตายให้กับคนสกุลม้า เตรียมลงทัณฑ์เจ็ดพิฆาตต่อพวกมันทุกคน”
สำหรับเผ่าอิวจื่อ การลงทัณฑ์เจ็ดพิฆาต เป็นการใช้เหล็กลิ่มตอกใส่ข้อมือ ข้อเท้า หัวไหล่ หัวเข่า และลำคอ ตามลำดับ ดังนั้น ผู้ที่ผ่านการลงโทษเช่นนี้ ถึงไม่ตายก็พิการไปตลอดชีวิตแล้ว จึงมิน่าจะเป็นเรื่องดีงามอันใด
ม้าเฉียวขบฟันกรอด ตระหนักว่า มหาราชาไม่คิดจะปลดปล่อยคนสกุลม้าแน่นอนแล้ว จึงตัดสินใจกระทำในส่ิงที่ไม่มีใครเคยคาดคิด นั่นคือ การลงมือจู่โจมเข้าใส่มหาราชาด้วยทวนยาวในกระบวนท่าเดียวกันกับที่เคยใช้ลอบสังหารโจโฉในอดีต
มหาราชายืนหัวร่ออย่างไม่เกรงกลัว ฉับพลัน ร่างกายของจอมคนผู้ยิ่งใหญ่กลับยืดขยายกลายเป็นพญามัจจุราชร่างสีแดงฉาน เปล่งประกายไฟจากดวงตากระแทกใส่ม้าเฉียวจนร่วงหล่นกลางคัน พร้อมยืดมือออกมาบีบเค้นที่ลำคอของขุนพลเงาหิมะไว้อย่างดุดัน ในขณะที่กองทัพทหารอิวจื่อกลายร่างเป็นกองทัพภูตผีปีศาจสะบัดอาวุธสังหารพวกม้าเลี้ยงทั้งสามจนอวัยวะกระจัดกระจายไปแล้วอย่างเหี้ยมโหด
ม้าเฉียวแค้นใจถึงที่สุด รวบรวมเรี่ยวแรงต่อต้านถึงที่สุด แต่ไร้ผลใดๆจนใกล้จะหมดลมหายใจ พลันนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณในอดีต จึงเอื้อมมือกระชากสร้อยคอตนเอง และโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นสร้อยคอที่มีเหรียญทรงกลมขนาดใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ แกะสลักเป็นรูปเทพยดากับพญานาคตามศิลปะแบบอิวจื่อ
เสียงเปรี้ยงคล้ายฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น พร้อมภาพตรงหน้าที่แปรเปลี่ยนไป ไม่มีพญามัจจุราช กองทัพปีศาจ หรือซากศพชนเผ่าตี มีเพียงพวกม้าเฉียวทั้งสี่ กำลังยืนเผชิญอยู่กับฝ่ายตรงข้ามที่มีเพียงคนสามคนเท่านั้น เป็นมหาราชา เจ้าหญิง และพระภิกษุ
“อาจารย์” คนสกุลม้าร้องเรียกพร้อมกัน ที่แท้ พระภิกษุรูปนี้ก็คือ พระนาครชุน คุรุทางธรรม ผู้มีความลึกลับและเก่งกาจรอบด้าน อันเป็นที่เคารพศรัทธาของชนเผ่าอิวจื่อ ซึ่งในกาลก่อน เจ็ดอาชาแห่งเสเหลียงโชคดี เคยฝากตัวเป็นลูกศิษย์สายตรงถ้วนทุกคน
เห็นนาครชุนแย้มยิ้มด้วยความเมตตา กล่าวอธิบายความว่า “ม้าเฉียว เจ้าผ่านบททดสอบแห่งชีวิตแล้ว ด้วยความห้าวหาญ กล้าแกร่ง และศรัทธาที่มีต่อคุรุอาจารย์ สมแล้วที่จะได้เป็นรัชทายาทแห่งองค์ราชันย์ในลำดับต่อไป”
ม้าเฉียวงุนงงวูบ ในขณะที่มหาราชากล่าวขึ้นบ้าง “ตัวข้าแก่ชราแล้ว เพียงมุ่งหวังให้มีผู้สืบทอดปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่ พระครูท่านทำนายว่า เขยขวัญของข้าจักเป็นตัวเลือกที่ดี ซึ่งตอนแรก ข้าก็คิดว่า คือเจ้าผู้เป็นสวามีของเจ้าหญิงอัชฌา (ความหวัง - Asha) หากแต่นึกไม่ถึงว่า จะกลับเป็นสวามีในอนาคตของเจ้าหญิงรฐา (ความมั่นคง - Radha) แทน”
ม้าเฉียวยังไม่ทันเข้าใจ ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊กกลับนึกออก จึงเฉลยให้ฟังว่า “ที่แท้ท่านมหาราชาเพียงต้องการทดสอบความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพี่ใหญ่ จึงแสร้งโกรธเกรี้ยว และส่งคนไปจับตัวคนสำคัญมา รวมทั้งสะกดจิตครั้งใหญ่เพื่อดูว่าพี่ใหญ่จะจัดการเช่นไร”
มหาราชาแสยะยิ้ม “ในอดีต ข้าเคยฝันว่า มีม้าป่าแปดตัวหลบหนีการไล่ล่าของนายพราน วิ่งกรูเข้ามาในเขตพระราชวัง บางตัวบาดเจ็บ เตลิดหาย บางตัวล้มตาย สุดท้ายคงเหลือเพียงแค่สองตัวที่เข้ามาถึงหน้าปราสาทได้ แล้วค่อยหายวับไป ซึ่งพระอัศวโฆษ ผู้เป็นคุรุคนก่อน เคยทำนายไว้ว่า เป็นกลุ่มคนต่างถิ่นที่มีดวงชะตาผูกพันต่อชนเผ่าอิวจื่ออย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อม้าเท้งพาครอบครัวเข้ามา ข้าจึงยินดียิ่งนัก และรอคอยการกลับมาของคนสกุลม้าตามคำทำนายมาโดยตลอด ม้าเฉียวเอย เจ้ายังต้องรั้งรออะไรอยู่อีกหรือ”
ม้าเฉียวรีบคุกเข่ารับคำ มหาราชาหัวร่อร่า พลางโบกมือให้สัญญาณ เจ้าหญิงรฐาจึงปลดสร้อยคอที่มีอัญมณีสีแดงประดับอยู่ มาสวมใส่ให้กับม้าเฉียว พร้อมกล่าวคำประกาศ “ด้วยสัญลักษณ์แห่งอุลกมณีสีแดง ข้าขอประกาศให้ม้าเฉียวเป็นพระสวามีในนามพระอัศวโฆษลำดับที่สาม คอยอยู่เคียงข้างกับข้าปกครองดินแดนคูซานแห่งนี้ตลอดไป"
อัญมณีจากฟากฟ้าเปล่งประกายขึ้น นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแสงสีแดงขึ้นในทุกครั้งที่เจ้าหญิงใช้สะกดจิต ซึ่งเท่ากับว่า นางได้มอบสิ่งสำคัญให้กับม้าเฉียวแล้ว
พระนาครชุนหันมากล่าวต่อม้าเลี้ยงบ้าง “ส่วนเจ้าจะได้รับตำแหน่งเป็นทายาทของข้าเช่นกัน ต่อไป เจ้าจะได้รับการขานนามว่า พระอารยะเทพ” พอกล่าวจบ เห็นคุรุผู้ลี้ลับวางมือบนกลางกระหม่อมของม้าเลี้ยง พลันบัณฑิตคิ้วขาวในชุดนักโทษก็กลายร่างเป็นพระภิกษุคิ้วขาวหัวเกลี้ยงเกลาครองจีวรสีกรักสวมสร้อยคอลูกประคำสีนิลไปแล้ว
“สำหรับเจ้าทั้งสอง ยังคงมีชะตากรรมผูกพันกับผู้คนไต้ฮั่นอีกมากมาย จงกลับไปสู่ดินแดนจ๊กก๊กดังเดิมเถิด เจ้าจะได้เป็นวีรบุรุษสงคราม” พระนาครชุนเอ่ยคำพลางโบกมือวูบ ม้าต้ายม้าเจ๊กพลันหมดสติล้มลงไปในทันที แล้วร่างของคนทั้งสองก็ค่อยๆหายวับไป
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงเหมือนยังอยู่ในภวังค์อันเคว้งคว้าง คล้ายความจริงคล้ายความฝัน แต่พยายามขัดขืน พลันเกิดเสียงร่ายมนตราแปลกประหลาดแว่วดังขึ้น ทั้งสองเริ่มรู้สึกว่า สร้อยคอกำลังบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีมือปีศาจที่มองไม่เห็นบีบแน่นจนแทบสิ้นสติ
ได้ยินเสียงมหาราชากล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ “ข้าเรียนรู้วิธีในการควบคุมผู้คนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ม้าเฉียว ม้าเลี้ยงเอย เจ้าจงมีความภักดี เป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์กุษาณะ และอาณาจักรคูซานตราบชั่วนิจนิรันดร ฮ่าฮ่าฮ่า”
ม้าเฉียวม้าเลี้ยงพลันตระหนักว่า ตนเองตกอยู่ในอำนาจเวทมนตร์ของคนอิวจื่อเสียแล้ว จึงได้แต่มองตากันไปมาอย่างตื่นตะลึง เห็นพระนาครชุนสะบัดมือวูบ แล้วร่างของคนทั้งหลายก็หายวับไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงดินแดนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง และร่องรอยไอระอุแห่งเนินทรายเปลวอัคคีอันลี้ลับ หรือว่า แม้แต่พื้นแผ่นดินที่ร้อนจนถึงที่สุดแห่งนี้ ก็อาจเป็นเพียงแค่มนตรามายาอีกบทหนึ่งเช่นกัน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา