4 พ.ย. 2021 เวลา 23:48 • นิยาย เรื่องสั้น
7.13. เขย่าขวัญถล่มราชันย์
ซุนลู่ปัน ราชันย์จำแลง - อิ้วตู้ จอมสามานย์เผ่าเย่ - จิวซุน แกนนำกองกำลังอี้จิ๋ว
ซุนลองติดตามมาถึงชายฝั่งท่าเรือเป็นกลุ่มที่สองพร้อมร่างกายที่บาดเจ็บบอบช้ำพอประมาณ พอทราบสถานการณ์เหนือความคาดหมายเช่นนี้ ประเมินว่าตนเองและชีเซ่งคงช่วยเหลือไม่ไหว เพราะต่างก็สู้รบกันมาเนิ่นนานหลายชั่วยามแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่อาจรอช้า จึงรีบส่งสัญญาณต่อผู้นำทัพเรือลึกลับให้รับทราบ เพียงอึดใจ ก็ได้รับเกาทัณฑ์ตอบกลับมา “พวกเราจะไปจัดการกับอิ้วตู้ ช่วยเหลือท่านอ๋องให้เอง”
เตียวเจียว โกะหยง งงงันวูบ เร่งไต่ถามกับเล่งทองว่า จะไว้วางใจกลุ่มคนลึกลับนี้ได้อย่างไร เล่งทองจึงได้แต่เฉลยให้ฟังว่า “พวกนั้นมิใช่โจรสลัด หากแต่เป็นรากฐานที่ซ่อนเร้นของท่านผู้นำสกุลซุน ครั้งนี้ เป็นท่านฮันต๋ง ลิห้อม นำทัพมาด้วยตนเอง”
ในอดีต ซุนเกี๋ยนมีสามขุนพลเอกคือ เทียเภา ฮันต๋ง อุยกาย ซึ่งมีเพียงอุยกายรั้งอยู่ค้ำบัลลังก์สกุลซุน ส่วนเทียเภา ฮันต๋งล้วนหายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งที่ซุนเซ็กสืบทอดอำนาจ แต่ที่จริง เทียเภาไปเป็นองครักษ์ทวนแกร่งให้กับซุนเกี๋ยนตามที่เปิดเผยก่อนหน้านี้แล้ว
นั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปได้รับรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเมื่อครั้งที่พวกตนกับซุนกวน ลกซุน กำเหลง ติดเกาะเตียวหยู ได้พบกับกลุ่มทหารของชีเซ่ง เตงฮอง แต่ถูกพวกโจรสลัดทะเลหลวงมุ่งร้าย กำเหลงจึงนำทางให้พวกตนไปยังเกาะอี้จิ๋วซึ่งมีกองทหารรับจ้างคุ้มกันภัยกลุ่มใหญ่ประจำอยู่ และช่วยกันต่อสู้กับพวกโจรสลัดจนผ่านพ้นไปได้
กุนซือพยัคฆ์คะนอง ลกซุน รู้สึกผิดสังเกตต่อท่าทีของผู้นำกองกำลังแซ่ฮันและธงสัญลักษณ์รูปหน้าปีศาจกลางขุนเขา จึงลอบลงมือจับตัวผู้นำชราเอาไว้ แต่เป็นอ๋องซุนกวนกับกำเหลงออกมาห้ามปราม พร้อมยอมเฉลยเรื่องราวความลับสุดยอดให้ทราบ
ความลับที่จริงแล้วก็คือ เกาะอี้จิ๋วเป็นที่ตั้งอันเร้นลับของสำนักหุบเขาปีศาจแห่งสกุลซุน ตัวผู้นำชราก็คือ อดีตขุนพลฮันต๋ง พร้อมกับกุนซือ ลิห้อม เหยียมจุ้น ที่ถูกเลือกให้ไปรักษารากฐานสำคัญของสกุลซุน และ ถ่ายทอดวิชาความรู้วิชาการให้กับยุวชนรุ่นถัดลงมา ซึ่งใครจะคาดเดาได้ว่า หุบเขาปีศาจที่เล่าขานมานานนั้นจะเป็นหมู่เกาะรกร้างที่อยู่ห่างไกลออกไปในทะเลใหญ่ฝั่งตะวันออก เพราะคนนอกที่ถูกนำตัวเข้าไป จะถูกปิดหูปิดตาและวางยานอนหลับ ไม่ให้ล่วงรู้ว่า ถูกพาไปยังสถานที่ใด และจะถูกจำกัดพื้นที่อยู่แค่ป่าเขาใจกลางเกาะภายในสำนักตลอดเวลาที่อยู่ศึกษาวิชาการที่นั่น
ดังนั้น เพื่อทำลายกองทัพเรือของวุยก๊กให้สิ้นซาก เสนาบดีลกซุนจึงวางแผนใหญ่ทำศึกพร้อมกันสามสมรภูมิรบ ตั้งแต่เมืองเกงจิ๋ว น่านน้ำเซ็กเพ็ก และเมืองต๋องง่อ แต่กำลังพลเปิดเผยนั้นมีจำกัด ทั้งไม่อาจโยกย้ายให้ความลับรั่วไหล สุดท้าย จำยอมทุ่มทุนใช้ไม้ตายสำคัญ ซึ่งก็คือกองกำลังลับนอกน่านน้ำเข้ามาร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย หวังจู่โจมทำลายให้ยุทโธปกรณ์ทางน้ำของฝ่ายตรงข้ามหมดสิ้นในคราวเดียว
ณ สมรภูมิกลางลำน้ำไต้กัง หลังจากที่ปล่อยทุ่นระเบิดทำลายกองทัพเรือวุยก๊กเสียวุ่นวายจนเกิดการล่าถอยขึ้นแล้วนั้น กระเช้าลอยฟ้าทั้งสี่กลับกระชากตัวขึ้นสูง มุ่งหน้าตรงมายังกองทัพของโจผี สุมาอี้ที่ตั้งอยู่บนแนวเขา ผู้บัญชาการรบด้านบนคงพบเห็นร่องรอยของกษัตริย์วุยก๊กโดยบังเอิญ จึงหมายมาสังหารด้วยทุ่นระเบิดที่เหลืออยู่
เสียงตูมตามเริ่มเกิดขึ้น กองทัพบกของวุยก๊กถูกโจมตีแล้วเช่นกัน ทหารบ้างก็ถูกระเบิดเพลิงสังหาร บ้างก็เหยียบกันตายไปเอง จนขวัญกระเจิง พวกโจผีพอมองออกว่า ผู้บัญชาการรบบนกระเช้าลำสุดท้าย ก็คือ ลกซุน เสนาบดีฝ่ายบู๊แห่งง่อก๊ก นั่นเอง อีกหนึ่งกลลวงของพวกง่อก๊กที่มักจะตอบโต้กลับอย่างดุดันเกินคาดหมายเสียทุกครั้ง
กุนซือใหญ่สุมาอี้ ทางหนึ่ง นำทางให้กษัตริย์โจผีหลบหนี ทางหนึ่ง ขบคิดหาทางแก้ไข จนนึกขึ้นได้ รีบสั่งการต่อกุยห้วยในทันที ในยามนี้ แม้ว่า องครักษ์กุยห้วยจะพิการ มีแขนเพียงข้างเดียว แต่เป็นคนคนเดียวที่สะสมพลังมังกรจักรวาลไว้ถึงสามสาย อันได้แก่ พลังภายนอก พลังภายใน และพลังเกราะคงกระพัน มาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงมีความชำนาญคุ้นเคยเป็นอย่างดีกว่าแต่ก่อน สมควรมีฝีมือเป็นอันดับต้นๆของวุยก๊กแล้ว
เห็นมันพุ่งเข้าหาเครื่องยิงก้อนหินใกล้ตัว ปรับแต่งให้ตั้งเอียงขึ้นสู่ท้องฟ้าจนได้ระยะ ค่อยกระโจนเข้าสู่ซองกระสุนแทนที่ก้อนหินใหญ่ สุมาอี้วิ่งตามมาทัน พลันปลดกลไกให้เครื่องยิงส่งร่างกุยห้วยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปได้สูงมากกว่าคนปกติจะทำได้แล้ว
แขนข้างที่ขาดของกุยห้วยถูกตัดแต่งให้เป็นกรงเล็บยาว เลียนแบบขุนพลโจรสลัดกำเหลงครั้งล่าสุดที่บุกวังหลวง จึงเห็นกุยห้วยพุ่งตัวอาศัยความสามารถเหนือมนุษย์ทั้งสามอย่างนั้น เกร็งกำลังใช้กรงเล็บแทงทะลุผ่านถุงลมพยุงกระเช้าด้านบน จนเกิดเสียงดังลั่น
และแล้ว ถุงลมที่ฉีกขาดพลันแฟบลงรวดเร็ว กระเช้าลำที่สูญเสียอากาศหนุนก็เสียหลักร่วงหล่นกระแทกพื้นดิน พร้อมเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น เพราะภายในตัวกระเช้าล้วนมีทุ่นระเบิดอยู่ด้วยมากมายนั่นเอง ทำให้ทหารง่อในกระเช้าและทหารวุยด้านล่างพลอยถูกสังหารไปพร้อมกัน กลายเป็นเสริมเติมความวุ่นวายสับสนให้กับกองทัพที่อยู่บนแนวเขา
ฝ่ายกุยห้วยไม่ได้หยุดแค่หนึ่งลำ เพราะพลังมังกรจักรวาลหนุนส่ง ทำให้มันถีบร่างลอยตัวข้ามไปยังกระเช้าลำที่สอง พวกทหารมองเห็นการโจมตีของขุนพลเทพแล้ว และพยายามระดมยิงเกาทัณฑ์ต้านทาน แต่กุยห้วยมีพลังเกราะคงกระพัน ทำให้เกาทัณฑ์ไม่ระคายผิว และใช้วิธีการเดียวกันเจาะทำลายตัวพยุงกระเช้าลงไปได้อีกลำ
ลกซุนโบกธงสัญญาณซ้ำ กลุ่มทหารในกระเช้าที่สามรุมกระหน่ำใส่กุยห้วยด้วยอาวุธพุ่งเกาทัณฑ์ และดินระเบิดหนักขึ้นกว่าเดิม แต่กุยห้วยยังเหนือชั้นกว่าอีกด้วยพลังภายในภายนอก และเกราะคงกระพัน จึงเห็นกุยห้วยคล้ายเทวราชลอยตัวฝ่าดงอาวุธ เข้าไปไล่สังหารคนในกระเช้าได้อย่างดุดัน กรงเล็บตะขอกวาดฟาดเป็นทางโลหิตโดยไม่สะทกสะท้านต่อการต้านทานใดๆแม้แต่น้อย จนหัวหน้าทหารต้องตัดใจฟันเชือกที่ตรึงกระเช้าเข้ากับถุงลมด้านบน จงใจกระชากให้กระเช้าร่วงหล่นจากฟากฟ้าโดยเร็ว หมายจะยอมพลีชีพให้ระเบิดตายไปพร้อมศัตรูตัวฉกาจ
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว กระเช้าพินาศยับเยินพร้อมเหล่าทหารที่อยู่ในกระเช้า และเบื้องล่าง แม้ว่ากุยห้วยจะดูบาดเจ็บบอบช้ำไปบ้าง หากแต่ยังเดินก้าวออกมาจากควันไฟอย่างองอาจทรนง คงไม่มีขุนพลคนใดในแผ่นดินทำได้เช่นนี้แล้ว เสียงโห่ร้องของกองทัพวุยก๊กดังกึกก้อง เหมือนส่งเสียงขับไล่กระเช้าลำสุดท้ายที่มีลกซุนเฝ้ามองสถานการณ์นั้น ให้รีบบังคับหางเสือให้ถอยห่างออกไปจากแนวเขาในทันที
ที่จริงแล้ว กุยห้วยยังพอมีเรี่ยวแรงจัดการได้อยู่ สามารถใช้กลยุทธ์เดิมยิงตัวเองเป็นกระสุนได้อีกรอบ หากแต่การร่วงหล่นลงสู่ผาสูงตกไปยังพื้นดินเบื้องล่าง หรือกระแสน้ำไต้กังที่ลึกลงไปหลายร้อยวา กลับฟังดูไม่น่าปลอดภัยนัก มันจึงยึดอกกางแขนโห่ร้องอยู่ที่เชิงผาข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม เป็นการยุติศึกสะท้านลำน้ำเลือดไปเพียงเท่านี้
จากการต่อสู้อย่างห้าวหาญพิสดารเหนือมนุษย์ครั้งนี้ กุยห้วยจึงได้รับการขนานนามเป็นขุนพลสะท้านขวัญ ชื่อเสียงทะยานขึ้นไม่ด้อยไปกว่าพวกห้าพยัคฆ์รุ่นที่สองแล้ว
บนท้องทะเลใหญ่ ผู้นำจอมเจ้าเล่ห์ อิ้วตู้ ยืนสังเกตการณ์อยู่บนดาดฟ้าเรือ พบเห็นเรือใหญ่จากกองเรือลึกลับไล่ติดตามมาไม่ละเว้นที่ปลายขอบฟ้า แทนที่จะเป็นเรือรบจากง่อก๊ก ทำให้ประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่า คนกังตั๋งจะไว้วางใจคนนอกได้ถึงปานนี้
ซุนลู่ปันในคราบซุนกวนที่ถูกมัดมือไพล่หลังติดกับเสากระโดงเรือ คล้ายคาดเดาจิตใจคนชั่วช้าสามานย์ได้ จึงตะโกนข่มขู่เอาว่า “เป็นกองทัพเรือรบชั้นเยี่ยมแห่งสำนักหุบเขาปีศาจ พวกเจ้าไม่อาจต้านทานฝีมือยอดขุนพลฮันต๋งได้ดอก” พลันนึกได้ว่าผิดท่าแล้ว
อิ้วตู้หันมาด้วยท่าทางสงสัยในน้ำเสียงของอิสตรี พร้อมกระชากผ้าโพกหัวชาวเรือ และหนวดเคราปลอมออกจากใบหน้าของอ๋องซุนกวน จึงพบเห็นหญิงสาวที่ปลอมแปลงมา “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้า ซุนลู่ปัน คู่หมั้นหมายของข้านี่เอง เราอุตส่าห์ตัดใจละทิ้งสัญญาวิวาห์กับตัวเจ้าในอนาคต เพื่อลักพาตัวพ่อมา หวังจะแลกดินแดนสักสองสามเมืองเป็นต้นทุนสร้างชาติ แต่กลับกลายเป็นเจ้ารนหาที่เอง แผนการที่ข้าวางไว้ก็พังพินาศหมดสิ้นสิท่า”
ซุนลู่ปันยังมีขวัญกล้าปากแข็ง จึงตอบโต้ไม่ลดละ “บิดาเราย่อมไม่เอาเจ้าเอาไว้แน่ มีแต่จะสับตัวเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น ไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ชนเผ่าสามานย์อย่างเจ้าไม่มีโอกาสได้เชยชมชนชั้นเจ้าหญิงแห่งชาวง่อก๊กดอก จะบอกให้รู้ไว้ด้วย”
อิ้วตู้เอียงคอขบคิด “เรือติดตามยังอยู่อีกห่างไกลนัก พอให้เราจัดการกับเจ้าได้ หากเรากลายเป็นลูกเขยขึ้นมาจริงๆ อยากรู้นักว่า อ๋องซุนกวนจะคิดเห็นเป็นเช่นไร”
เห็นผู้นำเผ่าจอมเจ้าเล่ห์ส่งเสียงหัวร่อร่า พร้อมตัดเชือกมัดเสาออก ฉุดลากตัวประกันไปสู่ห้องพักของตนเองไปแล้ว เพียงชั่วอึดใจ เสียงกรีดร้องเสียขวัญของหญิงสาวก็เริ่มเล็ดลอดออกมาจากภายใน ประสานกับเสียงหัวร่อบ้าคลั่งของอิ้วตู้ คนภายนอกรู้สึกสงสารเห็นใจกันถ้วนหน้า แต่ไม่กล้าขัดแย้งกับผู้นำเผ่า จนเสียงดังอึกทึกนั้น เงียบหายไปในที่สุด คนทั้งหลายจึงค่อยรู้สึกโล่งอกที่ผ่านพ้นความอึดอัดใจไปได้
ทางด้านกษัตริย์โจผี สุมาอี้ พร้อมกองทหารองครักษ์หลายร้อยคน หลบหนีออกจากสมรภูมิรบบนเนินเขามาได้สักระยะหนึ่งแล้ว จึงค่อยคลายใจลงไปบ้าง สุมาอี้มองเห็นว่า ใกล้มืดค่ำแล้ว เดินทางต่ออาจจะไม่สะดวก จึงเสนอให้ไปพักผ่อนกันที่วัดป่าน้อยที่สอง ณ เขาจวนหยกสัน เมืองซินเอี๋ย เป็นการชั่วคราว
สถานที่ทางพุทธศาสนาอันรกร้าง มีความกว้างใหญ่มากพอที่จะรองรับกองทหารได้โดยไม่จำเป็นต้องปลูกสร้างเพิ่มเติม อุโบสถจึงถูกใช้ให้เฉพาะโจผี สุมาอี้ เป็นที่ค้างคืนชั่วคราว รอให้ขุนพลองครักษ์กุยห้วยได้ติดตามมาทันกัน ที่เหลือต่างแยกย้ายพักผ่อนอยู่ตามอาคารอื่นๆ และลานด้านนอก ตั้งเป็นกองกำลังป้องกันตามปกติ
โจผีเคยผ่านศึกสงครามมาบ่อยครั้ง จึงไม่รู้สึกยากลำบากอันใด ยอมรับสภาพย่ำแย่แต่โดยดี เพียงแต่ยังเจ็บใจที่เสียท่าให้กับพวกเสือใต้กังตั๋งอีกครั้ง สายข่าวแจ้งเรื่องราวให้ทราบแล้วทุกสมรภูมิรบ จึงได้แต่บ่นรำพึงกับสุมาอี้ ผู้เป็นอาจารย์เก่าในอดีต มาครึ่งค่อนชั่วยามแล้ว ค่อยนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ค่ำคืนผ่านไปแค่ไหนไม่ทันล่วงรู้ โจผีรู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อถูกสาดน้ำเข้าใส่ถังใหญ่ พบว่าตัวเองมีอาการมึนงงคล้ายถูกวางยาสลบ และถูกปิดปากมัดมือติดกับเสา มองเห็นตรงหน้าคือ น้องสาวต่างมารดา โจเซียง ที่พร้อมจะใช้เกาทัณฑ์สังหารตนเองอีกแล้ว
โจผีเริ่มหมดหวังกับชีวิต รู้สึกท้อแท้หมดอาลัยขึ้นบ้างด้วยความรู้สึกกลัวตาย เหลียวมองโดยรอบ เห็นเพียงสุมาอี้ที่ถูกจับตัวห่างไปเล็กน้อย ทำตาปรืออยู่ด้วยฤทธิ์ยาสลบเช่นกัน
“เจ้ามันโหดร้ายเกินไป เพราะต้องการเป็นฮ่องเต้คนใหม่ นอกจากทำลายราชวงศ์ฮั่นจนยับเยินแล้ว สองมือเจ้ายังแปดเปื้อนไปด้วยเลือดของญาติสนิทพี่น้องและคนใกล้ชิดมากมาย” โจเซียงคับแค้นใจ ได้โอกาสระบายอารมณ์ออกมาบ้าง จึงหันมาทางสุมาอี้ที่รู้สึกตัวมากขึ้นแล้ว “ส่วนเจ้าสุมาอี้ ครั้งก่อน บังอาจสังหารกำเหลงสหายเรา หนี้แค้นพึงต้องชำระด้วยเลือด วันนี้ จงเป็นวันตายของเจ้าเสียเถิด”
โจเซียงยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของสุมาอี้ก่อน หมายปลิดชีวิตในดอกเดียว แต่แล้ว เกิดเสียงเพียะพะดังขึ้น สร้างความแตกตื่นให้กับโจเซียง เห็นลูกเกาทัณฑ์ของตนถูกกระแทกด้วยก้อนหินเล็กจนร่วงกระเด็นออกไป จึงกวาดตามองไปยังทิศทางที่มาของก้อนหินนั้น พร้อมพาดสายลูกเกาทัณฑ์สองลูก เป็นกระบวนท่าไม้ตายที่ตนเองฝึกฝนมาจากท่านอาแฮหัวเอี๋ยน อดีตจอมขมังธนูแห่งวุยก๊ก
เห็นคนคลุมหน้าชุดดำก้าวออกมาจากเงามืดด้านหลังพระพุทธรูป โจเซียงจดจำแนวทางการดีดก้อนหินได้ว่าเป็นคู่มือคนเดิมที่เคยปะทะต่อสู้กัน ณ สถานที่แห่งนี้เมื่อปีก่อน ทำให้แอบหวาดหวั่นใจอยู่บ้าง เพราะตระหนักอยู่แล้วว่า พลังยุทธ์ของตนไม่อาจต้านทานฝ่ายตรงข้ามได้เลย จึงคิดกลยุทธ์ต่อสู้เฉพาะหน้าแทน
เห็นนางหันไปยิงเกาทัณฑ์คู่ใส่โจผีบ้าง สุมาอี้บ้างอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนคลุมหน้าต้องเสียสมาธิในการดีดก้อนหินยับยั้ง หรือใช้กระบวนท่าไปปกป้องเหยื่อที่ไม่อาจป้องกันตนเองได้ กลายเป็นฝ่ายตั้งรับไปโดยปริยาย จนกระทั่งซองเกาทัณฑ์ว่างเปล่า โจเซียงจึงไม่อาจใช้กลยุทธ์เชิงรุกได้อีกต่อไป ได้แต่หลบหนีออกไปทางช่องหน้าต่างด้านข้าง
เสียงเอะอะของทหารเวรดังขึ้นอยู่ภายนอก คงเกิดการชุลมุนไล่ตามคนร้ายที่กำลังหลบหนีฝ่าวงล้อมออกไป และมีองครักษ์บางส่วนวิ่งเข้ามาตรวจดูบุคคลสำคัญ คนคลุมหน้าซึ่งก็คือเหยี่ยวดำเห็นว่า สถานการณ์คลี่คลาย โจผี สุมาอี้ สมควรปลอดภัยแล้ว จึงหลบหนีออกมาตามเส้นทางน้อยอีกทางหนึ่ง
แสงสะท้อนวูบของอาวุธโลหะกวาดเหวี่ยงมาเบื้องหน้า ทำให้เหยี่ยวดำชะงักเท้า หลบหลีกการจู่โจมได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด เห็นเป็นขุนพลองครักษ์กุยห้วย ซึ่งเพิ่งสร้างผลงานยิ่งใหญ่ และติดตามมาทันโจมตีใส่คนร้ายได้อีก
เมื่อปีกลาย เหยี่ยวดำเคยต่อสู้กันกับพวกกุยห้วย จูกัดเอี๋ยน เตงงาย เบ้งตัด กุยฮวย ถึงห้าคน ยังพอสูสีกันเท่านั้น มันจึงประเมินว่า ฝีมือของมันสมควรรับมือกุยห้วยที่มีอาการบาดเจ็บเพียงคนเดียวได้ไม่ยาก และกุยห้วยก็เป็นเป้าหมายหนึ่งในกลุ่มขบวนการฟ้าดิน ดังนั้น แทนที่จะตั้งใจหลบหนี เหยี่ยวดำจึงตัดสินใจกำจัดกุยห้วยในที่ลับตาผู้คนเสียเลย กระบวนท่ามังกรฟ้าจึงถูกใช้ออกผ่านกระบี่สั้นสัตตดาราแบบไม่มีการออมมือใดๆ
หากแต่ยามนี้ กุยห้วยพัฒนาจากปีก่อนมากมายจริงๆ ระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่หลอมรวมพลังมังกรจักรวาลสามประการ อันได้แก่ เกราะเกล็ดมังกร พลังมังกรทบทวี และลมปราณมังกรฟ้า ทำให้กุยห้วยก้าวขึ้นมาทัดเทียมระดับปรมาจารย์ได้แล้ว
สองยอดฝีมือแห่งยุคสมัยจึงต่อสู้ปะทะกันอย่างดุเดือดยาวนาน จากค่ำคืนมืดมิดจนฟ้าเริ่มสว่างขึ้น กุยห้วยแม้แขนพิการหนึ่งข้าง หากแต่สวมใส่กรงเล็บตะขอ และพลังยุทธ์แข็งแกร่งทั้งพลังภายนอกพลังภายใน ซ้ำยังมีเรือนร่างคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้าอีกด้วย ทำให้เป็นข้อได้เปรียบ พลิกแพลงสุ่มเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่เหยี่ยวดำเห็นว่า ฟ้าสางแล้ว สมควรต้องรีบยุติการต่อสู้ จึงตอบสนองตามวิถีของนักฆ่า
เสียงเนื้อหนังฉีกขาดดังติดต่อกันสองครั้ง เป็นกุยห้วยจงใจยอมรับหนึ่งกระบี่ที่แทงใส่ชายโครงเต็มกำลัง เพื่อแลกกับหนึ่งกรงเล็บที่แทงใส่อกขวาของฝ่ายตรงข้าม คนคลุมหน้าชุดดำเลือดโทรมกาย แต่กุยห้วยก็ผิดคาดที่ถูกกระบี่สั้นนั้นแทงเป็นแผลลึกได้เช่นกัน กลายเป็นการอาบเลือดแลกชีวิต บาดเจ็บสาหัสไปทั้งสองฝ่าย
หากเป็นกระบี่ปกติทั่วไป ย่อมไม่อาจระคายผิวหนังของกุยห้วยได้แล้ว หากแต่กระบี่สัตตดาราถูกสร้างขึ้นโดยหัวขวาน-เตียวล่อ ย่อมไม่ธรรมดาสามัญ ไม่เพียงจะสอดแทรกลวดลายเลียนแบบตำนานกระบี่เหวมังกรเจ็ดดาวสมัยเลียดก๊กแล้ว ยังผสมผสานด้วยหินอุกกาบาตที่เป็นของหายาก เช่นเดียวกันกับแร่ธาตุพิสดารที่ใช้กับดาบอสูร ทวนทมิฬ
ดังนั้น กระบี่สั้นสัตตดาราจึงมีสรรพคุณพิเศษตามพลังอุกกาบาต เมื่อใช้ออกด้วยพลังภายในเต็มเปี่ยม ยังสามารถทะลวงพลังเกราะคงกระพันได้อีกสิ่งหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้พิษร้าย หรือสะกดชั่วคราวด้วยพลังมังกรจักรวาลด้วยกัน
เหยี่ยวดำค้นพบความลับเช่นนี้โดยบังเอิญ ทางหนึ่ง ย่อมดีใจที่พบหนทางจัดการกับจอมมารดาวรุ่งได้แล้ว อีกทางหนึ่ง ก็กังวลที่กุยห้วยพัฒนาได้เร็วมาก แต่พลันเห็นกองทหารวุยก๊กจากเมืองอ้วนเซีย ชูธงเตงงาย เพิ่มเติมเข้ามาในพื้นที่ด้วย หากตนเองดื้อรั้นอยู่ต่อ คงไม่อาจรับมือ กุยห้วย เตงงาย พร้อมกัน จึงได้แต่ต้องใช้ระเบิดหมอกควันบดบังสายตา และใช้เชือกตะขอหลบหนีไปก่อน นับว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ยอดมือสังหารต้องยอมล่าถอยให้กับศัตรูแบบเพลี่ยงพล้ำยับเยิน
ยังดีที่โงโพ้ ศิษย์นกฮูก-ฮัวโต๋ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการภายนอก ติดตามมาทำภารกิจด้วยกัน การรักษาพยาบาลบาดแผลสาหัสเช่นนี้ คงจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะหายดี และมันก็มีเรื่องใหญ่ที่ต้องปรึกษาหารือกับหัวขวาน ยอดนักประดิษฐ์ ต่อเสียแล้ว
เรือรบจากสำนักหุบเขาปีศาจยังคงอยู่ห่างไกลอีกระยะหนึ่ง หากแต่ภายในลำเรือของผู้นำเผ่าเย่กลับถูกลอบโจมตีแล้วด้วยยอดฝีมือกลุ่มเล็กๆที่แอบลงเรือเร็วติดตามในระยะประชิด ภายใต้การนำของเตียวอุ๋น หลานปู่ของเตียวเจียว และจิวซุน จิวอิ๋นลูกชายลูกสาวของจิวยี่ มุ่งหวังช่วยเหลือท่านผู้นำง่อก๊กให้ได้โดยเร็ว
คนทั้งสามคือเยาวชนกลุ่มแรกที่เข้าสู่แผนการซ่อนพยัคฆ์ ตามแนวความคิดของจิวยี่ ที่เก็บซ่อนตัวทายาทให้ห่างไกลจากปัญหารอบด้านในแผ่นดินใหญ่ ทำให้เตียวอุ๋นคงสถานะคล้ายกับพี่ใหญ่ของคนรุ่นถัดมา และเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของฮันต๋ง ลิห้อม เหยียมจุ้น สามผู้เฒ่าด้านบู๊บุ๋นในสำนัก ที่ซ่อนตัวดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาการให้กับยุวชนทั้งหลาย รวมทั้งห้าพยัคฆ์น้อยด้วย
การบุกจู่โจมแบบนักฆ่าลอบสังหารนี้ ก็เป็นความคิดที่ห้าวหาญของจิวซุน ล่อหลอกให้อิ้วตู้ตายใจ คิดว่า พวกกังตั๋งยังอยู่ห่างไกล แต่ส่งกลุ่มยอดฝีมือลอบบุกจู่โจมเข้ามาก่อน ทำให้พวกทหารรักษาการณ์เผ่าเย่ที่อยู่ในลำเรือพลาดพลั้ง ถูกสังหารตายไปแทบหมดสิ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ปล่อยให้คนทั้งสามบุกถล่มห้องพักผู้นำเข้าไปแล้ว
เห็นอิ้วตู้ยังหลับไหลอยู่บนเตียงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ใกล้ๆมิใช่เจ้านครซุนกวน แต่กลับเป็นซุนลู่ปันที่เปลือยเปล่าและยังคงสลบไสล ดูหน้าตาร่างกายที่บอบช้ำเปรอะเปื้อนแล้ว คงถูกล่วงเกินอย่างแสนสาหัส คนทั้งสามโกรธแค้นใจ โดยเฉพาะจิวซุนซึ่งมีสถานะเป็นคู่หมั้นหมายด้วย จึงใช้อาวุธทิ่มแทงสังหารอิ้วตู้ในทันที ไม่เปิดโอกาสให้คนชั่วได้ต่อสู้ขัดขืน แล้วใช้ผ้าห่มห่อหุ้มตัวซุนลู่ปันไม่ให้เปล่าเปลือยเป็นที่อุจาดตา
จิวอิ๋นจิตใจละเอียดอ่อน สังเกตเห็นซุนลู่ปันรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว กลับยังซึมเซา สายตาเลื่อนลอย จึงร้องเรียกชื่อนางไปหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง แต่พอนางพบเห็นอิ้วตู้ กลับคล้ายคลุ้มคลั่ง ไม่สนใจรั้งผ้าห่มคลุมตัว คว้าดาบจากมือจิวอิ๋นไปฟันใส่ซากศพของอิ้วตู้เสียยับเยิน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง
คนทั้งสามสงสารซุนลู่ปันจับใจ ได้แต่ปล่อยให้นางระบายอารมณ์สักพัก ค่อยใช้ผ้าสะอาดเช็ดเนื้อตัว และจัดหาเสื้อผ้าให้นางสวมใส่ พร้อมปลอบโยนให้นางละทิ้งเรื่องราวเลวร้ายไว้เพียงแค่นี้ เตียวอุ๋นจึงจัดการจุดไฟเผาทำลายห้องพัก และโครงสร้างหลักของลำเรือให้ลุกไหม้ หวังจะจมเรือใหญ่ทิ้งไปในทะเลใหญ่เช่นนี้
แต่พอออกมาทางภายนอกห้องพัก เหล่านักรบที่มาด้วยกันล้วนถูกจับกุมตัวไว้แล้วด้วยกลุ่มทหารชนเผ่าเย่ที่มีจำนวนมากกว่า ชายสูงวัยผอมซูบที่แต่งชุดแสดงถึงฐานะสูงส่งก้าวออกมาว่ากล่าว “เรา สือเสีย ในฐานะราชครูเผ่าเย่ ขอแสดงเสียใจต่อเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้ แม้แต่พวกเราก็ยอมรับทำใจได้ยาก หากแต่คนชั่วช้าป่าเถื่อนที่จับตัวคุณหนูซุนมานั้น ก็ถูกพวกท่านกำจัดไปแล้ว เราจึงขอให้ท่านยังคงคิดถึงมิตรภาพสองแผ่นดินที่มีต่อกันมานาน ปล่อยให้พวกเราที่เหลือสามารถกลับคืนสู่มาตุภูมิ และมิตรภาพของดินแดนง่อ - เย่ จะยังคงอยู่ต่อไป เมื่อเรากลับไปจัดการเรื่องราวที่สภาเผ่าเสร็จสิ้นแล้ว จะจัดส่งเครื่องบรรณาการให้กับพวกท่านทุกปีดังเดิม”
จิวซุนจดจำได้จากคำบอกเล่าของลิห้อม เหยียมจุ้นว่า สือเสียผู้นี้ เป็นคนเชื้อสายฮั่น ได้รับการแต่งตั้งจากซุนกวนให้เป็นเจ้าเมืองชายแดนเกาจิ๋ว และภายหลัง ถูกวางตัวให้เป็นจารชนในเผ่าเย่ โดยมีตัวประกันเป็นลูกชายนาม สือสิน อยู่ที่เกาะอี้จิ๋วด้วยกัน ดังนั้น การที่สือเสียออกหน้าในยามคับขันเช่นนี้ คงจะคิดยึดอำนาจการเมืองในชนเผ่าดังกล่าว ซึ่งควรจะเป็นผลดีต่อสองดินแดน เพียงแต่ขัดใจที่ไยไม่ช่วยเหลือคนรักเอาไว้ก่อน
ส่วนเตียวอุ๋นประเมินแล้วเห็นว่า เรื่องราวผูกพันถึงการเมืองระหว่างชนเผ่าย่อมมิอาจกระทำตามอำเภอใจ จึงได้แต่ประสานมือรับคำอย่างเย็นชา นำพาผู้ติดตามที่รอดชีวิต ลงเรือเร็วกลับไปยังเรือรบอี้จิ๋วที่แล่นตามมา และมุ่งหน้าสู่ฐานที่มั่นลับในทันที
ฝ่ายราชครูสือเสียนำขบวนเรือเผ่าเย่จากไป และสามารถยึดครองอำนาจการเมืองได้จริงๆ เหลือเพียงคนสนิทของอิ้วตู้ไม่กี่คน ที่นำพาทายาทน้อยเจาอี้หนีรอดเข้าป่าลึกไปได้ สือเสียจึงได้ขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเย่แทน พร้อมจัดส่งสัญญาสงบศึก และเครื่องบรรณาการมากมาย ทำให้เผ่าเย่ยุติการตอแยกับพวกง่อก๊กได้อย่างเด็ดขาด นับได้ว่า ซุนกวนตัวจริงวางหมากได้ถูกคน เพียงแต่ต้องแลกกับความสูญเสียบางประการ
สำหรับกษัตริย์โจผีนั้น หลังจากที่กลับคืนสู่เมืองหลวงลกเอี๋ยงได้แล้ว รับรู้ค่าใช้จ่ายต่อเนื่องมากมาย จึงได้ประกาศยุตินโยบายทางด้านสงคราม เพื่อหวังจะผลักดันนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและวรรณกรรมร่วมกับสำนักหอสมุดใต้หล้า ตามที่พระองค์ถนัดมากกว่าแทน ส่วนตำแหน่งสมุหกลาโหมนั้น กลับมอบหมายให้ขุนพลพยัคฆ์คนถัดไป ซิหลง เป็นผู้รับช่วงต่อ แทนที่เตียวเลี้ยวผู้จากไปอย่างกระทันหันในศึกลำน้ำเลือด
เมื่อพ่ายศึกใหญ่ย่อมเสมือนทำการค้าขาดทุนย่อยยับ ภาระฟื้นฟูสองเมืองใหญ่และก่อสร้างสุสานหลวง รวมทั้งค่าใช้จ่ายสงครามเองทำให้คลังหลวงแทบว่างเปล่า กากุ๋ยในฐานะขุนคลังได้แต่เสนอให้รื้อค้นสุสานหลวงราชวงศ์ฮั่น นำสมบัติคนตายมาค้ำจุนบัลลังก์ เฉกเช่นที่ตั๋งโต๊ะเคยกระทำต่อสุสานจิ๋นซีตอนย้ายเมืองหลวงคราวก่อน และกลายเป็นประเด็นทำให้ราษฎรต่างขุ่นเคืองต่อกษัตริย์โจผีมากยิ่งขึ้น
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา