Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
8 พ.ย. 2021 เวลา 01:28 • นิยาย เรื่องสั้น
7.15. ศึกมหาอัคคีศักดิ์สิทธิ์
โต้สู้ จ้าวแห่งพิษร้าย - บกลก จ้าวแห่งสัตว์ป่า - ลุดตัดกุด จ้าวแห่งนักรบ
พอกวนหินกระอักโลหิตเป็นทางยาว เห็นมีหนอนสีเขียวตัวเขื่องหลุดตามออกมาด้วย เตียวเปารีบพุ่งทวนสังหารหนอนร้าย พลันเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจึงหลุดพ้นจากอำนาจเวทมนตร์ ล้มลงสิ้นสติ ทำให้เตียวเปารีบประคองสหายสนิทกลับเข้าสู่ฝั่งกองทัพจ๊กก๊ก
เบ้งเฮ็กรู้สึกผิดคาด สายข่าวจารชนรายงานว่า กวนหินมีฝีมือเก่งกาจที่สุดในรุ่นผู้เยาว์ มันจึงสู้อุตส่าห์วางแผนซ้อนแผน นำหนอนคุณไสยไปทำพิธีกรรมไว้ที่หุบเขารกร้าง หวังจะทำแต้มนำไปก่อนสักรอบ แต่กลับเป็นเตียวเปาต่างหากที่มีฝีมือเหนือกว่า
ยามนี้ พวกนางแอ่นย่อมตระหนักถึึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายของราชันย์ชนเผ่าแดนใต้บ้างแล้ว จึงลดความน่าเชื่อถือลง ได้แต่กระชากเสียงถาม “เราชนะรอบแรกแล้ว จ๊กก๊กส่งขุนพลพายุคลั่ง อุยเอี๋ยนเป็นคนต่อไป รอบนี้ ฝ่ายเจ้าคือใครกันเล่า”
เบ้งเฮ็กเอ่ยตอบ “น้องข้า เบ้งฮิว” เห็นเบ้งฮิวถือดาบใหญ่ขี่หลังหมีลายขาวดำตัวมหึมา ก้าวเดินออกมาจากกองทัพ พร้อมฝูงผึ้งพิษด้านบนอีกกลุ่มใหญ่ แสดงถึงอานุภาพของสัตว์ป่าที่ดูน่าเกรงขาม เพียงหมีป่าส่งเสียงคำราม ม้าศึกฝ่ายจ๊กก๊กก็ร่ำร้องกันระงมแล้ว
อุยเอี๋ยนงงงันวูบ ทำให้เสียวเอี่ยนจื่อต้องกวักมือเรียกพร้อมหยิบยื่นห่อผ้าทรงยาวให้เหน็บที่เข็มขัดสองสามห่อ แต่อุยเอี๋ยนคล้ายยังไม่พอเพียง กุนซือสาวจึงแกะห่อผ้าอีกห่อหนึ่งบดขยี้ตัวยาลงในมือ แล้วทาละเลงไปตามเสื้อเกราะของฝ่ายตรงข้าม จนคล้ายแป้งฝุ่นสีขาวเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกาย เหลือเพียงหน้ากากคลุมหน้าที่ยังเป็นปกติดีอยู่
เห็นอุยเอี๋ยนกระชับง้าวคู่ด้ามสั้นในมือ ละทิ้งม้าคู่ใจ เดินก้าวออกมากลางลานประลอง เบ้งฮิวจึงทักทายด้วยฝูงฝึ้งพิษเป็นกระบวนท่าแรก เห็นมวลแมลงบินพุ่งเข้าหาขุนพลพายุคลั่งอย่างรวดเร็ว
แต่อุยเอี๋ยนไม่รอช้า รอคอยจังหวะให้ฝูงผึ้งเข้ามาใกล้เพียงสามก้าว ค่อยโยนห่อผ้าสองห่อไปกางกั้นเบื้องหน้า พร้อมควงฟันง้าวคู่เป็นพัลวัน ทำให้ห่อผ้าฉีกขาดกระจุยกระจาย กลายเป็นกำแพงแป้งฝุ่นสีขาวผืนใหญ่ครอบคลุมไปทั้งบริเวณลานประลอง ตัดกันกับสีเหลืองซีดของฝุ่นทรายที่คละคลุ้งอยู่ตามกระแสลมหน้าประตูเมืองนั้น
เสียงเปาะแปะดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมซากร่างของฝูงผึ้งพิษที่ร่วงหล่นตายเกลื่อนพื้นดิน อุยเอี๋ยนจึงพูดข่มขึ้น “เป็นหมอใหญ่ฮ่วมอาพบเห็นเถาวัลย์ที่มียางพิษร้ายสีขาวขุ่นนั้น สามารถสยบสัตว์แมลงได้ดี จึงนำมาบดผสมร่วมกับสมุนไพรอื่นอีกหลายชนิด ตากแห้งทำเป็นแป้งฝุ่น เตรียมเอาไว้สาดไล่สัตว์ร้าย อีกทั้ง พวกเราตั้งทัพพักผ่อนอยู่หลายวัน สังเกตเห็นว่า ลมแรงที่หน้าประตูเมืองเป็นลมหมุนวน หอบอุ้มแป้งฝุ่นได้เป็นอย่างดี จึงเตรียมการเช่นนี้ไว้กำจัดฝึ้งพิษโดยเฉพาะ”
เบ้งฮิวตาโป่งพองด้วยความโกรธ จึงกระตุ้นหมีป่าให้กระโจนเข้าใส่ หมายใช้กรงเล็บสัตว์ยักษ์กับดาบใหญ่ของตนเองประสานกัน รุมกระหน่ำศัตรูแดนไกล แต่ง้าวคู่ด้ามสั้นของอุยเอี๋ยนก็มีฤทธิ์เดชสมคำร่ำลือ กวัดแกว่งต่อต้านคู่ต่อสู้ได้ไม่ยากเย็นนัก จนพอมีจังหวะ อุยเอี๋ยนจึงแสร้งละทิ้งหนึ่งง้าว เพื่อกดกลไกของง้าวที่เหลือให้ยืดยาวออกฟันใส่อุ้งเท้าด้านล่างของหมียักษ์จนขาดกระเด็น สร้างความเจ็บปวด จนหมีป่าผวาร้องดังกึกก้อง เหวี่ยงร่างเบ้งฮิวลอยคว้างไปอีกทางหนึ่ง
ขุนพลพายุคลั่งไม่รีรอ ตวัดง้าวฟันซ้ำใส่สัตว์ร้ายไปอีกหลายครั้ง จนหมีป่าลายขาวดำสิ้นชีพหมดพิษสง ก่อนที่เบ้งฮิวจะทันกลับมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน เห็นเบ้งฮิวถือดาบใหญ่ยืนเซื่องซึมอยู่ตรงนั้นเอง อุยเอี๋ยนจึงก้าวเข้าไปหวังจะใช้ง้าวที่ยืดยาวแล้วนั้นพาดลำคอ แสดงความเป็นผู้มีชัยชนะอย่างเหนือชั้น
ทันใดนั้น ดาบใหญ่ของเบ้งฮิวพลันเหยียดออกด้วยกลไกเช่นกัน ดาบใหญ่ที่อยู่ห่างระยะสามก้าวแท้ๆ กลายเป็นง้าวยาวเฉียดกระแทกหน้ากากปีศาจหลุดร่วง แล้วพาดวางเข้าที่ลำคอของอุยเอี๋ยนเสียก่อนแล้ว กลับพลิกเป็นฝ่ายมีชัยได้อย่างคาดไม่ถึง ทำเอาอุยเอี๋ยนใบหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าคนเถื่อนก็มีกลไกในอาวุธเช่นเดียวกัน
เสียวเอี่ยนจื่อพอรับรู้เบื้องหลังความเป็นมาของชนเผ่าโบราณก่อนที่จะกลับกลายมาเป็นม่านก๊ก ทำให้คาดเดาได้ว่า ตำราคัมภีร์ยุทธ์ของชนเผ่าย่อมมีความลึกซึ้งพิสดาร สิ่งประดิษฐ์ซุกซ่อนกลไกพิสดาร ย่อมเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย เฉกเช่นกันกับที่ฮองเย่อิงสร้างความได้เปรียบด้านสิ่งประดิษฐ์ให้กับกองทัพจ๊กก๊กตลอดมา
เมื่อทั้งสองฝ่ายเอาชัยได้ฝั่งละหนึ่งรอบเช่นนี้ การตัดสินแพ้ชนะในการประลองรอบที่สาม ย่อมตกเป็นภาระของราชันย์เบ้งเฮ็กที่ดูบึกบึนแข็งแกร่งดั่งยักษ์ปักหลั่น และขุนพลวิหคสวรรค์ที่แม้จะมีโครงร่างสูงใหญ่ แต่ยังอ้อนแอ้นกว่าตามวิสัยอิสตรี เสียแล้วกระมัง
…
เบ้งเฮ็กกระตุุ้นกระบือขาว กวัดแกว่งขวานด้ามสั้นออกมาที่ลานประลอง ด่าท้าทายเสียวเอี่ยนจื่อ ขุนพลวิหคสวรรค์ แม่ทัพจ๊กก๊กที่ไม่เคยมีประวัติเรื่องการสู้รบบนพาหนะมาก่อน ทำให้นางแอ่นต้องยื่นมือหยิบยืมทวนอสรพิษมาจากเตียวเปา
อันที่จริง นางแอ่นย่อมคุ้นเคยกับทวนอสรพิษเป็นอย่างดี เพราะใช้เป็นอาวุธคู่กายในช่วงที่ปลอมตัวเป็นเตียวหุยมาหลายสิบปี แต่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้ จึงคาดเดาไปว่า เสียวเอี่ยนจื่อเป็นน้องสาวของเตียวหุย ย่อมเรียนรู้เพลงทวนของพี่ชายมาบ้าง
ทวนยาวปะทะกันกับขวานประสานโล่ไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่า ท่วงท่าของเบ้งเฮ็กสอดคล้องกันกับควายเผือกเขาโง้งเป็นหนึ่งเดียวกัน แตกต่างจากเสียวเอี่ยนจื่อที่ใช้เพียงม้าศึกธรรมดา จึงสร้างรอยแผลผิวเผินได้ไม่น้อย ยังดีที่นางแอ่นมีพลังมังกรคืนสภาพ ทำให้ไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ทำให้นางแอ่นมิอาจไม่ใช้กระบวนท่าไม้ตายเพื่อสร้างความได้เปรียบ เป็น “พลังราชสีห์คำราม” อันเลื่องชื่อของขุนพลฟ้าคำรามในอดีต
เสียงร้องดังกึกก้องกระทันหัน ทำให้สัตว์เดียรฉานตรงหน้าตกใจสะบัดหน้าหนี นางแอ่นจึงใช้ทวนอสรพิษตวัดลำคอของควายเผือกขาดลึก เบ้งเฮ็กพอเสียที ก็กระโดดขึ้นจากพาหนะคู่ใจ ลอยตัวตั้งโล่เหวี่ยงขวานเข้าใส่ คล้ายดั่งยักษ์รามสูรขว้างขวานหมายตัดร่างนางมณีเมขลา แต่นางแอ่นรีบพุ่งตัวขึ้นสูงกว่า แล้วปักทวนลงมาที่ช่องว่างกลางหลัง
เสียงทึบดังขึ้น พร้อมร่างเบ้งเฮ็กที่ร่วงหล่นลงกับพื้นดินพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่กลางหลัง ยังดีที่เสียวเอี่ยนจื่อมิได้ประสงค์ร้าย จึงใช้ด้ามทวนกระแทกลง แทนที่จะเป็นปลายทวน มิเช่นนั้น ด้วยกระบวนท่านี้ ทวนอสรพิษคงทะลุร่างราชันย์แดนเถื่อนไปแล้ว
ครานี้ เบ้งเฮ็ก เบ้งฮิวไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในผลการประลองสามรอบ กลับส่งสัญญาณให้กองทัพม่านก๊กบุกโจมตีฝ่ายตรงข้าม หวังเอาชนะด้วยกำลังพลแทน อุยเอี๋ยน เตียวเปาที่รอคอยอยู่แล้ว จึงนำทหารต่อสู้ประจัญบานกันอย่างสุดกำลังเช่นกัน
การสู้รบตามรูปแบบสงครามผ่านไปร่วมครึ่งค่อนวัน จนเข้าพลบค่ำ เป็นทัพม่านที่ต้านไม่ไหว ต้องล่าถอยหลบหนีเข้าป่าดงพงไพรลงใต้ต่อไปอีก เลือกที่จะไม่กลับคืนเมืองหลวงหลงเส ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตประชาชนและบ้านเมือง พวกเสียวเอี่ยนจื่อบุกยึดครองเมืองได้แล้ว ค้นพบตัวประกันทั้งหลาย อันได้แก่ อุยหลิงฉี เล่าเอ๋ง เล่าลี สามแม่ลูก คงขาดแต่เล่าเสี้ยน จูกัดเจี๋ยม ที่คาดว่าถูกขังแยกออกไปก่อนหน้าแล้ว จึงจัดคนให้อารักขาครอบครัวของกษัตริย์เล่าปี่ให้อยู่แต่ในเมืองหลวงนี้ก่อน
เพราะมีคำกล่าวว่า ม่านก๊กหรืออาณาจักรเพงายใหม่นั้น เกิดจากการรวมตัวกันของสี่จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ อันได้แก่ เบ้งเฮ็กแห่งเมืองหลวงหนงเส-จ้าวแห่งเวทมนตร์ โต้สู้แห่งขุนเขาอิมตองสัน-จ้าวแห่งพิษร้าย บกลกแห่งพงไพรปัดลับต๋อง-จ้าวแห่งสัตว์ป่า และลุดตัดกุดแห่งแว่นแคว้นออโกก๊ก-จ้าวแห่งนักรบ ดังนั้น สงครามยังคงต้องดำเนินต่อไป นี่เพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วนของอาณาจักรเท่านั้นเอง
…
สายข่าวรายงานว่า เบ้งเฮ็กยกพวกหลบหนีไปอยู่กับโต้สู้ จอมพิษแห่งเขาอิมตองสัน อีกฟากฝั่งของเทือกเขา ชนเผ่ากลุ่มนี้เป็นชาวดอยที่เป็นพรานไพร อยู่อาศัยกันตามถ้ำ และหมู่บ้านกระจัดกระจายบนภูเขา คล้ายคลึงกันกับเผ่าตีด้านเหนือ ทางเข้าออกรายล้อมป่ามรณะที่มีหมอกล่าวิญญาณปกคลุม สัตว์แมลงมีพิษ และหนองน้ำพิษขวางกั้น นับเป็นสมรภูมิตั้งรับอย่างดีที่ยากจะรุกล้ำทำลายโดยง่าย โดยเฉพาะยามนี้ เบ้งเฮ็กยังเสริมเติมความร้ายกาจด้วยค่ายกล และกับดักพิสดารอีกมากมาย
เสียวเอี่ยนจื่อจึงสั่งการให้กองทหารพักรอตั้งค่ายทหาร เพื่อสำรวจค่ายกลกับดักดังกล่าว และให้หมอใหญ่ฮ่วมอาศึกษาหาตัวยาป้องกันพิษร้ายทั้งปวงเสียก่อน ฮ่วมอาใช้เวลาอยู่ไม่นาน ก็ค้นพบหนทางแก้ไข นั่นคือ ผลพุทราสด ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่มีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการเลือดคั่ง แก้โรคบิด และขับพยาธิเส้นด้าย อันเป็นต้นเหตุของพิษร้ายแห่งหนองน้ำนั่นเอง
“สัตว์แมลงมีพิษย่อมสามารถใช้ยาผงยางเถาวัลย์พิษได้เช่นเคย จึงคงเหลือแต่หมอกควันล่าวิญญาณที่ยังจนใจอยู่” ฮ่วมอากล่าวในที่ประชุมทหารในขอบเขตที่ตนดูแล
“ในเมื่อฟันฝ่าเข้าไปไม่ได้ เพราะหมอกควันและค่ายกลกับดัก ก็ใช้ไฟเผาไล่ให้พวกมันออกมา เหมือนดั่งคราวที่ถล่มชนเผ่าตีเลยละกัน” อุยเอี๋ยนเสนอความคิดที่บ้าระห่ำที่สุด
เสียวเอี่ยนจื่อจนใจ ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ตกลงไปตามนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลานาน อุยเอี๋ยนจึงให้กวนหิน เตียวเปา เอียวหงี นำสามกองทัพแยกกันจุดไฟเผาทำลายป่าดงดิบและแนวเทือกเขาเป้าหมาย เกิดเป็นมวลหมู่ควันไฟทึบดำคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ค่ายกลกับดักถูกทำลายล้างไป แม้แต่หมอกควัน หนองน้ำ หรือสัตว์พิษทั้งหลายก็ถูกแรงไฟเผาผลาญไปสิ้น จนลุกลามไปถึงแหล่งที่อยู่อาศัยบนขุนเขาแล้ว
ฝ่ายโต้สู้ เบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว คาดไม่ถึงว่า กองทัพชาวฮั่นจะป่าเถื่อนดุดันเช่นนี้ ถึงกับทำลายทรัพยากรป่าไม้นับร้อยๆปี เพื่อเอาชัยในสงคราม แตกต่างจากชนเผ่าแดนใต้ที่หวงแหนสิ่งเหล่านี้เหนือชีวิต จึงได้แต่วิ่งหนีตายกันออกมาเช่นกัน อุยเอี๋ยนจึงนำกองทัพพายุคลั่งซึ่งมีทั้งกระเช้าลอยฟ้า กระปุกเคลือบดินระเบิด และกองทหารติดปีก เข้าร่วมประจัญบานจากที่สูงอีกครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ ทุ่นระเบิดได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะฮ่วมอาได้ค้นพบแหล่งน้ำมันดิบที่ทำให้พลังการทำลายรุนแรงมากขึ้น
การศึกครั้งนี้ ทำให้โต้สู้ถูกระเบิดตายในสมรภูมิ ทหารม่านและชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก หากแต่พวกเบ้งเฮ็กจำนวนหนึ่งก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อีกครั้ง เนื่องจากยุทโธปกรณ์ทางอากาศได้แสดงจุดอ่อนให้ปรากฏ นั่นคือ การพึ่งพากระแสลมในการบังคับทิศทางที่ทำให้กองทัพพายุคลั่งต้องลอยห่างไปจากสมรภูมิต่อหน้าต่อตา และกระเช้าใบหนึ่งยังเกิดระเบิดขึ้นเอง เพราะหลุดลอยเข้าใกล้เปลวไฟร้อนแรง
…
กองเพลิงลุกไหม้เผาผลาญป่าไม้และเทือกเขา จนท้องฟ้ายามค่ำคืนกลายเป็นสีแดงฉานอยู่หลายวัน กองทัพจ๊กก๊กยังไม่ทันได้เคลื่อนทัพคืบหน้า เพราะคอยควบคุมเปลวไฟ ไม่ให้ลุกลามมาทางเมืองหลวงหนงเส จนสายข่าวก็เข้ามารายงานว่า เบ้งเฮ็กบรรจบทัพเข้ากับบกลก จ้าวแห่งสัตว์ป่า และลุดตัดกุด จ้าวแห่งนักรบ ที่กำลังเดินทางเข้ามาใกล้แล้ว เป็นสามจอมทัพที่เหลือแห่งม่านก๊กร่วมมือกันทำสงครามใหญ่กับชนชาวฮั่นผู้รุกราน
เนื่องจากการเผาทำลายป่าไม้เทือกเขาเป็นการผิดขนบธรรมเนียมอย่างร้ายแรงของชาวป่าชาวดอย เมืองต่างๆจึงรีบยกกองทัพของตนเข้ามาช่วยเหลือ ราวกับการเข้าร่วมสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ กองทัพบกลกเป็นสัตว์ป่าดุร้าย อันได้แก่ ช้าง เสือ กระทิง แรด และหมาป่า รุกคืบมาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ กองทัพลุดตัดกุดเป็นนักรบเกราะหวาย มีความคล่องตัวสูง และฟันแทงไม่เข้าด้วยอาคมยันตระอีกชั้นหนึ่ง เคลื่อนทัพมาทางตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เบ้งเฮ็กระดมกองทัพอื่นๆที่เหลือ ตั้งรอรับกำลังพลเพิ่มเติมอยู่ทางทิศใต้ พร้อมเริ่มต้นอภิมหาสงครามแห่งอาณาจักรเพงายใหม่ด้วยการใช้เวทมนตร์อาคม แสดงอิทธิฤทธิ์บั่นทอนกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามไปพลางๆ
…
เบ้งเฮ็กใช้คทาทองคำประกาศิต ทำพิธีเรียกพายุฝนดับกองไฟบนเทือกเขาก่อน แล้วโหมกระหน่ำเข้าใส่ค่ายทหารฝ่ายจ๊กก๊กอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง สร้างความอ่อนล้าให้กับฝ่ายตรงข้ามให้ถึงที่สุด ค่อยสั่งบุกด้วยสามกองทัพสามทิศทาง มิให้ทันได้ตั้งตัว อุยเอี๋ยน กวนหิน เตียวเปา แยกย้ายกันรับมือท่ามกลางสายฝน แต่มิอาจต้านรับการโจมตีของสัตว์ร้ายนานาชนิด กองทัพนักรบเกราะหวาย และนักรบเพงายใหม่ที่เหลือ จนต้องถอยกลับมาตั้งรับที่ค่ายทหารเช่นเดิม และยิ่งซ้ำเติมด้วยข่าวทหารที่แจ้งว่า เมืองหลวงหนงเสถูกยึดกลับคืนไปแล้วด้วยฝีมือของแมงมุม นักรบเบญจพิษผู้ลึกลับ
การทำศึกภายใต้แรงกดดันของสายฝนที่โหมกระหน่ำ ผสานกับเสียงขลุ่ยน้ำเต้า แตรเขาวัว เครื่องดนตรีท้องถิ่นที่ดังกระหึ่มมาจากรอบด้าน แสดงถึงแรงต่อต้านที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นข้อเสียเปรียบที่ทหารจีนไม่คุ้นเคย ฮ่วมอาต้องทำงานด้านการแพทย์อย่างหนัก เพื่อยับยั้งเชื้อโรค และพิษร้ายที่ปะปนมากับละอองน้ำ ในขณะที่เอียวหงีก็วุ่นวายกับการจัดสรรดูแลเสบียงยุทโธปกรณ์ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยปลอดภัย ส่วนแม่ทัพนายกองคนอื่นๆก็พลอยร้อนใจไม่น้อย ยิ่งภายหลัง ยังเกิดข่าวว่า เผ่าเย่ ผู้ทรงอิทธิพลแดนใต้ฝั่งตะวันออก อาจจะมาเข้าร่วมกองทัพชนเผ่าด้วย เพราะไม่พอใจในการเผาทำลายป่าเขาเช่นกัน จนเสียวเอี่ยนจื่อต้องทบทวนแผนล่าถอยด้วยความอับจนแล้ว หากมิได้บุคคลสำคัญสองระลอกที่มาแสดงตัวช่วยเหลือได้ทันเวลา
กลุ่มแรกเป็นม้าต้าย ม้าเจ๊ก ที่แอบลักขโมยคทาทองคำออกมาจากปะรำพิธีเรียกฝนของเบ้งเฮ็กอย่างอุกอาจยิ่งนัก และมอบตัวสวามิภักดิ์ถึงค่ายทหารฝ่ายจ๊กก๊กอีกคำรบหนึ่ง
นับจากคนทั้งสองถูกนักบวชจอมเวทย์เสกให้พ้นจากอาณาจักรอิวจื่อ กลับพบว่า ถูกส่งมายังดินแดนเพงายใหม่ก่อนช่วงเวลาที่เกิดสงครามต่อกันไม่นาน พวกมันรู้ตัวว่ามีชนักติดหลัง ได้แต่ปะปนเข้าค่ายทหารม่านก๊ก หวังทำคุณไถ่โทษขบถต่อจอมทัพขงเบ้ง จึงรอจนได้จังหวะบุกเข้าปะรำพิธี แสดงฝีมือชิงของวิเศษออกมาจนได้
เมื่อเวทมนตร์ถูกทำลาย พายุฝนจึงค่อยๆซาลง จนท้องฟ้าใสสว่างกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง บุคคลสำคัญระลอกสองพลันมาเยือน เป็นเบ้งเจียด พี่ชายของเบ้งเฮ็ก ซึ่งมิได้เห็นด้วยกับการทำสงครามระหว่างดินแดนมาโดยตลอด
แต่เดิม เขาเคยเป็นผู้นำเผ่าตามลำดับอาวุโส แล้วยอมสละบัลลังก์ให้เบ้งเฮ็กที่ทะเยอทะยานสูงกว่า เพื่อปลีกตัวออกไปฝึกฝนวิชาในตำราคัมภีร์โบราณเพิ่มเติม หวังกลับมาลดทอนความเสียหายของอาณาจักรเกิดใหม่ตามความคิดของตนเอง
…
เมื่อมีเบ้งเจียดมาช่วยให้ข้อมูลทางทหาร เสียวเอี่ยนจื่อจึงทำงานได้ง่ายขึ้น สั่งการให้อุยเอี๋ยน กวนหิน เตียวเปา จึงรีบนำทัพบุกเข้าโจมตีกองทัพสัตว์ร้ายของบกลกในทันที
กองทัพที่ผสมผสานด้วยสัตว์ป่าอันดุร้าย ตั้งแต่ ช้าง เสือ กระทิง แรด และหมาป่า แม้ว่าจะดุดันแข็งแกร่ง แต่ก็มิได้เชื่องเชื่อ หรือได้ประโยชน์ด้านกำลังใจจากสถานการณ์ที่ผ่านมามากนัก ทำให้ฝ่ายจ๊กก๊กจงใจตั้งเป็นเป้าหมายเริ่มต้น เห็นบกลกถือง้าวทรงยาว ขี่ช้างเผือกนำกองทัพสัตว์ป่าออกมาด้วยตนเองอยู่ในระยะไกล
กระเช้าลอยฟ้าที่จอดรอท่าอยู่นาน เพราะไม่อาจใช้ในยามมีพายุฝน ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง กองทัพพายุคลั่งเปิดศึกทุ่นระเบิดลงมาจากฟากฟ้า สร้างความแตกตื่นให้กับบรรดาสัตว์ร้าย จนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน และอุยเอี๋ยนก็ไม่รอช้าที่จะร่อนตัวลงมาด้วยปีกเหล็ก และยิงใส่เข้าซอกคอของบกลกเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ด้านล่างที่เหลือ ก็เป็นหน้าที่ของกวนหิน เตียวเปา ในการปิดฉากศึกกองทัพสัตว์ร้ายในรายละเอียดต่อไป
กองทัพจ๊กก๊กกำลังฮึกเหิม ถูกสั่งการให้รั้งรอด้วยเชิงยุทธศาสตร์ให้ถึงค่ำคืนก่อน เพื่อให้ข่าวทหารแพร่สะพัด ความพ่ายแพ้ของกองทัพบกลก พลิกเปลี่ยนแรงกดดันให้กลับไปสู่ฝ่ายม่านก๊กอย่างรู้สึกได้ชัด สังเกตได้จากพลังเสียงขลุ่ยน้ำเต้าแตรเขาวัวที่แผ่วเบาคล้ายเกิดความสับสนวุ่นวายใจ จนถึงยามสาม นางแอ่นค่อยส่งกองทัพสามขุนศึกออกไปโจมตีกองทัพเกราะหวายของลุดตัดกุดที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีเพงายใหม่
ปกติ การรบพุ่งในยามราตรีมิใช่ความคุ้นเคยของชาวใต้ และไฟคือศัตรูอันฉกาจฉกรรจ์ของนักรบเกราะหวาย นางแอ่นจึงจงใจส่งกองทัพพายุคลั่งไปบุกถล่มทางอากาศในยามค่ำคืน ทำให้กองทหารลุดตัดกุดปั่นป่วนวุ่นวาย ต่างรีบเร่งสวมเกราะวิ่งหนีตายออกมาจากค่ายพัก เปลวไฟย่ิงลามเชื่อมกับน้ำมันบนเกราะหวายทำให้ลุกลามเผาไหม้อย่างน่าสยดสยอง เพราะผิวหนังที่ทาน้ำมันสักยันต์อาคมกลับคล้ายเติมเชื้อไฟให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ด้านล่าง กองทัพของกวนหิน เตียวเปา ยังเสริมเติมความรุนแรงของกองไฟด้วยกลุ่มสัตว์ป่าที่เพิ่งถูกจับตัวมาจากกองทัพบกลก แต่ละตัวถูกผ้าชุบน้ำมันผูกมัดกับหางไว้พร้อมจุดไฟ ทำให้สัตว์ร้ายเตลิดหนีอาละวาดไปเบื้องหน้า พาให้กองทัพเกราะหวายติดไฟลุกลามเป็นทอดๆอย่างรวดเร็ว ไม่แตกต่างจากกองไฟที่เคยเผาไหม้เทือกเขาอิมตองสันเมื่อหลายวันก่อน แม้แต่จอมทัพลุดตัดกุดเองก็พลอยตกตายในกองเพลิงไปด้วย
เพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้น กองทัพอาณาจักรเพงายใหม่ถูกถล่มเสียหายอย่างต่อเนื่องไปถึงสองทัพใหญ่ โดยที่ฝ่ายจ๊กล้มตายน้อยมาก ทำให้กองทัพหลวงของเบ้งเฮ็กระส่ำระสาย ยิ่งเบ้งเจียดปรากฏตัวกล่าวโทษของน้องชายทั้งสองบนกำแพงค่ายพร้อมคทาทองคำ ยิ่งทำให้บางส่วนเปลี่ยนใจหันมาสวามิภักดิ์ต่อผู้ทรงอำนาจคนใหม่แทน
เบ้งเฮ็กตระหนักถึงความอับจนหนทาง ต่อสู้ต่อไปคงไม่อาจเอาชนะได้ด้วยการศึก จึงได้แต่ยื่นข้อเสนอสุดท้าย ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และส่งคืนตัวประกันที่เหลือให้ เสียวเอี่ยนจื่อไม่ต้องการให้ข่าวเล่าเสี้ยนตัวจริงรั่วไหล จึงยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว
เบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว มัดตัวเองยอมมอบตัว และแจ้งเฉลยว่า ที่จริง เล่าเสี้ยน จูกัดเจี๋ยม หลบหนีพวกนักรบเบญจพิษไปตั้งแต่ที่เขตชายแดนแล้ว เสียวเอี่ยนจื่อจึงสั่งควบคุม เบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว เอาไว้เป็นอาคันตุกะพิเศษ เพื่อเชื้อเชิญให้เดินทางกลับนครเซงโต๋ พร้อมทั้งยกให้เบ้งเจียดครองเมืองหลวงหนงเส เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรเพงายใหม่แทน
…
งานฉลองสงบศึกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในยามค่ำคืนสุดท้าย โคมลอยดวงประทีปพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ภายในท้องพระโรงในวังหลวง ถูกจัดโต๊ะสำรับอาหารคาวหวานตามแบบฉบับชนชาติจีน เสียวเอี่ยนจื่อกับอุยเอี๋ยนถูกจัดให้นั่งในตำแหน่งประธานแทนที่ “แม่ทัพใหญ่ซึ่งป่วยไข้เรื้อรัง” ขุนศึกจ๊กก๊กอยู่ทางด้านซ้าย เบ้งเจียดสามพี่น้องอยู่ทางด้านขวา ด้านหลังเป็นกลุ่มตัวประกัน อันได้แก่ อุยหลิงฉีและรัชทายาทน้อยทั้งสอง
ที่จริง ยังขาดบุคคลมีชื่อสองคน นั่นคือ กิ้งก่าและแมงมุม นักรบเบญจพิษสองคนสุดท้าย ซึ่งนางแอ่นเคยลองสอบถามเบ้งเจียดกับคนสกุลม้าแล้ว แต่พวกมันก็ไม่รู้ว่าตัวตนของคนทั้งสองนั้นคือใคร ส่วนเบ้งเฮ็กก็เพียงแต่ตอบสั้นๆว่า คงหลบหนีไปแล้ว
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่นครื้นเครง แม้จะไม่มีขงเบ้งมาร่วมงาน การแสดงพื้นเมืองของชนเผ่าม่านก๊กผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นแสดงให้กับอาคันตุกะผู้มีชัย เบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว เห็นเป็นโอกาสอันดี จึงหยิบฉวยดาบเคียวสั้นออกจากที่ซ่อน กระโจนเข้าจับตัวอุยไทเฮาและรัชทายาท หวังจะใช้เป็นตัวประกัน
แต่แล้ว เสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังขึ้นพร้อมแสงสว่างวูบใหญ่คล้ายสายฟ้าพุ่งออกมาจากคทาทองคำในมือของราชันย์ใหม่เบ้งเจียดตรงไปยังเบ้งเฮ็กเบ้งฮิว แล้วร่างทั้งสองก็หายลับสายตา ไม่เหลือแม้เศษซากร่องรอยอันใด
เบ้งเจียดลุกขึ้นกล่าวขออภัยในทันที พร้อมอธิบาย “คทาทองคำเป็นของวิเศษ นอกจากเรียกลมเรียกฝนแล้ว ที่จริง ยังใช้เป็นอาวุธสังหารผู้คนได้ด้วย สมัยโบราณจึงยกย่องให้ผู้ครอบครองเป็นราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เบ้งเฮ็กมิได้ศึกษาลึกซึ้งในอักขระคัมภีร์โบราณ จึงไม่รู้จักการใช้งานให้ครบถ้วน แถมยังดึงดันก่อเหตุวุ่นวายไม่จบสิ้น ข้าน้อยจึงจำเป็นต้องจัดการให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภัยร้ายต่อไปในภายหน้า”
นางแอ่นงงงันวูบ เพราะเมื่อเบ้งเฮ็กสิ้นชีพ เท่ากับเบาะแสของเล่าเสี้ยน จูกัดเจี๋ยมก็พลอยขาดหายไปด้วย แต่ไม่อาจเอ่ยปาก จึงจำต้องโบกมือจบเรื่องราว พอวันรุ่งขึ้น ก็รีบยกพลออกจากเมืองหลวงหนงเส เพื่อเสาะหาฮ่องเต้ตัวจริงต่อไป
…
จนกระทั่ง กองทัพจ๊กก๊กมาถึงริมแม่น้ำลกซุยใกล้พลบค่ำ พลันท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเสียงฟ้าคะนองแต่ปราศจากสายฝนโปรยปราย กลางลำน้ำ เห็นปีศาจฮองเย่อิง และบรรดาทหารจ๊กก๊กที่ตกตายไปด้วยผลพวงของสงครามสองชนเผ่าในครั้งนี้ต่างพากันมาแสดงตัวยืนเรียงราย สีหน้าดุดัน ส่งเสียงอื้ออึงน่ากลัว คล้ายยังมีเรื่องค้างคาใจให้ต้องสะสางก่อน
นางแอ่นฉุกคิดได้จึงให้ทหารเสบียงนำเอาอาหารพื้นเมืองที่ทำเป็นแป้งกลมสีขาวขุ่นซึ่งเป็นของโปรดของปราชญ์หญิงเย่อิง มาตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนพร้อมประกาศว่า “ข้าได้นำหัวของชาวม่าน (หม่านโถว)เหล่านี้ มาเซ่นสังเวยให้แล้ว จงอโหสิให้กันเถิด”
เห็นปีศาจฮองเย่อิงก้าวออกมาข้างหน้า คล้ายกล่าวคำพูดอันใดต่อนางแอ่นเป็นการลับเฉพาะ แล้วเลือนหายไป พร้อมกับภูตผีปีศาจอื่นๆ แล้วท้องฟ้าก็กลับเป็นปกติดังเดิม นางแอ่นขบคิดหนักกับข้อมูลดังกล่าว จนฮ่วมอาต้องร้องเตือนเบาๆ นางจึงค่อยโบกมือให้กองทัพจ๊กก๊กเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำลกซุยไปในยามราตรีนั้นเอง
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย