9 พ.ย. 2021 เวลา 01:15 • นิยาย เรื่องสั้น
7.16. บุพนิมิตลิขิตอสูร
ฮิมิโกะ ราชินีหมู่เกาะสุริยเทพ - อ้วนซง ขุนพลคนนอก - แนแฮ ผู้นำดินแดนซิลลา
สถานการณ์ชายแดนนอกด่านด้านเหนือของวุยก๊กกำลังมีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เผ่าเซียนเปยภายใต้การปกครองของประมุขคนใหม่นามห่อปี แผ่ขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจอมทมิฬอันดับหนึ่งในดินแดนทุ่งหญ้าทะเลทราย สร้างความกังวลใจต่อเผ่าอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงกัน
คาดไม่ถึง ทัวปาลี่เวย อดีตผู้นำเผ่าเซียนเปยซึ่งเคยมีข่าวเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ขบถปราสาทนกยูงเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น กลับแสดงตนขึ้นมาอีกครั้งในฐานะผู้นำเผ่าอูหวนใหม่ และประกาศตัวไม่ยอมรับห่อปีที่กระหายสงครามเกินไป แตกต่างจากผู้นำรุ่นก่อนๆ
เดิมที เผ่าอูหวนนั้นเคยถูกพวกโจโฉทำลายล้างเผ่าพันธุ์มานานหลายสิบปีแล้ว ผู้คนล้มตายไปมากมาย ที่เหลือก็ล้วนอพยพแยกย้ายกันไป กว่าจะรวมตัวกันกลับคืนมาได้จำนวนหนึ่ง เพาะบ่มยุวชนรุ่นใหม่ กลับเผชิญกับแรงกดดันของเผ่าเซียนเปยที่เร่งขยายอาณาเขตอย่างดุดัน ย่อมเสี่ยงต่อการล่มสลายง่ายกว่าขุมกำลังนอกด่านแห่งอื่นๆ
ดังนั้น พอทัวปาลี่เวยสอดแทรกเข้ามาเช่นนี้ จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะทัวปาลี่เวยมีชื่อเสียงดีงาม เป็นที่รักใคร่ของชนชาวท้องถิ่น สามารถเกลี้ยกล่อมลูกน้องเก่าที่ยังจงรักภักดีให้มาเป็นพวกเดียวกัน และเจรจาเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าซงหนู มีโอกาสที่จะสร้างสมดุลย์อำนาจสามเส้าในดินแดนทุ่งหญ้าทะเลทราย พร้อมกับผลักดันให้เผ่าอูหวนใหม่เข้มแข็งขึ้นอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นชนเผ่าอันดับสามอีกครั้ง
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ห่อปียิ่งกังวลใจ รีบเร่งเผด็จศึกรอบด้าน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเผ่าด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่วุยก๊กที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ไม่นาน และยินยอมรับฟังแผนการที่มาจากสุมาอี้ กุนซือคู่แผ่นดินของกษัตริย์โจผี นั่นคือการแสร้งกุเรื่องราวจะร่วมเข้าตีจ๊กก๊ก แต่ที่จริงคือการโจมตีเผ่าเกี๋ยง เพื่อหวังเปิดอาณาเขตให้ครอบคลุุมถึงเส้นทางทะเลทรายใหญ่ จนทำให้ผู้นำตองถูต้องยอมละทิ้งม้าเฉียวไว้ที่ทะเลทรายไกลโพ้น เพื่อนำทัพใหญ่กลับมาป้องกันดินแดนของตนเองโดยด่วน กลายเป็นศึกยืดเยื้่อระหว่างเผ่าเซียนเปยกับเผ่าเกี๋ยงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่กลับเปิดช่องว่างครั้งใหญ่ทางด้านตะวันออก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญแต่ดั้งเดิม
ทัวปาลี่เวยจึงชักชวนผู้เฒ่าหินผา สหายเก่าแห่งเผ่าซงหนู ร่วมกันปล้นชิงดินแดนเซียนเปย ซึ่งหลงเหลือเพียงขุนพลบูตูเกน ทายาทรุ่นหลังของอดีตผู้นำเผ่าคนดังตันซิห้วย เฝ้ารักษาเมืองอยู่ กลายเป็นเผ่าเซียนเปยตกอยู่ในวงล้อม โดนตีกระหนาบสามทิศ จนต้องรอขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรวุยก๊กที่กำลังเล่นศึกยุทธนาวีกับง่อก๊กอีกครั้ง
เทียนอู ขุนพลพยัคฆ์เหนือแห่งกิจิ๋ว ย่อมไม่ประมาทต่อสถานการณ์รบเช่นนี้ เพราะสงครามของพวกชนเผ่าอาจลุกลามมาทางเขตแดนใกล้เคียงโดยง่าย จึงสั่งการให้เตาจี๋แห่งเมืองเปงจิ๋ว กองซุนก๋งแห่งเมืองปักเป๋ง และอองกิ๋นแห่งเมืองเซียงเป๋ง เคลื่อนพลประชิดตรึงชายแดนในทันที เพียงได้รับคำสั่งจากเมืองหลวง สามารถเปลี่ยนเป็นการรุกเข้าคลี่คลายสถานการณ์ทางเหนือในทันที
แต่แล้ว เมื่อข่าวกษัตริย์โจผีพ่ายศึกยุทธนาวีให้กับพยัคฆ์หยกกังตั๋งอย่างย่อยยับแพร่สะพัดออกไป พร้อมการตายของเตียวเลี้ยว ขุนพลค้ำบัลลังก์แห่งวุยก๊ก ลดทอนความเชื่อมั่นในราชวงศ์วุยครั้งใหญ่อีกระลอกหนึ่ง สายข่าวถึงกับแจ้งให้ทราบว่า กองทัพเรือเผ่าวอก๊กแห่งหมู่เกาะสุริยะเทพที่ยึดครองเกาะทะเลเพลิงทัมราเมื่อสามปีก่อน กำลังมุ่งหน้ามาทางเมืองปักไฮ โดยมีผู้นำทัพคือ ท่านขุนพลจิน น้องบุญธรรมของเจ้าหญิงฮิมิโกะ ซึ่งสืบพบแล้วว่า ที่แท้จริงก็คือ อ้วนซง ทายาทผู้รอดชีวิตของจอมทัพอ้วนเสี้ยว
เทียนอูตระหนักว่า ตนเองกำลังติดพันอยู่กับความปั่นป่วนในแดนเหนือ มิอาจเคลื่อนพลไปดูแลพื้นที่ชายทะเลตะวันออกได้อีก และวุยก๊กก็เพิ่งสูญเสียกองทัพเรือไปกับศึกใหญ่แดนใต้อย่างใหญ่หลวง พวกต่างแดนจึงใช้จังหวะนี้รุกรานเข้ามา จึงได้แต่แจ้งข่าวให้เมืองหลวงตัดสินใจส่งคนไปรับศึกทะเลหลวงที่จุดยุทธศาสตร์ปากน้ำแทนตนเองโดยเร็ว
ยามกระทันหัน กษัตริย์โจผีกำลังโหยหาชัยชนะ จึงสั่งการให้ซิหลง สมุหกลาโหมคนใหม่ เป็นแม่ทัพใหญ่ สุมาอี้ สมุหนายกเป็นกุนซือ พร้อมกับสี่คุณชายรุ่นใหม่ นำกองทัพสิบหมื่นนายมุ่งสู่เมืองปักไฮ บรรจบกับเตียวคับ โจจิ๋น และกองทัพเรือห้าหมื่นนายจากเมืองหับป๋าและหัวเมืองฝั่งตะวันออก รับมือศึกทางทะเลที่กำลังจะเกิดขึ้น หวังใช้สมุนเอกอันดับต้นๆมาพิชิตศึกครั้งนี้ เรียกคืนขวัญกำลังใจให้กับวุยก๊กอีกครั้ง
สุมาอี้ขบคิด ช่วงจังหวะนี้ ดูคล้ายขุนพลสำคัญกระจัดกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ข้างกายพระราชา ยังมีกุยห้วย เตงงาย เป็นหลักช่วยรักษาการ ขุนพลนายทหารในสกุลโจสกุลแฮหัวยังมีเข้าออกอีกมากมาย น่าจะปลอดภัยไร้กังวล จึงมิได้ทักท้วงแต่อย่างใด
โจซอง หนึ่งในสี่คุณชายรุ่นใหม่ได้รับข่าวจากโจจิ๋น ผู้เป็นบิดาให้มาร่วมทัพทำศึกที่เมืองปักไฮ แต่ด้วยความที่เป็นคุณชายใจร้อนวู่วาม จึงไม่รั้งรอในกองทัพหลวง กลับนำพาซินเป บุตรซินผีที่เป็นองครักษ์ประจำตัว และผู้ติดตามไม่กี่คนควบม้าล่วงหน้ามาก่อน เพื่อท่องเที่ยวชื่นชมทิวทัศน์ชายทะเลยามเช้าเป็นการเปิดรับประสบการณ์แปลกใหม่
ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมหาดทรายทะเลใหญ่ พลันเห็นหญิงสาววัยสิบหกสิบเจ็ดปีในชุดชาวบ้านสามัญ กำลังจ้องมองกระจกในมืออย่างเพลิดเพลิน กลับรู้สึกพึงพอใจ และกวาดตามองว่าไร้ผู้คนพบเห็น จึงลงจากม้า เข้าไปหยอกล้อ และเรียกให้ผู้ติดตามจับตัวไปหวังเชยชมดอกไม้ข้างทางสักคราตามวิสัยคนพาล
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของหญิงสาวดังขึ้น ทำให้โจยอย สุมาสู สุมาเจียว และองครักษ์ประจำตัว เคาหงี บุตรชายเคาทูที่ลอบปลีกตัวจากกองทัพใหญ่ตามความคิดวัยหนุ่มคะนองเฉกเช่นกัน ได้ยินถนัดหู และเร่งมาสำรวจด้วยความสนใจใคร่รู้
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นลูกหลานคนมีอำนาจ จนจัดอยู่ในกลุ่มสี่คุณชายด้วยกัน แต่สุมาเจียวเคยผิดใจกับโจซอง เพราะเรื่องของอองหยวนจีในงานเลี้ยงพระราชทานมาก่อน จึงไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิม พอพบเห็นเรื่องราวบัดสียิ่งเสียกว่าครั้งก่อนอีก จึงชักชวนให้ช่วยกันขัดขวาง ก่อนที่โจซองจะกระทำเกินเลยต่อสาวน้อยผู้โชคร้าย ทำให้โจยอยกับเคาหงีพลอยต้องเข้าร่วมภารกิจไปด้วย เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้กับสกุลโจ
ฝีมือของคนทั้งสี่ไม่ธรรมดา บรรดาผู้ติดตามไม่อาจต้านทานได้ ต่างล้มลงบาดเจ็บโอดโอย จึงตกเป็นภาระของซินเปกับโจซองต้องจับคู่ต่อสู้กับสองพี่น้องสุมา แต่ก็ยังสูสีคู่คี่กันอยู่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่กล้าลงมือรุนแรงเกินเลย ผลักดันให้โจยอยกับเคาหงียืนคุ้มครองให้สาวน้อย จนกระทั่งได้ยินเสียงอึกทึกด้วยเสียงม้าควบมาจากระยะไกล ทั้งหมดจึงพากันหยุดมือ รอดูเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
เป็นฝูงทหารม้ากลุ่มใหญ่ นักรบมีรูปร่างเตี้ยเล็ก สวมหมวกโลหะปิดคลุมใบหน้า และใส่ชุดเกราะสีแปลกตา สามสิบกว่าคน ตัวหัวหน้าสมควรเป็นบุรุษมีหนวดเคราวัยกลางคนในชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่สะพายดาบยาวสั้นสองเล่มไว้ข้างเอว และที่ประหลาดตาก็คือ การรวบผมไว้ด้านหลังแบบหางม้า แทนที่จะบิดเก็บปลายจุกแบบจีน
สุมาเจียวสังเกตจากเครื่องแต่งกายของกลุ่มผู้มาเยือน จึงโพล่งขึ้น “แย่แล้ว เป็นกองทหารวอก๊กรุกล้ำมาถึงแผ่นดินใหญ่แล้วกระมัง”
เห็นตัวหัวหน้าชุดน้ำเงินเข้มโดดลงจากหลังม้า สั่งการด้วยภาษาต่างถิ่นด้วยน้ำเสียงดุดัน แล้วเหล่าทหารก็พากันใช้ดาบยาวฟันสังหารผู้ติดตามที่นอนบาดเจ็บอยู่จนตายสิ้น คงเหลือเพียงพวกโจซองสุมาสูทั้งหกที่ถูกล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
หัวหน้ากวาดตามองรอบหนึ่ง พลันซัดอาวุธลับเข้าใส่โจยอยเคาหงี พร้อมชักดาบยาวฟาดฟัน เคาหงีจึงใช้อาวุธออกมาตั้งรับ แต่ไม่อาจต้านทานได้ โดนกระแทกสลบไป ทำให้โจยอยต้องขยับปกป้องหญิงสาว เกรงว่าจะถูกทหารต่างแดนจับตัวทำร้าย
หากแต่หญิงสาวกลับก้าวออกมาพูดคุยเจรจากับตัวหัวหน้าเป็นภาษาต่างถิ่น ที่แท้ นางกลับเป็นพรรคพวกเดียวกันกับพวกทหารวอก๊ก ตัวหัวหน้ารับฟังเสร็จสิ้นพลันหันมองมาที่โจซองด้วยท่าทางมุ่งร้าย องครักษ์ซินเปประเมินว่า ไม่มีทางหลบหนี จึงได้แต่แสดงตน ก่อนจะถูกสังหารทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ “ช้าก่อน คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุตรของขุนนางสำคัญจากเมืองหลวง รุ่นลูกของสุมาอี้ เทียหยก และนายข้าแซ่โจ ลูกของโจจิ๋น”
ซินเปนับว่าสติปัญญาว่องไว จงใจบิดเบือนให้โจยอยกลายเป็นเทียบู ทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้ฐานะที่แท้จริงเปิดเผย ซึ่งอาจจะมีผลคุกคามต่อศึกสงครามเบื้องหน้า และอีกทางหนึ่ง เชื้อสายของเทียหยกที่เป็นขุนนางชั้นสูง สมควรที่จะเพียงพอไม่ให้ถูกฆ่าทิ้งง่ายดาย
เห็นหัวหน้านักรบกระซิบความอยู่กับสาวน้อยอีกพักใหญ่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแปร่งหู “เจ้าจงอยู่แจ้งข่าวที่นี่ พวกมันเป็นตัวประกันของกองทัพยามาไตแล้ว” สิ้นเสียงแล้วค่อยให้สัญญาณ พวกทหารจึงทุบทำร้ายซินเปให้หมดสติ และจับกุมคุณชายทั้งสี่ขึ้นเรือไป
ห่างออกไปทางน่านน้ำทะเลใหญ่เมืองปักไฮ ท้องฟ้าสดใสพลันมืดครึ้มฝนพรำ กองเรือศัตรูต่างถิ่นรุกเข้ามาให้เห็นแล้วสามสิบกว่าลำ เจ้าเมืองคนใหม่ที่มาแทนที่เตาสู ไม่ชำนาญการศึกทางน้ำ คิดเห็นว่า กองทัพเรือที่มีอยู่ น่าจะพอลดทอนความฮีกเหิมของฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง จึงส่งเรือรบเต็มอัตราเท่าที่มี ให้ออกไปรับมือที่ด้านนอกชายฝั่ง
พอขบวนเรือรบลอยพ้นระยะเสียงสัญญาณ ด้านหน้า พลันปรากฏภาพของขบวนเรือลำใหญ่มหึมาจำนวนมากมาย เรียงรายเป็นหน้ากระดานเสริมเติมเข้ามาอีกระลอกใหญ่ กองเรือวุยก๊กรุดหน้ามาไกลแล้วไม่อาจล่าถอยในทันที จึงเห็นภาพการบดขยี้ด้วยแสนยานุภาพทางเรือที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทัพเรือวุยก๊กคล้ายดั่งไข่ไก่กระแทกก้อนหิน เศษซากเรือรบและศพทหารลอยเกลื่อนทะเล ถูกคลื่นลมซัดพัดพากลับคืนเข้าฝั่งอย่างน่าสยดสยอง โดยทหารรักษาการณ์ไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้เลย
ฉากต่อมา เมื่อกองเรือวอก๊กเข้าสู่วิถีกระสุนแล้ว ย่อมต้องเป็นการสู้รบด้วยกองทัพปืนใหญ่ที่ถูกดัดแปลงพัฒนาให้ใช้กับก้อนหินเผาร้อน และทุ่นระเบิดเพลิง ซึ่งก็คือ ไหเคลือบบรรจุดินระเบิด เพื่อเพิ่มอานุภาพการทำลาย หากแต่ยามนั้นยังเป็นช่วงเวลาสาย ลมทะเลพัดสวนทางกับวิถีกระสุน ซ้ำยังมีลมฝนกระหน่ำไม่ขาดสาย ทำให้ปืนใหญ่ยิงออกไปได้ไม่ไกลนัก สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แถมยังโดนสายฟ้าฟาดทำลายไปบ้างราวกับโดนเทพยดากลั่นแกล้งซ้ำเติม
กองทัพเรือวอก๊กจึงประชิดถึงชายฝั่งโดยง่าย และเหล่าทหารรีบกรูออกมาจากลำเรือ แสดงให้เห็นว่า ที่แท้จริงแล้ว กองทัพวอก๊กมิใช่ไม่มีจุดอ่อน หากแต่จุดอ่อนนั้นคือการที่ไม่มียุทโธปกรณ์ระยะไกลนั่นเอง เพียงแต่วุยก๊กไร้ยุทธวิธี ไม่อาจเกาะกุมความได้เปรียบตรงนั้นเสียแล้ว จึงต้องสุ่มเสี่ยงกับการรบปะทะในระยะใกล้ ซึ่งกลับกลายเป็นจุดเด่นของกองทัพอสูรโพ้นทะเลจากเกาะสุริยเทพตามที่ร่ำลือกันมานาน
นักรบร่างเตี้ยเล็กจัดกระบวนทัพอย่างรัดกุม เดินเรียงรายเป็นหน้ากระดาน ทุกคนใส่ชุดเกราะสวมหมวกโลหะปิดบังใบหน้า ใช้ดาบตรงที่เรียวยาวกว่าดาบปกติสองเท่า ตรงเข้าฆ่าฟันผู้คนตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือชาวบ้านก็ตาม กระบวนท่าที่ใช้ออกเป็นเหมือนรูปแบบเดียวกัน รวบรัดแต่ทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก เพียงอึดใจเดียว ชายทะเลหน้าเมืองก็เต็มไปด้วยซากศพและเลือดเนื้อแหลกเหลว น่าสยดสยองยิ่งนัก
คำสั่งปิดเมืองรอกำลังหนุนถูกส่งออกไปโดยเร็ว เจ้าเมืองปักไฮมึนงงหวาดกลัวแทบคลั่ง ทหารข่าวรายงานมาอีกว่า ด้านใต้ยังมีกองทหารฝ่ายศัตรูราวห้าพันนายรุกประชิดใกล้ถึงประตูเมือง และเพิ่มเติมว่า ภายในเมืองคล้ายเกิดความวุ่นวายพร้อมกันหลายจุด คาดว่า มีทหารจารชนแฝงตัวปะปนมากับชาวบ้านที่อพยพเข้าเมืองเมื่อหลายวันก่อน กำลังฆ่าฟันทหาร และยึดครองจุดยุทธศาสตร์ภายในเมืองอย่างชำนาญพื้นที่ จนสุดท้าย ประตูเมืองสองด้านนั้น สูญเสียการควบคุม พวกวอก๊กสามารถรุกเข้าเมืองได้แล้ว
พายุฝนผ่านพ้นไปแล้ว ธงใหญ่สัญลักษณ์วุยก๊กถูกปรับเปลี่ยนเป็นธงรูปดวงอาทิตย์สีแดงฉานในทันที เสียงโห่ร้องประกาศชัยชนะดังขึ้นทั่วเมือง กองหน้าของทัพวอก๊กจากดินแดนไกลโพ้นทะเล สามารถยึดเมืองปากน้ำปักไฮ รุกคืบเข้าสู่ดินแดนวุยก๊กได้แล้ว
ไม่กี่วันต่อมา จึงเห็นการเคลื่อนย้ายกองทัพทางน่านน้ำอย่างต่อเนื่อง ฝูงเรือรบเดินทางไปมาจากเกาะทะเลเพลิงทัมราสู่เมืองปากน้ำปักไฮ บรรทุกกองทหารวอก๊กเข้ามาเพิ่มเติมเรื่อยๆ จนประเมินได้ถึงสี่หมื่นนาย และภายใต้การสั่งการของแม่ทัพใหญ่อ้วนซงและขุนพลจตุรธาตุ จึงเริ่มกระจายตัวยึดครองมณฑลเฉงจิ๋ว กองทัพอสูรโจมตีเมืองใด พายุฝนฟ้าคะนองมักโหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง ทหารประจำเมืองไม่อาจใช้ยุทโธปกรณ์สงครามต้านทานได้เหมือนปกติ จึงพ่ายแพ้โดยง่าย จนเหลือเป้าหมายต่อไปตามภูมิประเทศ ก็คือ เมืองแห้ฝือ มณฑลชีจิ๋ว ที่โจจิ๋น โจฮิวตั้งมั่นอยู่นั่นเอง
ณ กำแพงเมืองปักไฮ แม่ทัพใหญ่อ้วนซงในยามนี้ อายุใกล้สี่สิบปีแล้ว ภายนอก กลมกลืนราวกับเป็นชาววอก๊ก ร่างกายแข็งแรงบึกบึน ใบหน้าเย็นชา แววตาดุดันคล้ายยังคงความเคียดแค้นชิงชังแรงกล้าต่อผู้คนรอบข้าง จนมีรังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมจางๆ
เมื่อยี่สิบปีก่อนที่มันต้องหลบหนีการตามล่าของพวกโจโฉ ล่องเรือประมงน้อยลัดเลาะไปตามชายฝั่งทางเหนือ จำยอมปะปนกับกลุ่มโจรสลัด เพื่ออาศัยติดเรือมุ่งสู่หมู่เกาะสุริยเทพ แสร้งทำตัวเป็นพ่อค้าพลัดถิ่น เรียนรู้ภาษาและความเป็นอยู่รูปแบบใหม่ พบเห็นชนเผ่าต่างแดนกระจัดกระจายเป็นกลุ่มก้อน รบราฆ่าฟันกันเป็นประจำ เป็นสงครามเผ่าครั้งใหญ่ปะทุขึ้น อันเนื่องมาจากการสูญหายไปอย่างลึกลับของสามสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์
ตามข้อมูลที่เคยรับฟังมาจากพ่อค้าแซ่เตียว (เตียวล่อ-หัวขวานในโลกคู่ขนาน) ซึ่งอ้างตนว่า เป็นสหายรุ่นน้องของบิดาอ้วนเสี้ยว บอกเล่าตำนานเก่าแก่ที่กล่าวว่า ในอดีตกาล ท่านสุริยเทพได้นำกองทัพเรือพร้อมเด็กชายเด็กหญิงหลายพันคนที่หลอกลวงมาจากกษัตริย์จิ๋นซี อ้างเรื่องค้นหายาอายุวัฒนะที่เกาะเซียนเผิงไหล หลบหนีไปหมู่เกาะโพ้นทะเล ตั้งตนเป็นกษัตริย์ ปกครองชนเผ่าดั้งเดิมจนเกิดเป็นอาณาจักรโบราณ โดยมีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์สามชิ้น อันได้แก่ กระจกสะท้อนฟ้า (ปัญญา) ดาบสยบปฐพี (กล้าหาญ) และหยกสะกดวารี (เมตตา) ถือเป็นสมบัติสุดยอดที่ใช้ในการสืบทอดราชบัลลังก์
การปกครองสืบทอดมาหลายร้อยปี แต่แล้ว เหตุการณ์ศึกสายเลือดระหว่างกลุ่มเชื้อพระวงศ์กันเองเมื่อห้าสิบปีก่อน กลับทำให้ราชวงศ์โบราณสิ้นสุดลง และของวิเศษทั้งสามหายสาบสูญ เมื่อไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางจิตใจมาแสดง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับนับถือผู้อื่น เหล่าชนชั้นปกครองต่างแตกแยกตั้งตนเป็นอิสระ หันมาใช้กำลังพลมาตัดสิน จนเกิดเป็นสงครามเผ่าครั้งใหญ่ เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดมาได้เกือบหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว
ล่าสุด นักบวชหญิงลึกลับแห่งศาลเจ้าโบราณ อ้างเป็นเจ้าหญิงฮิมิโกะ ทายาทแห่งราชวงศ์โบราณประกาศการค้นพบกระจกสะท้อนฟ้า หนึ่งในสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงประกาศรวบรวมผู้คนที่ศรัทธาเลื่อมใส สร้างขุมกำลังใหม่ใช้ชื่อว่า ยามาไต (คนขี่ม้า) และนั่นคือเป้าหมายที่มันต้องการไปพบ เพราะว่ามันมีเบาะแสของสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือแล้ว หากผู้ใดค้นพบ ย่อมนำมาซึ่งอำนาจบารมีทัดเทียมได้กับเจ้าหญิงผู้ลึกลับเช่นกัน
ครั้งนั้น หลังจากที่อ้วนซงรับฟังเรื่องเล่าดังกล่าวจากพ่อค้าแซ่เตียว กล่าวถึงปริศนาที่ซ่อนของวิเศษโพ้นทะเลสองสิ่ง นั่นคือปักษาแดนฮั่น และพยัคฆ์แดนแพกเจ มันเคยพบกลไกในนกยูงทองแดง สัญลักษณ์ประจำตระกูล ภายในซุกซ่อนอัญมณีทรงคล้ายหยดน้ำ และจดจำเรื่องเล่าภายในสกุลอ้วนที่กล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของนกยูงทองแดงว่า สามารถควบคุมภัยพิบัติทางน้ำได้ พอนับเชื่อมโยงกันแล้ว เป็นไปได้อย่างมากว่า อัญมณีชิ้นนี้ ก็คือ หยกสะกดวารีที่ซ่อนอยู่ในปักษาแดนฮั่นตามคำปริศนานั่นเอง
ก่อนที่มันจะหลบหนีออกจากเผ่าอูหวนมานั้น เห็นว่า ตัวเองสิ้นไร้หนทางยึนหยัด ไม่อาจเก็บรักษาสัญลักษณ์นกยูงได้อีกต่อไป มันจึงเก็บเอามาแต่เพียงอัญมณีดังกล่าวซุกซ่อนติดตัว เพื่อนำไปทำการตกลงการค้าสักเรื่องหนึ่งที่หมู่เกาะโพ้นทะเลสักครา
มิคาด เพียงมันเดินทางเข้าสู่เขตแดนยามาไตก็ถูกเชื้อเชิญให้ไปพบกับท่านผู้นำเป็นการส่วนตัว เจ้าหญิงลึกลับเป็นอิสตรีอายุราวสี่สิบปีในชุดคลุมนักบวช อ้างว่า กระจกสะท้อนฟ้านั้น สามารถแสดงภาพเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ตามประสงค์ ราวกับมองเห็นอนาคต นางจึงรับรู้เรื่องราวที่อ้วนซงต้องการ และยินยอมร่วมมือแต่โดยดี เพราะกระจกวิเศษทำนายไว้แล้วว่า คนสกุลอ้วนคือผู้ที่ถูกสวรรค์กำหนดมาให้กับนาง
อดีตนักโทษการเมืองอ้วนซงจึงกลายเป็นน้องชายบุญธรรมของเจ้าหญิงฮิมิโกะ ผู้ควบคุมอำนาจทางทหารทั้งหมด โดยมีเป้าหมายคือ การรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียว และตามหาดาบสยบปฐพี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่สาม กลับคืนสู่ราชสำนักดังเดิม
ภายใต้สมญา ขุนพลคนนอก-ไกโคะกุจิน หรือ ท่านขุนพลจินในเวลาต่อมา มันอาศัยตำราเวทมนตร์เล่มเดียวกันกับอดีตผู้นำพรรคฟ้าเหลืองเตียวก๊ก ใช้จุดเด่นในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สร้างชื่อเสียงบารมีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จนได้ยอดฝีมือคู่ใจสี่คนในนามขุนพลสี่ธาตุ ล้อกันกับสี่เทวะที่โจโฉเคยมีมาก่อนเช่นกัน บทเรียนจากสงครามแผ่นดินฮั่นกลับทำให้มันโดดเด่นกว่าชนชั้นผู้นำคนอื่นในหมู่เกาะห่างไกลนี้แล้ว
พอคุ้นเคยกับดินแดนโพ้นทะเลแล้ว อ้วนซงพบว่า อุปสรรคในการรวบรวมประเทศที่แท้จริงนั้น กลับมิใช่สงครามระหว่างชนเผ่าน้อยใหญ่ แต่เป็นสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายต่อการดำรงชีวิต บั่นทอนจิตใจของประชาชน ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองกลับช่วยได้มากในเรื่องดังกล่าว กระจกสะท้อนฟ้ามองเห็นอนาคตผนวกกับหยกสะกดวารีควบคุมธาตุน้ำ ทำให้ดินแดนยามาไตเป็นพื้นที่ปลอดภัย จนชนเผ่ามากมายรีบสวามิภักดิ์แต่โดยดี
ภายนอกร่ำลือว่า เจ้าหญิงฮิมิโกะคือแม่มดผู้เป็นอมตะ แต่สิ่งที่อ้วนซงพบเห็นคือ ทายาทแห่งราชวงศ์โบราณที่ต้องคำสาปนิรันตรกาล ทำให้อายุ รูปร่าง หน้าตา พลิกผันไม่แน่นอน ปรับเปลี่ยนให้เป็นได้ตั้งแต่คนชรา หญิงสาว และเด็กน้อย สร้างความแตกตื่นต่อผู้คนรอบข้าง จนนางมิอาจสู้หน้าสังคม และได้แต่ซุกซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้าโบราณ ก่อนจะค้นพบกระจกวิเศษ และตัดสินใจต่อสู้ เพื่อยุติสงครามให้กับแผ่นดินบ้านเกิด
พี่สาวน้องชายจึงได้พึ่งพาอาศัยกันเช่นนี้ คนหนึ่งดำรงตำแหน่งประมุขอันลี้ลับพิสดารด้วยเวทมนตร์อาถรรพ์ คนหนึ่งรับบทแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรด้วยภูมิปัญญาแดนฮั่นรวบรวมอาณาจักรยามาไตแห่งหมู่เกาะสุริยเทพจนยิ่งใหญ่ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น และก่อกำเนิดกองทัพอสูรที่มีชุดเกราะ หน้ากาก และดาบยาวตามแบบวาดประหลาดของพ่อค้าแซ่เตียว ยกระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ยามนี้ อาณาจักรเกิดใหม่มั่นคงเป็นปึกแผ่นดีแล้ว สองพี่น้องพร้อมสมุนสำคัญจึงจัดทำกองทัพเรือรบใหญ่ตามแบบวาดชิ้นสุดท้าย นำพากองทัพอสูรสองหมื่นนายออกเดินทางล่องข้ามทะเลใหญ่ เพื่อทำตามภารกิจสุดท้าย นั่นคือ การทวงคืนดาบสยบปฐพีกลับคืนมาจากอาณาจักรแพกเจ
หลังจากทำลายขุมกำลังโจรสลัดชื่อดัง และปักหลักสร้างฐานทัพอยู่ที่เกาะทัมราทะเลเพลิงได้พักใหญ่ อ้วนซงจึงสืบทราบว่า คำปริศนาที่ว่าพยัคฆ์แดนแพกเจนั้น น่าจะหมายถึงองค์ชายโกอี เสือร้ายใต้บัลลังก์กษัตริย์ ผู้มีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาขององค์กษัตริย์ และนำพาชัยชนะกลับมาให้กับชนชาวแพกเจบ่อยครั้งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
อ้วนซงย่อมตระหนักดีว่า เกาะทัมราเดิมทีเป็นฐานทัพลับของเจ้าชายโกอี ชุมโจรสลัดหัวกระโหลกโลหิตเป็นเพียงฉากบังหน้า มันจึงถือไม้เด็ดในการเจรจาต่อรองการค้ากับพระเจ้าอาอีกครา กองทัพอสูรยินดีจะช่วยทำลายกองทัพซิลลาผู้เป็นคู่ปรับตลอดกาลในนามพันธมิตรจิน เพื่อแลกเปลี่ยนกับดาบเจ็ดเขี้ยว สัญลักษณ์ประจำตัวของแม่ทัพใหญ่ และทหารเชลยชาวซิลลาที่จับกุมได้ทั้งหมด
เจ้าชายโกอีคาดเดาว่า วอก๊กต้องการลดทอนแสนยานุภาพของซิลลา โกกุเรียว เพื่อถ่วงดุลย์อำนาจทางทหารแถบคาบสมุทร และเงื่อนไขแลกเปลี่ยนทั้งสองข้อนั้นก็มิใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใดเมื่อเทียบกับผลที่ได้รับ อีกทั้งกองกำลังดั้งเดิมที่ตนเคยสะสมไว้ก็ถูกทำลายไปเสียแล้ว ยากจะหาตัวช่วยในระยะเวลาอันสั้น จึงตกลงยินยอมโดยดี
สงครามใหญ่ระหว่างแพกเจ-ซิลลาที่มีพันธมิตรจินเข้ามาสอดแทรกนั้น จึงเกิดความพลิกผันสำคัญ กองทัพอสูรโพ้นทะเลแสดงแสนยานุภาพเกรียงไกรเป็นที่ประจักษ์ ใช้กำลังทหารถล่มฐานทัพใหญ่ของซิลลา จนผู้นำแนแฮแห่งเผ่าซิลลาต้องหนีตาย และจับกุมเชลยได้ถึงสามหมื่นนาย ทำให้อาณาจักรแพกเจเข้มแข็ง ซิลลาเสื่อมโทรม และทำให้เจ้าชายโกอีกลายเป็นแม่ทัพผู้พิชิต บารมีเหนือล้ำองค์กษัตริย์แพกเจไปแล้ว
ภายหลังสงครามใหญ่ครั้งนั้น เจ้าชายโกอีทำตามสัญญา ยินยอมส่งมอบดาบเจ็ดเขี้ยว พร้อมหนังสือขอบคุณมายังองค์เจ้าหญิงโดยตรง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันท์ “มิตรประเทศที่เท่าเทียมกัน” ระหว่างอาณาจักรแพกเจแห่งดินแดนเนินเขาคาบสมุทร และอาณาจักรยามาไตแห่งหมู่เกาะสุริยเทพ
อ้วนซงน้อมส่งดาบเจ็ดเขี้ยวคืนสู่ผู้นำสูงสุด เจ้าหญิงทดลองกำหนดจิตร่ายอาคม พลันเกิดสายฟ้าผ่าลงในจุดที่ชี้ไป ที่แท้ ดาบรูปทรงประหลาดตาที่ชาวแพกเจใช้แทนสัญลักษณ์แม่ทัพเล่มนี้ก็คือดาบสยบปฐพี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่สามที่มีอำนาจเรียกฟ้าฝนได้ด้วยเวทมนตร์ แต่หากไม่มีกระจกวิเศษชี้แนะคาถากำกับ ผู้ใดอื่นเล่าจะใช้ประโยชน์ได้
เมื่อบรรลุภารกิจทางฝ่ายเจ้าหญิงหมดสิ้นแล้ว จึงเป็นเวลาที่จะต้องทำตามข้อตกลงการค้าที่เคยสัญญากันไว้ นั่นคือ การล้างแค้นกับพวกสกุลโจบนแผ่นดินใหญ่ หากแต่เกิดขบถบนหมู่เกาะสุริยเทพ และทหารเชลยซิลลายังต้องใช้เวลาฝึกฝนกระบวนทัพใหม่ แผนการล้างแค้นจึงทอดยาวไปอีกหลายปีเลยทีเดียว
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา