10 พ.ย. 2021 เวลา 00:29 • นิยาย เรื่องสั้น
7.17. รอยประทับนางกาลี
โจซอง สุมาสู สุมาเจียว สามคุณชายเมืองหลวงรุ่นใหม่
สี่คุณชายเมืองหลวงถูกควบคุมตัวอยู่บนเรือรบตลอดช่วงการศึกระลอกแรก จนได้รับคำสั่งเบิกตัวให้เข้าพบแม่ทัพใหญ่อ้วนซง จึงได้ย้อนกลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ที่เมืองปักไฮ พอมาถึงฝั่ง ทั้งหมดก็ถูกนำตัวส่งไปพบแม่ทัพใหญ่ที่จวนเจ้าเมืองในทันที
อ้วนซงเพิ่งส่งแผนการรบขั้นต่อไปให้กับขุนพลจตุรธาตุที่ประจำตามสมรภูมิต่างๆเสร็จสิ้น ค่อยวางพู่กันลง มองสำรวจสี่คุณชายวัยหนุ่ม นอกจากโจยอยแล้ว อีกสามคนคล้ายทรุดโทรมตามสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษ “โจซอง สุมาสู สุมาเจียว และเทียบู งั้นหรือ พวกวุยก๊กคิดจะหลอกลวงกันง่ายๆเช่นนี้ คงคิดว่าคนโพ้นทะเลโง่งมกระมัง”
เห็นมันคว้ากระบี่ขึ้นมาจากถาดอาวุธที่ถูกยึดเอาไปแต่แรก จ่อไปยังเทียบูตัวปลอม “นี่มันกระบี่ฟ้าสังหารของโจผีชัดๆ หรือว่า เจ้าก็คือ โจยอย ลูกชายของมันกันแน่”
สามคุณชายเหงื่อแตกพลั่ก คาดคิดไม่ถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะรู้จักกระบี่อาถรรพ์เล่มนี้ ส่วนโจยอยยังคงสงบนิ่ง แต่ร้องย่ำแย่ในใจ ไม่ควรรับมอบส่ิงของมีชื่อเสียงของบิดาติดตัวมาด้วยเลย ภาพใบหน้าของโจผีตอนหยิบยื่นกระบี่ฟ้าสังหารมาให้ ดูลึกลับแปลกตากว่าปกติ ผุดขึ้นในความทรงจำของมัน หรือว่า นี่คือแผนยืมดาบสังหารผู้คน
ส่วนอ้วนซงจ้องมองใบหน้าโจยอย นึกทบทวนเรื่องราวที่พี่ชายเคยฝากฝังไว้ก่อนตาย “ก่อนแยกย้ายจากกัน เอียนซีกำลังตั้งครรภ์กับข้าอยู่ก่อนแล้ว หากนางอยู่รอดปลอดภัยในจวนสกุลโจ บุตรของนางที่เกิดในปีหน้า สมควรเป็นคนของสกุลอ้วน”
อ้วนซงแสร้งมีโทสะ ขับไล่ให้ทั้งหมดออกไปก่อน ค่อยกล่าวกับโจยอยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ข้าคืออาคนเล็กของเจ้า มารดาเจ้าคงบอกความลับนี้ต่อเจ้ามาก่อนแล้ว”
โจยอยน้ำตาไหลพรากไม่รู้ตัว สุดท้าย มันก็ได้พบปะกับญาติสนิทที่แท้จริงสักที คนสายเลือดเดียวกันที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อนตลอดทั้งชีวิต เป็นท่านอาอ้วนซง หรือท่านขุนพลไกจิน แม่ทัพใหญ่ผู้สร้างกองทัพอสูรโพ้นทะเลแห่งหมู่เกาะสุริยเทพ
ทั้งสองรีบบอกเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของตนเองให้แก่กัน สำหรับอ้วนซงแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาถูกใช้ไปอย่างมีคุณค่าไม่น้อย เพราะแม้ว่าพลาดโอกาสแก้แค้นต่อโจโฉ แต่โจผีก็เป็นตัวการสำคัญในการล้มล้างสกุลอ้วน และกลับกลายเป็นผู้ที่ล้มล้างราชวงศ์ฮั่นด้วย เพียงแต่อิทธิพลบารมีของคนสกุลโจยังคงเข้มแข็งเกินไป
มันจึงยินยอมใช้เวลาเพาะสร้างกองทัพอสูรรุ่นใหม่จากทหารเชลยสามหมื่นนาย และผลัดเปลี่ยนทหารยามาไตเป็นกลุ่มใหม่สองหมื่นนายเพื่อให้สภาพจิตใจพร้อมรบ เมื่อมีโอกาสอำนวย ซึ่งความผิดพลาดในศึกยุทธนาวีแดนใต้นั้น นับเป็นจุดพลิกผันที่น่าสนใจ
โชคดีที่มันได้วางหมากเสริมเติมได้ทันเวลา เพราะได้สมคบกับพันธมิตรใหม่ ทัวปาลี่เวย ส่งเสริมให้เข้าถึงตำแหน่งผู้นำเผ่าอูหวนใหม่ และสร้างความวุ่นวายทางเหนือ เพื่อตรึงกองทัพวุยก๊กให้ต้องแบ่งกำลังออกไปคุ้มกันแนวรบชายแดนฝั่งกำแพงใหญ่
ยังมี เจ้าหญิงฮิมิโกะที่ย้อนกลับไปจัดการขบถที่หมู่เกาะสุริยเทพตั้งแต่ต้นแล้วนั้น ยังเดินทางกลับมาร่วมทำศึกใหญ่ อาสานำพลังเวทย์ขั้นสูงที่เพิ่งค้นพบมาใช้ โดยอ้างถึงคำทำนายของกระจกวิเศษ แต่นางไม่ได้เปิดเผยความลับอะไรให้ล่วงรู้มากนักเช่นเดิม
เมื่อหลายวันก่อน นางแอบไปสำรวจสมรภูมิรบ จนไปจับกุมคุณชายทั้งสี่กลับมา ซึ่งเรือรบลำนั้น ก็คือสถานที่ที่นางหลบไปทำพิธีร่ายเวทย์ชั้นสูง ใช้กระจกสะท้อนฟ้า ดาบสยบปฐพี และหยกสะกดวารี เสริมส่งให้ทำลายกองทัพวุยก๊กได้โดยง่ายนั่นเอง
พอรับฟังมาถึงตรงนี้ โจยอยถึงกับใบหน้าถอดสี ร่ำร้องขึ้นด้วยความตกใจ “เสียท่านางแม่มดเฒ่าเสียแล้วกระมัง” จนอ้วนซงต้องเอ่ยปากไต่ถาม
ที่แท้ ช่วงที่ผ่านมา คนอื่นล้วนถูกจับกุมในที่คุมขังใต้เรือรบ แต่เด็กสาวที่เคยถูกลวนลาม คล้ายต้องการแสดงความขอบคุณ จึงเลี้ยงดูต้อนรับโจยอยเป็นอย่างดี และยังก่อเกิดสัมพันธ์สวาทต่อกันอีกด้วยหลายคืน นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตของหนุ่มน้อยวัยเพียงสิบเก้าปีที่มีกับหญิงสาวลึกลับที่ใช้ชื่อ “มิโกะ” (หญิงที่ทำงานในศาลเจ้า)
ก่อนจากกัน เด็กสาวเพียงกล่าวถ้อยคำที่ยากจะเข้าใจ “สวรรค์ลิขิตให้บรรพชนเจ้าบังอาจจำพรากสิ่งของสำคัญไป ที่แท้ ก็เพื่อชักนำให้ข้าได้ค้นพบชาติพันธุ์พิสดาร เพาะบ่มทายาทเลือดศักดิ์สิทธิ์ และปลดปล่อยข้าให้พ้นจากคำสาปนิรันตรกาลสักที”
โจยอยล้วงกระจกบานเล็กออกมาจากอกเสื้อ เป็นของที่ระลึกก่อนลาจากของ “มิโกะ” พออาหลานมองดู กลับเห็นภาพเป็นก้อนเนื้อเล็กๆคล้ายเด็กทารกขดตัวอยู่ในถุงน้ำสีดำคล้ำ
อ้วนซง โจยอย มองหน้ากัน เจ้าหญิงแม่มดถึงกับอาศัยทายาทบริสุทธิ์จากสกุลอ้วนก่อกำเนิดหน่อเชื้อวงศ์กษัตริย์แห่งหมู่เกาะสุริยเทพคนต่อไป ที่แท้ คำว่า “คนที่ถูกเลือก” ในยามที่พบหน้ากันครั้งแรกนั้น อาจจะหมายถึงโจยอยเสียแล้วกระมัง
...
ณ ทัพเรือวุยก๊ก สุมาอี้กำลังล่องเรือไปตามลำน้ำฮวงโห ครั้งนี้ มันสั่งการให้แยกเป็นสองทัพ ทัพหลวงคือ ซิหลง แม่ทัพใหญ่กับสี่คุณชายเมืองหลวง นำกำลังแปดหมื่นนายเคลื่อนสามทัพ อันได้แก่ ทัพเกลียวคลื่น ทัพม้าเหล็ก และทัพปืนใหญ่ เร่งรุดไปตามเส้นทางบก สมทบกับกองทัพห้าหมื่นของโจจิ๋นที่เมืองแห้ฝือ ส่วนตนเองนำเรือรบรบห้าร้อยลำพร้อมทหารสองหมื่นนายตามไปสมทบทางน้ำ หวังต้านทานการรุกคืบมาทางลำน้ำฮวงโห และอาจใช้ทัพเรือเสริมเติมอีกระลอก หากจำเป็นต้องรุกคืบไปถึงเกาะทะเลเพลิง
สายข่าวส่งรายงานเบื้องลึกเข้ามาแล้ว แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม คือ อ้วนซงหรือขุนพลไกจิน น้องชายบุญธรรมของเจ้าหญิงฮิมิโกะ และขุนพลจตุรธาตุ อันได้แก่ ขุนพลดิน ไฟ ลม ไม้ ตามหลักธาตุทั้งสี่ของเกาะสุริยเทพ ซึ่งมีความถนัดแตกต่างกัน “ดิน-มั่นคง ไฟ-รุกไล่ ลม-รวดเร็ว ไม้-กลมกลืน” คือ วลีสั้นๆที่ได้รับข้อมูลมาให้ตีความ
กองกำลังอสูรโพ้นทะเลนั้น เป็นการผสมผสานระหว่างความสามารถทางการรบ กับพลังเวทมนตร์ของหยกวิเศษที่ควบคุมดินฟ้าอากาศได้ดั่งใจนึก ทำให้อิทธิพลของนางครอบคลุมทั่วทั้งหมู่เกาะได้ในเวลาเพียงสิบกว่าปี กลายเป็นเจ้าหญิงปกครองอาณาจักรยามาไต แต่กลับมีเพียงน้อยคนที่เคยพบเห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
ร่ำลือกันว่า การเคลื่อนทัพบุกแผ่นดินใหญ่ในครั้งนี้ เป็นพันธะสัญญาระหว่างกันของสองพี่น้องบุญธรรม อ้วนซงใช้เวลาสิบกว่าปี ช่วยให้เจ้าหญิงกาลีเป็นองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สำเร็จแล้ว จึงถึงเวลาที่เจ้าหญิงต้องมาช่วยน้องชายล้างแค้นต่อคนสกุลโจบ้าง ดังนั้น จึงเป็นสงครามอาฆาตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน
ส่วนฐานที่มั่นที่เป็นเกาะทัมราทะเลเพลิงนั้น เดิมทีเป็นรังโจรสลัดหัวกระโหลกโลหิตที่มีประวัติพัวพันไปถึงพวกแพกเจด้วย แต่ถูกพวกวอก๊กยึดครองไปเมื่อสามสี่ปีก่อน ภายหลัง วอก๊กกลับร่วมมือกับแพกเจ โจมตีซิลลา กวาดต้อนเชลยทหารไปได้หลายหมื่น ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมา วอก๊กได้ใช้เกาะร้างเป็นสถานที่พักเรือ ซักซ้อมกำลังพล สร้างกองกำลังเพิ่มเติมจากชุดดั้งเดิมที่นำมาจากหมู่เกาะสุริยเทพ
ดังนั้น กองทัพอสูรโพ้นทะเล เปลือกนอกดูเข้มแข็ง แต่ลึกๆแล้ว ยังมีจุดอ่อนซุกซ่อนอยู่ ขอเพียงเลือกใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้อง ย่อมสามารถสยบกองทัพลงได้ไม่ยากเย็น ยามนี้ กองทัพวอก๊กที่มีราวห้าหมื่นนายรุกคืบกระจายตัวออกไปหลายแห่งด้วยความย่ามใจตามแผนการที่มันวางไว้แล้ว กำลังส่วนใหญ่ของทัพอสูรสมควรปักหลักอยู่ในมณฑลเฉงจิ๋ว และสมรภูมิชายแดน ซึ่งทำให้ฐานทัพเกาะทะเลเพลิงนั้นเปราะบาง เป็นช่องว่างในการจู่โจมทำลาย และปิดเส้นทางการถอยของพวกวอก๊กแล้ว
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากภายนอก กองทัพเรือวุยก๊กกำลังล่องมาตามลำน้ำ เรือโดยสารใหญ่น้อยสมควรจอดหลบเข้าข้างทาง แต่เมื่อมีศัตรูลอบปะปนเข้ามาด้วย ย่อมอาศัยจังหวะที่เรือหลวงล่องผ่าน รีบตีกระหนาบในทันที ทำให้แม่ทัพสุมาอี้ และองครักษ์จำนวนหนึ่งต้องออกมาดูเหตุการณ์ด้วยตนเอง
จึงเห็นขุนพลไม้ คนที่เคยจับตัวสี่คุณชายนั้น ใช้เคล็ด “กลมกลืน” นำกองทัพพิเศษที่ชำนาญการปลอมแปลงแทรกซึม ปลอมเป็นกลุ่มเรือขนส่งสินค้าและเรือประมงหลายสิบลำ พุ่งเข้าหาเป้าหมาย พร้อมใช้เชือกเกาะเกี่ยวโรยตัวขึ้นสู่เรือใหญ่ เพียงชั่วอึดใจเดียว กองหน้าเดนตายก็ขึ้นไปอยู่บนลำเรือมากกว่าร้อยคนแล้ว คนที่เหลือก็ยังกระจายกันโจมตีใส่ฝูงเรือรอบข้างไม่ให้มาช่วยเหลือกันได้
พลันเกิดเสียงโห่ร้องฆ่าฟันดังขึ้นจากท้องเรือ เหล่าทหารมีฝีมือที่ซุ่มซ่อนอยู่ รีบออกมาสู้รบกับศัตรูกันจ้าละหวั่น แต่ขุนพลไม้ยังสามารถใช้ยุทธวิธีทางทหารเปิดทางเข้าถึงตัวสุมาอี้ได้โดยง่าย หวังควบคุมตัวแม่ทัพเป็นตัวประกัน
แต่แล้ว “สุมาอี้” และหัวหน้าองครักษ์กลับตอบโต้ด้วยพลังยุทธ์ที่ทัดเทียมกัน พอสลัดเสื้อผ้าอาภรณ์และหน้ากาก กลับกลายเป็นขุนพลหนุ่ม ท่วงท่าองอาจสองคน ปลอมแปลงโฉมมา เพื่อล่อลวงตัวหัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
“ดีมาก บู๊ขิวเขียม บุนขิม จับตายได้เลย” เสียงสุมาอี้ตัวจริง สั่งการมาจากเรือหลวงรอง ที่ขนาบข้างเรือหลวงเอกมาโดยตลอด แสดงว่า กองทัพเรือที่นำโดยกุนซือใหญ่สุมาอี้ เป็นหนึ่งกับดักที่เตรียมการมาเป็นอย่างดี จัดส่งสองขุนพลหนุ่มรุ่นใหม่ บู๊ขิวเขียม บุนขิม ให้มาเป็นเหยื่อล่อ ลดทอนกำลังฝ่ายตรงข้าม และยังปรับเปลี่ยนเรือหลวงเอกให้เต็มไปด้วยกลไกกับดักมากมาย ทำให้ขุนพลไม้ถูกสองขุนพลหนุ่มรุมสังหารไปในที่สุด
สุมาอี้เพิ่งโล่งอกยินดี ท้องน้ำเบื้องหน้า พลันปรากฏนักรบชุดประดาน้ำพุ่งเข้าใส่ มองเห็นเป็นขุนพลไม้ตัวจริงแฝงตัวซ้อนแผนตามเคล็ด “กลมกลืน” หวังสังหารสุมาอี้ตัวจริงเช่นกัน ทหารองครักษ์เคียงข้างสุมาอี้สองคนรีบแสดงฝีมือต้านรับ แสดงว่า ข้างกายของสุมาอี้ ได้จัดวางยอดฝีมือคุ้มครอง เฉกเช่นเดียวกันกับพวกสกุลโจแล้ว ชดเชยความผิดพลาดล่าสุดที่เกือบถูกโจเซียงลอบสังหารที่วัดป่าน้อยที่สอง
ขุนพลไม้จึงเลี่ยงไม่พ้นความตายอีกครา กระบวนทัพเรือเริ่มเปลี่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เรือรบน้อยใหญ่สอดประสานกันทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังปืนใหญ่และอาวุธไฟ เหล่าทหารใช้ยุทโธปกรณ์สงครามที่เหนือกว่า รุมล้อมสังหารคนวอก๊กอย่างดุเดือด เมื่อการลอบสังหารล้มเหลว ขวัญกำลังใจเสื่อมโทรม ซากศพขุนพลไม้ถูกแขวนประจานให้เป็นที่เอิกเกริก หวังลดทอนความฮึกเหิมของศัตรูกลับคืนไปบ้าง
ยุทธการศึกโพ้นทะเลเป็นการศึกที่จำเป็นต้องชนะเพื่อฟื้นคืนอิทธิพลบารมีให้กับวุยก๊ก และกำจัดคนสกุลอ้วนให้สิ้นซาก แต่ไม่ควรยืดเยื้อเนิ่นนานเกินไป ดังนั้น กษัตริย์โจผีเปิดทางให้มันดำเนินแผนการได้อย่างเต็มที่ ขุนพลและกุนซือทั้งแว่นแคว้นล้วนเคลื่อนไหวตามที่มันสั่งการ แม้แต่การตั้งซิหลงเป็นแม่ทัพตัวหลอก ก็สามารถกระทำได้
หลังจากการลงมือสังหารขุนพลไม้ สุมาอี้ถึงกับเอ่ยคำชมเชยต่อสององครักษ์ยอดฝีมือว่า “ขอบใจ น้องห้า น้องเจ็ด ครั้งนี้ ลำบากเจ้ามากแล้ว”
ทางด้านเมืองแห้ฝือ มณฑลชีจิ๋ว ขุนพลไฟ และขุนพลลม นำกองทัพอสูรโพ้นทะเลและทหารเชลยนับรวมกว่าสามหมื่นนาย เร่งโจมตีที่หน้าประตูเมือง หวังยึดครองให้ได้ก่อนกองทัพใหญ่จากเมืองหลวงจะมาเสริมเติม โจจิ๋น โจฮิว จึงระดมทหารและชาวบ้านมาเสริมเติมตามกำแพงเมือง ช่วยกันใช้ยุทโธปกรณ์การรบ ไม่ว่าจะเป็น การทุ่มก้อนหิน เทน้ำมันเดือด ทิ้งอาวุธหนักมีคม เพื่อต้านทานไว้ให้ได้นานที่สุด ทำให้การศึกติดพัน ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า กองทัพอสูรยังคงถูกรั้งรอไว้ เพื่อใช้ในการโจมตีกำลังพลในขั้นต่อไป ขับต้อนให้ทหารเชลยเปิดทางให้ก่อน
เท่าที่ผ่านมา หัวเมืองใหญ่น้อยล้วนตกอยู่ในภวังค์ความหวาดกลัว พอตัวเองถูกจู่โจมก็พร้อมจะพ่ายแพ้ แต่พอเป็นเมืองใหญ่แห้ฝือที่มีนายทหารสำคัญควบคุม และมีกำลังพลเพียงพอ การต่อสู้จึงยืดเยื้อยาวนานอย่างแท้จริง และความสูญเสียที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ขุนพลไฟ ลม ต้องเริ่มประเมินสถานการณ์ใหม่เสียแล้ว
เสียงฝีเท้าเคลื่อนตัวมาตามเส้นทางชายป่าอย่างรวดเร็ว เป็นกองทัพหลวงที่นำมาโดยขุนพลเสือสมิง ซิหลง ซึ่งนับว่า มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจจะเป็นเพราะละทิ้งกองทัพปืนใหญ่ที่ล่าช้าเอาไว้เบื้องหลัง ใช้แต่ทัพม้าเหล็ก เกลียวคลื่นที่ว่องไวกว่า หากแต่แม่ทัพใหญ่ซิหลงคล้ายประมาทอยู่ในทีตามวิสัยนักรบห้าวหาญ จึงนำเดี่ยวอยู่ด้านหน้ากองทัพ ราวกับจะท้าทายสองขุนพลต่างแดนให้ไปดวลประลองกัน
ขุนพลไฟ และขุนพลลมย่อมไม่ปล่อยให้เสียโอกาสในการกำจัดขุนพลพยัคฆ์เช่นนี้ จึงควบม้าออกไปพร้อมเพรียงกัน หวังใช้เคล็ด “รุกไล่” และ “รวดเร็ว” รุมสังหาร แต่ซิหลงก็เข้มแข็งพอจะรับมือคนทั้งสองได้อยู่ เพลงขวานกวาดฟันไม่เชื่องช้าไปตามวัยเลย
และแล้ว ทหารองครักษ์ด้านข้างของซิหลงพลันยืดตัวขึ้น กระตุกม้าออกมาร่วมรบ พร้อมประกาศก้อง “ขุนพลเสือดาว เตียวคับ อยู่ที่นี่แล้ว”
เสียงโห่ร้องดีใจจากทหารวุยก๊กดังสนั่น ผู้คนล้วนคาดไม่ถึงว่า ยอดขุนพลมีชื่อจะแฝงตัวมาต่อสู้กับศัตรูเคียงข้างพวกมัน จึงคึกคักขึ้นอีกอักโข สวนทางกับกำลังขวัญฝ่ายตรงข้าม และสองขุนพลพยัคฆ์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ถึงกับช่วยกันสังหารสองขุนพลโพ้นทะเลได้ในไม่ช้า และนำกำลังพลตามถล่มกองทัพอสูรโพ้นทะเลเสียยับเยิน
หากสังเกตจะพบว่า ทหารหลวงฝ่ายวุยใช้เป็นทวนตะขอทรงยาวกว่าปกติอีกหนึ่งศอก พอใช้ทิ่มแทงไปเบื้องหน้าโดยพร้อมเพรียงกันบ้าง ถึงกับสะกดข่มดาบทรงเรียวยาวได้พอเหมาะ พวกทหารวอก๊กไม่ถูกทิ่มแทงทะลุเกราะ ก็ถูกเกี่ยวแขนขาขาดบ้าง ฟาดกระแทกล้มบ้าง ทำให้ถูกเหยียบย่ำบาดเจ็บ เสียกระบวนทัพรบไปหมดสิ้นแล้ว
เสียงหัวร่อของสองขุนพลพยัคฆ์ ซิหลง เตียวคับ กึกก้องยาวนาน เห็นพ้องต้องกันว่า ครั้งนี้ กุนซือสุมาอี้วางแผนได้ดี ให้เตียวคับลอบมาถึงกองทัพหลวงก่อนเวลา เพื่อซุ่มฝึกฝนการทำลายกระบวนทัพของศัตรูได้ประสพผลในคราวเดียว ช่างน่าสาสมใจยิ่งนัก
สิบวันผ่านไป ณ เมืองปักไฮ อ้วนซงยามนี้ หลงเหลือเพียงขุนพลดิน และกองทัพอสูรจริงๆ เพียงสองหมื่นนายเท่านั้น ทหารอีกห้าพันนายยังอยู่คุ้มกันเจ้าหญิงที่เกาะทัมรา นอกนั้น ล้วนสูญเสียไปในการศึกอย่างน่าเสียดาย คาดไม่ถึงว่า สุมาอี้จะใช้แผนแสร้งอ่อนแอ แล้วกลับโจมตีด้วยขุนพลเก่งกาจ และกำลังพลที่มีมากกว่าหลายเท่าตัว บีบคั้นตนเองจนย่ำแย่ได้เช่นนี้ มันจึงต้องดำเนินกลยุทธ์โต้ตอบเสียบ้างแล้ว
ปราการเมืองปักไฮกลายเป็นสมรภูมิสุดท้าย สรรพกำลังกองทัพวอก๊กล้วนถูกเรียกกลับมาจนหมดสิ้น ภายนอกกำแพงเมือง เป็นกองทัพใหญ่สิบกว่าหมื่นของซิหลง เตียวคับ รายล้อมไว้อย่างแน่นหนา น่านน้ำฮวงโหก็เต็มไปด้วยเรือรบที่นำมาโดยสุมาอี้ และบุนขิม บู๊ขิวเขียม หลายวันมานี้ กองทัพวุยก๊กใช้สถานการณ์ที่พลิกผัน ชิงคืนเมืองต่างๆได้ทั้งมณฑลอย่างง่ายดาย ค่อยมาบรรจบกันอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทำให้ขุนพลดินต้องชิงนำทหารอสูรกึ่งหนึ่งลงเรือรบปิดกั้นปากแม่น้ำเอาไว้ มิให้กองเรือเดินหน้าต่อ
ที่จริงแล้ว เพียงแค่เจ้าหญิงฮิมิโกะใช้ของวิเศษที่มี ทำลายกองทัพสิบกว่าหมื่นนี้ให้ตกตายในคราวเดียว ความตายของสองขุนพลพยัคฆ์ หนึ่งกุนซือและสองเทพบุตรย่อมกระทบต่อจิตใจพวกวุยก๊กเป็นอย่างสูง ดังนั้น อ้วนซงจึงได้แต่รอคอยให้ถึงเวลานัดหมายด้วยความกระวนกระวายใจ โดยมีตัวประกันโจยอยถูกจับมัดไว้อยู่เคียงข้างกัน
ผู้อื่นไม่มีใครล่วงรู้ความสัมพันธ์อาหลาน อ้วนซงจึงใช้โอรสสวรรค์ โจยอย เป็นตัวประกัน แสดงตัวบนกำแพงเมือง สะกดกองทัพศัตรูเอาไว้ก่อน เพื่อรอให้พี่สาวบุญธรรมลงมือตามที่ตกลงกันไว้ เพียงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ครั้งเดียว สกุลโจก็จะพินาศสิ้น
เสียงครืนครั่นของฟ้าร้องดังมาแต่ไกล ท้องฟ้าสดใสพลันมืดมัวลงด้วยเวทมนตร์คาถาอีกครั้ง อ้วนซงนึกกระหยิ่มใจที่ความสำเร็จใกล้จะมาถึงตรงหน้า และแล้ว เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างดังขึ้น กลับมิใช่เป้าหมายกองทัพใหญ่ตรงหน้า หากแต่เป็นตำแหน่งของเกาะทะเลเพลิง ตามมาด้วยเสียงกึกก้องของภูเขาไฟด้านหลังเกาะที่ปะทุขึ้น มองเห็นเปลวไฟสีแดงฉานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และควันเถ้าถ่านสีขาวกระจายปกคลุมทั้งบริเวณ
เมื่อมองไปจากชายฝั่งเมืองปักไฮหรือแพกเจ ปกติไม่อาจแลเห็นเกาะอันไกลห่างสุดขอบฟ้า แต่ครั้งนี้ ความสูงของเถ้าถ่านควันไฟที่ลอยตามมา ทำให้ผู้คนทั่วทั้งน่านน้ำทะเลใหญ่ ล้วนรับรู้ตำแหน่งของเกาะทะเลเพลิงทัมราได้อย่างชัดเจนแล้ว
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นครั้งที่สองเกิดขึ้นนอกชายฝั่งจนรู้สึกถึงแผ่นดินสะเทือน กองทัพเรือวอก๊กที่สกัดปิดปากน้ำอยู่นั้น พยายามแล่นหนีเภทภัย แต่ไม่ทันเวลา คลื่นมังกรสมุทรยักษ์ก่อตัวสูงเท่าภูเขาถาโถมเข้าใส่ทัพเรือพังพินาศ แล้วตรงเข้าสู่ชายฝั่ง กวาดทำลายชีวิตผู้คนในสมรภูมิรบทั้งสองฝ่ายและกระแทกซ้ำถล่มใส่เมืองใหญ่อย่างจงใจ
อ้วนซงตาเหลือกลาน ไม่คาดคิดว่าพี่สาวบุญธรรมจะลงมือเช่นนี้ พลันได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากอกเสื้อของโจยอย จึงล้วงหยิบเอากระจกที่ระลึกนั้นออกมาดู เห็นเป็นใบหน้าของเจ้าหญิงฮิมิโกะที่มีเล่ห์เหลี่ยม แตกต่างไปจากหญิงสาวอ่อนโยนตามปกติ
“น้องจินเอย สักวันหนึ่ง ทางเดินของพวกเราต้องสิ้นสุดด้วยการแตกหัก อำนาจบารมีที่เจ้าสะสมมาสิบกว่าปีเป็นสิ่งเย้ายวนใจ ทำให้เจ้ากลับมาทรยศต่อข้า เพื่อครอบครองของวิเศษและดินแดนสุริยเทพ ข้าจึงได้ใช้เวลาหลายปีมานี้ สับเปลี่ยนโยกย้ายให้กลุ่มคนที่ภักดีต่อเจ้าทั้งหมดให้พ้นไปจากศูนย์กลางของอำนาจ เพื่อให้ถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นในคราวเดียว นี่คือชะตาชีวิตของเราสองพี่น้องตามที่กระจกสะท้อนฟ้าพยากรณ์ไว้แล้ว” เจ้าหญิงบอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาความรู้สึกภายในใจ
“ข้าจำเป็นต้องเสียสละชีวิตทหารส่วนหนึ่ง เพื่อเซ่นสังเวยต่อปณิธานที่เจ้าเรียกร้อง ดังนั้น ข้าจึงต้องการแสดงอานุภาพอันทรงพลังให้เป็นที่ประจักษ์ต่อดินแดนแว่นแคว้นทั้งหลาย รอยประทับแห่งสุริยเทวีสามครั้งนี้จะเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ว่า ผู้นำหมู่เกาะสุริยเทพเป็นจอมเวทมนตร์ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากองกำลังใดๆ ก็สามารถทำลายกองทัพอันเข้มแข็งได้อย่างง่ายดาย และสามารถสังหารเป้าหมายสำคัญได้จากระยะไกลด้วย”
“ยังเหลือพลังรอยประทับครั้งที่สาม ข้าให้โอกาสเจ้าได้เลือกว่า ผู้ใดในแผ่นดินสามก๊กสมควรได้รับรอยประทับครั้งสุดท้ายนี้” เจ้าหญิงฮิมิโกะทำตาลุกวาว ราวกับเป็นเทพยดาสูงส่งชี้เป็นชี้ตายได้โดยไม่เห็นถึงความสำคัญของชีวิตผู้คนใต้หล้าในสายตา
อ้วนซงยังตะลึงลานต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า กลับเป็นโจยอยที่ยังถูกมัดตรึงอยู่กับเสาไม้ ตะโกนแทรกขึ้น “จงสังหารโจผีสิ มันเป็นศัตรูคนสำคัญของพวกคนสกุลอ้วน สกุลเล่า แม้แต่คนสกุลโจ แฮหัวเองก็ยังตายเพราะมัน มันจึงเป็นคนบาปอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน”
เจ้าหญิงฮิมิโกะปรายตามองคู่รักชั่วคราว พลางตอบ “บางที สิ่งที่เจ้ารับรู้อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่สิ่งที่เจ้าแนะนำให้น่าสนใจยิ่งนัก ข้าจะส่งเสริมให้ละกัน”
แสงวาบจากท้องทะเลไกลกรีดผ่านท้องฟ้ามาถึงชายฝั่งมุ่งสู่ทิศทางเมืองหลวง อ้วนซงไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า เมื่อใช้ของวิเศษทั้งสามร่วมกันจะสามารถสร้างพลังทำลายล้างที่รุนแรงได้ถึงเพียงนี้ แต่สถานการณ์เบื้องหน้านั้นชัดเจนแล้วว่า กองทัพอสูรโพ้นทะเลของมันสิ้นสุดแล้ว กำลังพลที่เหลือในเมืองปักไฮทำได้เพียงแค่ชะลอเวลาชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ทันใดนั้น ลูกเกาทัณฑ์หนึ่งดอกพลันพุ่งมาจากด้านหลังทะลุอกของอ้วนซงในตำแหน่งหัวใจเต็มแรง พร้อมเสียงโห่ร้องยินดีของกองทหารฝ่ายตรงข้าม
อ้วนซงกระอักเลือด สำนึกตนว่าไม่มีทางรอดแล้ว จึงรีบตัดเชือกลากตัวโจยอยหลบให้พ้นสายตาผู้คน และสั่งความโดยเร็ว “หลานเรา เมื่อโจผีตายแล้ว เจ้าย่อมมีสิทธิครองบัลลังก์แทนมัน จงล้างแค้นแทนสกุลอ้วน ทำลายล้างพวกสกุลโจให้หมดสิ้น ข้าขอสละชีวิตส่งเสริมเจ้าให้ถึงที่สุด” อ้วนซงรีบสั่งเสียเรื่องราวต่อไป “นี่คือตำราเวทย์มนตร์ของพรรคฟ้าเหลือง ขอมอบให้เจ้าแล้ว จงใช้กระบี่ฟ้าสังหารเป็นสัญลักษณ์ทดแทนราชโองการแต่งตั้ง และใช้ชีวิตบั้นปลายของข้าเป็นผลงานชนะศึกอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้เถิด”
โจยอยมองหน้าท่านอาที่เพิ่งพบกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กล้ำกลืนถ้อยคำมากมายไว้ภายใน แล้วตัดสินใจกระชากกระบี่อาถรรรพ์ออกจากฝัก ปลิดชีวิตของอ้วนซงไปพร้อมกับเก็บซ่อนหยาดน้ำตาแห่งความคับแค้น ก่อนที่พวกทหารวุยก๊กจะรุกเข้ามาถึง
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา