Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
11 พ.ย. 2021 เวลา 00:34 • นิยาย เรื่องสั้น
7.18. มุทราประกาศิต
โจผี โจยอย เหยื่อบ่วงนางกาลี - กวานหนิง เมธีหิมะขาว
บนดาดฟ้า เรือรบหลวงอยู่ห่างไกลจากเกาะทัมราทะเลเพลิงที่มนต์วิเศษกระตุ้นให้ภูเขาไฟกลับมาประทุขึ้นอีกครั้ง และพร้อมจะมุ่งหน้ากลับสู่หมู่เกาะสุริยเทพ เจ้าหญิงฮิมิโกะมองดูความเคลื่อนไหวของวารีอัคคีอันร้อนแรงที่ไหลทะลักออกมานองท่วมท้นปากปล่องภูเขาไฟ ก่อเกิดเปลวไฟลุกลามไปทั่วทั้งเกาะด้วยความรู้สึกที่ยากคาดเดาได้
พลังรอยประทับครั้งแรก กระตุ้นให้ภูเขาไฟระเบิดต่อเนื่อง ควันเถ้าถ่านคละคลุ้ง มองเห็นได้แต่ไกล พื้นดินเทือกเขาและป่าเขาพรรณไม้ล้วนวอดวายหมดสิ้น ยากกลับคืนให้ใช้งานได้ไม่น้อยกว่าสิบยี่สิบปี ครั้งที่สอง ส่งคลื่นสมุทรยักษ์ทำลายกำแพงเมืองและกองทัพตายเกลื่อนสมรภูมิ แรงกระเพื่อมรุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค ส่วนครั้งสุดท้าย ผลลัพธ์จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เพราะเป็นภารกิจสังหารกษัตริย์ผู้นำแห่งแผ่นดินใหญ่โดยตรง
นางเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า การจัดวางของวิเศษทั้งสาม คือ กระจก หยก ดาบ ให้ถูกตำแหน่งเฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งการใช้รหัสมุทราประกาศิต อันได้แก่ ท่ามือมุทรา (กายรหัส) ร่ายคาถา (วจีรหัส) และส่งแรงจิต (มนัสรหัส) ตามที่กระจกสะท้อนฟ้าแสดงไว้ จะเพิ่มพูนพลังมนตราถึงขั้นไม่มีขอบเขตจำกัดได้ถึงเพียงนี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่พลังสามรอยประทับถูกจำกัดให้สามารถใช้ได้แค่หนึ่งครั้งแล้วต้องพักฟื้นฟูไปอีกถึงสิบหกปี
ช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา นางค้นพบวิธีใช้กระจกสะท้อนฟ้า เพื่อเลือกกำหนดเส้นทางของชะตาชีวิตได้ และเรียนรู้ว่าการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปในอนาคต ดังนั้น นางจึงศึกษาหนทางที่สามารถจะสร้างหมู่เกาะสุริยเทพให้ยั่งยืนยาวนานด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติยศ จนได้มาวิธีการหนึ่งที่น่าจะใช้การได้ดีที่สุด
นั่นคือ การแสดงแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามให้ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชนเผ่าดินแดนต่างๆโดยรอบ เพื่อไม่ให้กล้ามารุกรานเขตแดนของนางไปอีกนาน จนกว่าพลังสามรอยประทับจะกลับมาใช้ได้อีกรอบในอีกสิบหกปีข้างหน้า
ทันทีที่นางเริ่มรู้สึกถึงการปฏิสนธิของชีวิตใหม่ภายในครรภ์ด้วยกระแสจิตสัมผัส นางก็ตระหนักได้ว่า ทันที่ที่นางคลอดเด็กทารกออกมา นางจะหลุดพ้นจากมนตร์นิรันตรกาลที่ท่านสุริยเทพผู้เป็นบิดาเคยสะกดสาปเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน และติดตามมาด้วยการเข้าสู่ภวังค์จิตแห่งความตายโดยมิอาจชะลอเวลาอีก ทำให้นางจะพ้นจากโลกมนุษย์โดยไม่มีโอกาสถ่ายทอดคำสั่งเสียใดๆให้กับทายาทตัวน้อย
แต่วิถีการใช้ชีวิตของนางที่ผ่านมา จะทำให้บุคคลอื่นไม่ล่วงรู้ได้ว่า นางได้ตายจากไปตั้งแต่เมื่อใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดเตรียมไว้หมดแล้วด้วยความร่วมมืออย่างจงรักภักดีของขุนพลสี่ธาตุรุ่นใหม่ ที่ช่วยจัดการทำลายขุนพลคนนอก-อ้วนซง กับกองทัพอสูรโพ้นทะเล และจะอยู่ช่วยดูแลคุ้มครององค์รัชทายาทกับสุริยเทวีตัวปลอมที่ต้องทำหน้าที่แทนนางไปอีกนับเป็นสิบปี
ช่วงบั้นปลายชีวิตที่กำลังตั้งครรภ์ นางจึงได้แต่สั่งสอนรหัสมือ-มุทรา (กาย) เป็นหนึ่งในสามของวิชาลี้ลับให้กับคนสนิทไปก่อน แต่ส่วนคาถา (วจี) และมโน (จิต) นั้นเป็นความลับอันสำคัญยิ่งยวดย่อมไม่อาจวางใจให้เผยแพร่หลากหลาย ดังนั้น นางจึงต้องแยกเก็บรหัสลับสองส่วนนี้ออกไปต่างหาก
กระจกบานเล็กใบนั้นจึงเป็นที่เก็บซ่อนที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งนางได้เสกเวทมนตร์คู่สะท้อนเอาไว้เป็นปริศนา หวังว่า ในภายหน้าเมื่อบุตรีของนางเติบใหญ่ จะเข้าใจในความคิดของมารดา และเจ้าหนุ่มน้อยผู้ตกเป็นบิดาจำเป็น จะพร้อมส่งมอบของที่ระลึกให้กับทายาทผู้เป็นพยานรักได้ถูกต้องตามภาพคำทำนาย
มันจะกลายเป็นของกำนัลพิเศษจากฮ่องเต้ดินแดนวุยก๊กมอบให้กับสุริยเทวีองค์ใหม่แห่งอาณาจักรยามาไต เป็นกระจกฮิมิโกะ เครื่องบรรณาการชิ้นสำคัญของสองอาณาจักรที่ถูกจารึกไว้อย่างมีเงื่อนงำในบันทึกประวัติศาสตร์
…
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ณ สุสานหลวงประจำราชวงศ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อย กษัตริย์โจผีกำลังทำพระราชพิธีสักการะฟ้าดิน อัญเชิญโลงศพของปฐมกษัตริย์แห่งวุยก๊ก โจโฉ ผู้เป็นบิดาเข้าสู่สุสานหลวงแห่งใหม่ ตามฤกษ์ยามการจัดการของ เตียวโถ อองลอง ฮัวหิม-ซินผี และซุนต่ำในฐานะหัวหน้าผู้ดูแลการก่อสร้าง โดยมี กุยห้วย เตงงาย สองขุนพลองครักษ์ ดูแลควบคุมอย่างเข้มงวด
งานสำคัญเช่นนี้ ย่อมมีอาคันตุกะระดับสูงที่อยู่ภายในเมืองหลวง เข้าร่วมพิธีด้วยอย่างมากมาย ตั้งแต่ ฮองเฮากุยฮวย โจจิ๋น สมุหราชเลขา แฮหัวป๋า เสนาบดีงานพระราชวัง เทียบู เสนาบดีงานเมืองหลวง กากุ๋ย เสนาบดีการคลัง โจฮิว เสนาบดีงานเสบียง ตลอดจน โจหอง ประมุขบ้านสกุลโจ และเทวะคนสุดท้ายที่กลายเป็นคนป่วยอัมพาตครึ่งซีกมาหลายปี ถึงกับยอมใช้เก้าอี้ล้อหมุนเลียนแบบขงเบ้งมาร่วมงาน นับว่าเป็นบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไว้อาลัยต่อผู้ตาย
ขาดไปก็เพียงโจยอย รัชทายาทถัดจากกษัติรย์โจผี ซึ่งถูกจับตัวอยู่ท่ามกลางศึกสงคราม แต่โจผีเกรงว่า หากทอดนานไปอีกหลายเดือน จะสูญเสียฤกษ์ยามสำคัญ อีกทั้ง ต้องการสถานที่มงคลอย่างฮวงจุ้ยบรรพบุรุษ มาช่วยค้ำจุนบัลลังก์ที่กำลังเดือดพล่านทั้งศึกนอกศึกใน จึงยังคงให้จัดทำพระราชพิธีสำคัญตามกำหนดการเดิม
ที่จริง ยังมีบุคคลที่สมควรเข้าร่วมในพิธีการอีกจำนวนหนึ่ง นั่นคือ ทายาทชายหญิงของโจโฉที่เกิดจากนางสนมคนอื่นๆที่ไม่ใช่นางเปียนสี หากแต่โจผีไม่ใคร่ชื่นชอบคนกลุ่มนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงจงใจละเลยไม่เรียกตัวมาร่วมในพิธีการสำคัญ
พระราชพิธียิ่งใหญ่ยังสมควรมีคนดังในแวดวงการเมืองมาร่วมงานอีกจำนวนหนึ่ง หากแต่ส่วนหนึ่งติดภารกิจทำศึกสงครามอยู่ตามชายแดนด้านเหนือและอิสาน อีกส่วนหนึ่งเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้เองที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในพิธีศักดิ์สิทธิ์ จึงมีเพียงโจจิ๋น โจฮิว ที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาร่วมงาน เพราะมีฐานะเป็นญาติสนิท เช่นเดียวกันกับแฮหัวป๋า ซึ่งกลับมาจากเมืองอ้วนเซียเท่านั้น
หากแต่ยังคงมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้กษัตริย์โจผีต้องจำกัดผู้คนที่จะเข้ามาร่วมพิธีการสำคัญครั้งนี้ เป็นการเมืองภายในที่คล้ายเกิดคลื่นใต้น้ำระลอกใหญ่
…
หลายเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ศึกอสูรโพ้นทะเลและสงครามชนเผ่าสามเส้าที่ชายแดนทางเหนือเกิดขึ้นต่อเนื่องถัดจากความล้มเหลวของศึกยุทธนาวีแดนใต้ สร้างความตึงเครียดไปทั่วเขตแดนวุยก๊ก แม้ว่าสกุลโจจะสร้างอิทธิพลบารมีได้ดีในวงการการเมืองมานานแล้ว แต่การที่เปลี่ยนแผ่นดินมาด้วยการปล้นชิงบัลลังก์มาจากราชวงศ์ฮั่นอย่างกระทันหัน ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่คุ้นเคยต่อการปกครองภายใต้ราชวงศ์เก่ามานานนับร้อยๆปี ยังไม่ใคร่จงรักภักดีต่อรัชกาลใหม่มากนัก
สังคมเมืองหลวงจึงคล้ายเกิดมรสุมทางวิชาการระลอกแล้วระลอกเล่า กลุ่มบัณฑิตอิสระอาศัยพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมอำมหิตของกษัตริย์ใหม่เป็นชนวนเหตุชำแหละตัวตน ตั้งแต่การสังหารกษัตริย์เหี้ยนเต้ มเหสีเอียนซี ญาติพี่น้องร่วมสกุล หรือขุนนางอาวุโส โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่สั่งการปล้นชิงสุสานหลวงราชวงศ์ฮั่นมาว่ากล่าวปลุกปั่นให้ราษฎรชิงชังรังเกียจต่อฮ่องเต้ใหม่ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงโจร โดยมีแกนนำเป็นกลุ่มชายใส่หน้ากากสีขาวหลายคนที่คาดว่าเป็นลูกหลานขุนนางเก่ามีชื่อ เข้าร่วมอภิปรายโจมตี
ที่จริง สำนักหอสมุดควรออกโรงแก้ไขเรื่องราวให้บ้าง หากแต่ประมุขซุนต่ำติดพันอยู่กับการก่อสร้างสุสานหลวงมานานหลายปีแล้ว จนคล้ายเป็นเพียงผู้นำเพียงในนามเท่านั้น และตัวสำนักเองก็เคยมีปัญหาต่อพวกสกุลโจมาก่อน ดังเช่น การตายของบุคคลสำคัญทางวิชาการ ตั้งแต่ ขงหยง เล่าจิน และเหล่านักปราชญ์เจี้ยนอาน เมธีสัจธรรม หลายคนที่ตายไปอย่างมีเงื่อนงำในเหตุการณ์ไฟไหม้สำนักใหญ่คราก่อน คนทำงานจึงพากันเพิกเฉย ปล่อยให้ข่าวลือลุกลามใหญ่โต ซ้ำยังเปิดช่องทางตั้งเวทีวิพากษ์การเมืองบ่อยครั้ง ทำให้ผู้คนคล้อยตามต่อต้านรัฐบาล และมีเหตุการณ์ปะทะกันกับทหารขุนนางประปราย
แรงประทุของเหล่ามวลชนเช่นนี้ สมควรไม่เกินปัญญาของเหล่ากุนซือใหญ่ที่จะออกนโยบายบรรเทาแรงเสียดทานลงบ้าง หากแต่ยามนี้ ราชสำนักเปลี่ยนแปลง คนมากประสบการณ์ทะยอยลาจาก เหลือเพียงสมุหนายกสุมาอี้ที่กำลังติดพันการศึกด้านนอก ทำให้คนที่รับผิดชอบกับภารกิจเช่นนี้ตามสายงานโดยตรง จึงไปตกอยู่กับเทียบู ในฐานะเสนาบดีเมืองหลวง ซึ่งควบอยู่กับตำแหน่งเจ้าเมืองลกเอี๋ยง อองลอง ผู้เป็นเสนาบดีการศึกษา และโจจิ๋น สมุหราชเลขา ตามลำดับสายงาน
แต่เงื่อนงำก็คือ สองในสามตัวหลักกลับมีปัญหา เทียบูคือจารชนใต้ดินสายกังตั๋ง อองลองถือหางพวกขบวนการฟ้าดิน แต่ละคนจึงมีวาระซ่อนเร้น ต้องการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทำให้เหลือเพียงโจจิ๋นที่มีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหา แต่ถูกอีกสองคนชักจูงให้เลือกวิธีตอบโต้ด้วยความรุนแรง ใช้หลักการข่มขู่ปราบปรามแทนการเจรจายืดหยุ่น เหตุการณ์ที่ตึงเครียดอยู่ก่อนแล้ว จึงยิ่งบานปลายเป็นขบถปัญญาชนไปแล้ว
ช่วงหลัง กลุ่มผู้ประท้วงขยายตัวเป็นหลักพันคน แสดงท่าทีต่อต้านทางการ และเริ่มใช้ความรุนแรงตอบโต้ เช่น ระเบิดควัน ประทัดเสียง ก่อให้เกิดความวุ่นวายตามชุมชนต่างๆ หวังจุดชนวนเรียกร้องกองกำลังติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจ๊กก๊ก ง่อก๊ก หรือทหารหลวงให้ออกมาร่วมกู้ชาติ ล้มล้างสกุลโจให้หมดสิ้น
โจจิ๋นจึงได้แต่สั่งการให้ทหารกำจัดแกนนำคนดังได้ในทันที ไม่คาดคิดว่า หนึ่งในแกนนำใส่หน้ากากขาวที่ถูกสังหารตาย กลับเป็น เอียวตัน ตุลาการใหญ่ อดีตคนสนิทของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ที่ใครๆก็คิดว่า ฆ่าตัวตายหลบหนีคดีความทางทหารไปตั้งนานแล้ว
พอค้นพบเบาะแสเช่นนี้ ยิ่งทำให้วงการการเมืองกลับปั่นป่วนระลอกใหญ่ จากขบถปัญญาชนท้องถนนกลายเป็นขุมกำลังอิทธิพลเก่าแฝงเร้นบงการ ใครที่สามารถคุ้มครองเอียวตันจนซุกซ่อนตัวมาได้ตั้งนาน และชักจูงเพื่อนฝูงคนดังมาร่วม ย่อมต้องมีน้ำหนักภายในราชสำนักไม่น้อย ทำให้กษัตริย์โจผีและเหล่าสกุลโจ แฮหัว ได้แต่ปรับท่าที กลั่นกรองคนทำงานกันใหม่อีกรอบ โดยเฉพาะผู้คนที่มีความเกี่ยวพันกับเอียวตันเป็นพิเศษ
แต่ที่เหนือความคาดหมาย ฮัวหิม-ซินผี ที่เป็นพ่อตาของทายาทสกุลดัง กลับยังคงรอดพ้นปลอดภัย ทำงานรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ได้ตามปกติ ทำให้บางคนร่ำลือว่า คนสนิทอย่างเตียวโถ อองลอง ช่วยออกหน้าค้ำประกัน แต่กลับมีกระแสข่าวว่า ที่จริง เป็นฮัวหิมเองที่ล่อลวงให้เอียวตันปรากฏกาย เพื่อฆ่าตัดตอนตัวการ หวังจบสิ้นความผิดทั้งปวง
ความอึมครึมทางการเมืองยังคงมีอยู่ ขุนนางนายทหารไม่ใคร่สนิทสนมเหมือนก่อน ต่างก็หวาดระแวงเภทภัยพัวพัน กษัตริย์โจผีจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนเข้ามามากมาย จนอาจมีการก่อกวนในพิธีการสำคัญ แต่ก็ยังคงมิวายเกิดเรื่องจนได้อยู่ดี
…
ใกล้จะเริ่มต้นพิธีการ เสียงพิณบรรเลงเพลงกว่างหลิงส่านดังแว่วมาจากด้านเหนือสุสาน เห็นบัณฑิตสูงวัยนั่งกลับหลังหันขึ่ลาผอมโซเหยาะย่างออกมา เห็นปักธง “เรียกร้องความเป็นธรรม” คนที่พอคุ้นเคยต่างบอกกล่าวกันให้ทราบ “เป็นกวานหนิง เมธีหิมะขาว”
กวานหนิง ว่าที่ผู้นำกลุ่มเมธีสัจธรรม ที่เคยปฏิเสธไม่ยอมรับตำแหน่งทางการเมือง และปลีกวิเวกหายไปจากสังคม ยามนี้พลันปรากฏกลางงานพิธี ใช้บทเพลงเสียดสีการเมือง ไม่ทราบว่า ต้องการเจรจาหาข้อยุติให้กับเหล่าปัญญาชน หรือคิดก่อกวนแก้แค้นให้กับปิงหยวน สหายรักที่ตายอย่างอนาถในคดีไฟไหม้สำนักหอสมุดเมื่อสิบปีก่อน
เมื่อบัณฑิตอาวุโสมาเยือน กษัตริย์โจผีก็มิอาจเพิกเฉย โบกมือให้อองลอง เสนาบดีการศึกษาเป็นคนรับหน้าแทน อองลองจึงก้าวออกมาตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง “ท่านกวานหนิงมีเรื่องราวอันใดมาชี้แนะหรือ พวกเรากำลังอยู่ในพิธีการสำคัญ ไม่อาจรีรอได้เนิ่นนานนัก อย่างไรเสีย เชื้อเชิญท่านไปรอที่สำนักหอสมุดใต้หล้าก่อนเถิด”
กวานหนิงลงจากหลังลา พลันทุ่มพิณกู่เจิ้งลงมาหน้าสุสานหลวงจนแตกกระจาย แล้วประสานมือตอบ “ข้าเพียงนำเรื่องมาบอกกล่าว สกุลโจเหิมเกริม บังอาจล่วงเกินต่อราชวงศ์ฮั่น คุกคามบัณฑิต ขุดค้นทรัพย์สิน ทำลายสุสานหลวง ผิดจารีตประเพณี หากวันนี้ น้องปิงหยวนยังอยู่ คงเชือดคอตาย ประท้วงขอความเป็นธรรม แต่มันตายไปนานแล้ว เราจึงได้แต่สอดแทรกชี้แจงต่อฟ้าดิน หวังให้สวรรค์มอบคืนความยุติธรรม”
กล่าวจบ กวานหนิงพลันใช้มีดสั้นเชือดคอตาย ทิ้งร่างลงมากระแทกพื้นที่ลานด้านหน้าสุสาน คล้ายจงใจให้เป็นอาเพท สร้างความแตกตื่นตกใจยิ่งนัก ยังดีที่งานพิธีครั้งนี้ มีเพียงคนใกล้ชิดไม่กี่คน จึงควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย แต่ก็ทำให้เสียฤกษ์ยามไปพอสมควรกว่าจะโยกย้ายซากศพออกไปจากบริเวณนั้น และทำความสะอาดได้เสร็จสิ้น
ขั้นตอนจึงค่อยดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงสุดท้ายที่กษัตริย์โจผีต้องเดินนำขบวนอัญเชิญโลงศพของปฐมกษัตริย์โจโฉเข้าสู่ห้องประธาน ซึ่งจะมีเพียงญาติสนิทในสกุลโจหรือแฮหัวที่ได้รับอนุญาต อันได้แก่ โจหอง แฮหัวป๋า โจจิ๋น และโจฮิว เท่านั้น สุดท้าย จึงมีเพียงตัวแทนสกุลโจสี่ห้าคนและทหารแบกหามในขบวนราชรถอีกสิบคน พร้อมกับฮัวหิม เตียวโถ ซุนต่ำในฐานะผู้ดำเนินพิธีการ เดินหายลับเข้าไปในสุสานหลวง
องครักษ์เตงงายแสดงอาการไม่สบายใจนัก จนสังเกตออกได้ แม้ว่าจะถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากเหล็กครึ่งหน้า องครักษ์กุยห้วยซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกันจึงได้แต่กล่าวปลอบใจ “มันเป็นเรื่องภายในของพวกวงศาคณาญาติ บางที คนนอกอย่างเราก็ต้องยอมล่าถอยให้บ้าง ไปดื่มชารอคอยเวลาทางนั้นกันเถอะ ท่านกากุ๋ย เทียบู โบกมือเรียกแล้ว”
…
สุสานหลวงแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างห้าปีเศษด้วยแรงงานนับหมื่นคน ใช้ต้นแบบของม้ากิ๋นนักประดิษฐ์อัจฉริยะ เริ่มต้นโดยโจสิดกับพวกสำนักหอสมุดใต้หล้า แต่สุดท้ายเป็นซุนต่ำที่มารับช่วงต่อ ภายในยังตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการ ต้องยกคุณความดีให้กับหัวขวาน ที่แอบนำต้นแบบมาจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มาดัดแปลงลดทอนให้เข้ากับยุคสมัย และผสมผสานศิลปกรรมจากปราสาทนกยูงสัมฤทธิ์ให้กับผลงานชิ้นเอกครั้งนี้
กษัตริย์โจผีกับพวกทั้งสาม เพิ่งมีโอกาสชื่นชมเป็นครั้งแรก ยังอดโห่ร้องชมเชยไม่ได้ โครงสร้างด้านนอกสว่างจ้าตามปกติ เห็นถึงการประดับตกแต่งที่วิจิตรสวยงาม แต่ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วธูป ภายในส่วนลึกสุดค่อยๆมืดครึ้มทึบแสง จึงต้องอาศัยคบไฟและไข่มุกราตรีที่วางไว้เรียงรางเป็นเครื่องมือนำทาง จนมาถึงห้องบรรจุพระศพแล้ว มองเห็นนกยูงสัมฤทธิ์ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะเหนือสกุลอ้วน ถูกนำมาวางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตา
คนทั้งสี่ย่อมเข้าใจในความคิดของผู้ออกแบบ โจโฉภาคภูมิใจในสงครามกัวต๋อเป็นที่สุด จึงนำผลงานสัญลักษณ์ดังกล่าวมาประดับให้เกียรติกับผู้ตาย แทนที่จะทิ้งไว้เปล่าประโยชน์เหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะหลังจากที่เกิดขบถปราสาทนกยูงครั้งนั้น เจ้านกตัวนี้ก็ถูกเพลิงเผาผลาญชำรุดไปมาก และถูกละทิ้งไว้ในห้องเก็บของมานานแล้ว
เพียงเผลอสนใจไปกับการตกแต่งอันวิจิตรงดงามไปชั่ววูบ ฮัวหิม ซุนต่ำ ก็กำกับให้ทหารนำโลงศพลงสู่แท่นกลไกเหนือหลุมฝังศพเป็นที่เรียบร้อย รอให้พวกโจผีได้สั่งเสียอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย คนทั้งสี่ เว้นแต่โจหองที่เป็นอัมพาต จึงคุกเข่าลงเป็นแถวเรียงราย กราบไหว้ด้วยธูปเทียนต่อหน้าหลุมศพองค์ปฐมกษัตริย์ตามธรรมเนียม
ซุนต่ำทำหน้าที่กดปุ่มกลไก ให้แท่นรับโลงศพค่อยๆเคลื่อนตัวลงสู่หลุมช้าๆจนสิ้นสุด เห็นเป็นแผ่นไม้หนาเลื่อนมาปิดหลุมศพก่อน แล้วค่อยให้ทหารผลักแท่นปลอมที่วางนกยูงนั้น เข้ามาทับบังร่องรอยกลไกอีกชั้นหนึ่ง นี่คงเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่หลอกลวงพวกโจรปล้นสุสานมิให้ค้นพบซากศพที่แท้จริงในภายหลัง
พิธีการเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนค่อยผ่อนคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง ฉับพลัน ด้านนอกคล้ายเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรง กระแทกโครงสร้างของสุสานหลวงจนสั่นสะเทือน บางส่วนร่วงหล่นปิดทางเข้าออก สร้างความตื่่นตระหนกต่อผู้คนยิ่งนัก
เสียงโครมครามดังขึ้นจากมุมมืดอับแสงพร้อมกระแสลมวูบใหญ่กรรโชกจนคบไฟดับหมดสิ้น เหลือเพียงแสงสะท้อนเลือนรางของเหล่าไข่มุกราตรี แฮหัวป๋ากับโจจิ๋นรีบใช้ร่างกำบังกษัตริย์โจผีเอาไว้ก่อน แต่มือสังหารที่จริงกลับซ่อนตัวอยู่ทางด้านหลัง พอสองขุนพลขยับเคลื่อนที่ จึงเปิดช่องให้ลงมือได้โดยง่าย จึงเห็นลูกเกาทัณฑ์สองดอกพุ่งเข้าปักกลางหลังของโจผีอย่างรุนแรง จนเจ้าตัวล้มคะมำฟุบไปบนโลงศพของโจโฉพอดี
แฮหัวป๋า โจจิ๋นหมุนตัวกลับมารุมล้อมมือสังหาร แต่คาดไม่ถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะยินยอมให้จับแต่โดยดี พอเรื่องราวคลี่คลาย มีคนจุดคบไฟให้แสงสว่างกลับคืน จึงเห็นว่า มือสังหารก็คือ โจเซียง น้องสาวคนละแม่ของโจผีนั่นเอง เห็นเตียวโถที่เข้าไปสำรวจอาการของโจผีเป็นคนแรก ส่ายหน้าพร้อมน้ำตารินไหล “ฮ่องเต้สิ้นแล้ว”
ทุกคนย่อมล่วงรู้กันดีถึงเรื่องราวบาดหมางของสองคนพี่น้อง จึงมิได้แปลกประหลาดใจอันใดนัก สุดท้าย ความพยายามครั้งนี้ก็ทำให้ปัญหาจบสิ้นลงเสียที ยังคงมีเพียงโจหองที่คล้ายติดใจอันใด หากแต่ด้วยความที่เป็นอัมพาตครึ่งซีก พูดจาเคลื่อนไหวไม่ได้ จึงได้แต่จ้องตาเขม็งไปทางร่างของผู้ตายสลับกันไปมากับหัวหน้าขันทีเตียวโถ
โจฮิวลูกชายเข้าใจผิด คิดว่า บิดาเศร้าเสียใจต่อการตายของโจผี จึงได้แต่ปลอบโยนอยู่ข้างๆ ในขณะที่ฮัวหิม เตียวโถ ซุนต่ำปรึกษากันเงียบๆอยู่ทางหนึ่ง แฮหัวป๋า โจจิ๋น มอบหมายให้ทหารคุมตัวโจเซียงไว้ และหาทางเปิดช่องทางเข้าออก
เสียงหัวร่อสดใสดังขึ้นแล้วขาดหาย ทุกคนหันมองโจเซียงที่ยามนี้กลับมีใบหน้าเขียวคล้ำ เลือดไหลออกจากมุมปาก แสดงว่า นางถึงกับซ่อนยาพิษมาฆ่าตัวตายหลังจบสิ้นภารกิจ หมายปิดฉากความแค้นภายในครอบครัว มิให้ถูกไต่สวนให้อื้อฉาวออกไป
ทันใดนั้น เสียงหัวร่อคุ้นหูพลันดังขึ้น เป็นกษัตริย์โจผีที่ลุกขึ้นจากความตาย เดินเข้าไปมองดูน้องสาวคนละแม่ใกล้ๆ พร้อมกล่าวเย้ยหยัน “ความคิดของเจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้หรอก เกาทัณฑ์ของเจ้ามิอาจทะลุเกราะอ่อนที่ข้าสวมใส่ แต่ยาพิษที่เจ้ากินกลับช่วยให้เจ้ารอดพ้นการถูกลงทัณฑ์ประหารไปได้”
โจเซียงขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด หวังสังหารพี่ชายต่อหน้าซากศพบิดา แต่ตนเองกลับใจร้อนด่วนกินยาพิษร้ายแรงไปแล้ว ย่อมมิอาจแก้ไขได้อีก วาระสุดท้าย จึงเพียงได้แต่นึกถึงภาพความทรงจำที่มีกับลกซุนคนรัก เพียงเสียดายที่มิได้ร่ำลากัน
โจเซียงตายแล้ว แต่กระนั้น โจผี คล้ายยังไม่พึงพอใจการก่อกวนทั้งสองรอบที่เกิดขึ้น หรือมีวาระอื่นแอบแฝง จึงชี้มือไปทางทหารติดตามทั้งสิบนาย และแล้ว สามขุนพลพลันชักอาวุธฆ่าปิดปากเหยื่อผู้โชคร้ายทิ้งจนหมดสิ้น พร้อมกลบเกลื่อนเหตุการณ์ จัดฉากให้คล้ายพวกทหารชักอาวุธออกมาตอบโต้ประทุษร้าย
“ยังขาดหัวหน้าด้วยอีกหนึ่งคน” โจผีคล้ายบ้าคลั่ง ปรายตาอำมหิตไปยังซุนต่ำ ผู้ดูแลการก่อสร้าง และเป็นหนึ่งในเมธีสัจธรรมที่กำลังตกใจต่อสถานการณ์ โจจิ๋นปัญญาไว รีบขานรับแผนการด้วยการแทงกระบี่ทะลุคอซุนต่ำในทันที
ที่แท้ แผนการสังหารจอมทรราชย์ กลับรั่วไหลไปได้อย่างไรไม่ทราบ ทำให้โจผีสามารถซ้อนแผน เตรียมการเพื่อจัดการกับคนร้าย อาศัยชนวนเหตุขบถปัญญาชน ถือโอกาสปิดปากคนนอกไม่ให้ล่วงรู้ความลับภายในสุสานหลวง โดยเฉพาะซุนต่ำซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง และบังเอิญมีหลานสาวเป็นภรรยาของโจสิดคู่แค้นเก่า
…
โจผี แฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิว นั่งปรึกษากันเงียบๆอยู่ทางหนึ่ง เตียวโถ ฮัวหิม ยืนคุยกันอีกทางหนึ่ง เหลือเพียงโจหองที่พิการ นั่งบนเก้าอี้ล้อหมุน รอบข้างเป็นซากศพคนตาย ยิ่งนานยิ่งดูน่าอึดอัดใจ แต่จำทนรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอก
หากเป็นเมื่อครั้งตนเองยังเป็นสี่วิญญูชนเมืองหลวง เตียวโถย่อมใช้พลังยุทธ์ที่สูงส่ง สังหารคนสกุลโจ แฮหัว ตรงหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแต่เสียดายที่นับจากที่ถูกลงทัณฑ์จับตอนให้เป็นขันที ลมปราณก็เสื่อมถอยเหือดหาย แม้จะยังคงรอบรู้วิทยายุทธ์ จดจำกระบวนท่าได้ แต่มิอาจใช้ออกด้วยตนเองเสียแล้ว
อันที่จริงแล้ว การกำจัดบุคคลสำคัญเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นกระไรนัก หากแต่มิอาจคาดเดาได้ว่า เมื่อดำเนินการไปแล้ว พวกมันจะสามารถยึดครองอำนาจมาจากพวกสกุลโจได้อย่างไร และจัดการกับขุมกำลังอื่นๆที่เหลือได้อย่างไรต่อไป นั่นคือปัญหาหนึ่งเดียวที่มันขบคิดไม่ทะลุปรุโปร่งมานานหลายปีแล้วเช่นกัน
สุดท้าย ด้านนอกสุสานเปิดทางเข้าได้สำเร็จ กษัตริย์โจผีรีบก้าวเดินออกไปเป็นคนแรก เห็นชักกระบี่คู่ใจ ฟ้าสังหาร ชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจ่างในยามเที่ยง หวังแสดงบารมีต่อผู้คนที่เฝ้ารอคอย อวดอ้างฟ้าดินคุ้มครองให้รอดพ้นจากความตาย
ฉับพลัน เกิดสายฟ้ากรีดผ่านท้องฟ้ามาทางทิศตะวันออกฟาดลงตรงกระบี่ฟ้าสังหารจนหักสะบั้น และเผาไหม้โจผีจนเกรียมไหม้ไปทั่วร่างในพริบตา บางคนกรีดร้องด้วยความตกใจ บางคนตะลึงงัน มองท้องฟ้า ถึงกับเห็นก้อนเมฆมีรูปทรงคล้ายดั่งหัตถ์เทพกำลังทำท่ามุทราลงมาเหนือร่างฮ่องเต้จอมอำมหิตที่ทอดกายแน่นิ่งไปแล้ว
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย