17 พ.ย. 2021 เวลา 00:52 • นิยาย เรื่องสั้น
7.23. จ้าวอาชาพยาบาท
ปาหนง เจ้าชายผงห้าศิลา - สุมาก้วย สุมาจิน ท่านสี่ ท่านหก สายการค้า
ราชาหนุ่มใหญ่อัศวโฆษหรืออดีตขุนพลเงาหิมะ ม้าเฉียว ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ราชวงศ์กุษาณะแห่งอาณาจักรคูซาน เคียงคู่กับเจ้าหญิงรฐา แต่ยังคงอยู่ภายใต้อาณัติปกครองของมหาราชาอิวจื่อผู้ชรา อาศัยการปล่อยม้าอุปการเป็นข้ออ้างในการแผ่ขยายอิทธิพลไปยังนครรัฐต่างๆในแถบชมพูทวีปและภูมิภาคอื่นๆ
การปล่อยม้าอุปการเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอัศวเมธ ซึ่งจัดแต่งเครื่องทรงพิเศษให้ม้า เดินทางไปในแคว้นต่างๆ และให้มีกองทัพนักรบติดตามไปด้วย เพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร หากแคว้นไหนไม่ดูแลต้อนรับม้าอุปการให้สมฐานะ ให้ถือว่ากระด้างกระเดื่องต่อจักรวรรดิ ทหารที่ติดตามไปก็จัดการปราบปรามแคว้นนั้นในทันที
จักรวรรดิคูซานมีอิทธิพลสูงส่ง ผู้นำมีคาถาอาคมน่าเกรงขาม ขุมกำลังเข้มแข็งทั้งกำลังคนและยุทโธปกรณ์ครบถ้วน ใช้การปกครองเป็นธรรม การต่อต้านขัดขืนจากฝั่งชมพูทวีปจึงมีไม่มาก กลับเป็นจักรวรรดิปาเตีย (Parthia) ชนเผ่าอันซีทางด้านเหนือ หนึ่งในสี่มหาอำนาจโบราณ ที่ไม่แยแสต่อม้าอุปการที่ถูกปล่อยออกไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมัวแต่สนใจอยู่กับสงครามยืดเยื้อที่มีต่อชนเผ่าหลัวหม่า หรือไม่ยำเกรงต่ออำนาจราชันย์อิวจื่อคนใหม่ ซึ่งกลายเป็นก้าวย่างที่ผิดพลาดที่บังอาจตอแยคนสกุลม้า
อารยะเทพ ราชครูคนใหม่ หรืออดีตกุนซือคิ้วขาว ม้าเลี้ยง รอบรู้ทั้งเวทมนตร์และกลยุทธ์ จึงประเมินสถานการณ์สามอาณาจักรนอกด่าน อิวจื่อ อันซี หลัวหม่า พอสรุปได้ว่า ภายนอก อันซีกับหลัวหม่าทำศึกติดพันเนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว ต่างฝ่ายต่างสูญเสียกำลังพลไปมาก จนภาพรวมของกองทัพอ่อนด้อยไปกว่าอิวจื่อหลายส่วน
อีกทั้ง ภายใน หลัวหม่ามีภัยโรคระบาดซ้ำซ้อน ไข้ทรพิษเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายระลอก จนไม่อาจฟื้นฟูเศรษฐกิจดังเดิม ส่วนอันซีกลับเป็นปัญหาแตกแยกทางการเมือง เกิดเป็นกองกำลังซาซัน (Sassanid) ทางแดนใต้ คอยจ้องแย่งชิงอำนาจกันอยู่ หากแม้อิวจื่อจับจุดถ่วงดุลย์ได้แม่นยำ สองมหาอำนาจก็จะลดทอนบารมีลงไปได้เอง
ดังนั้น อารยะเทพ-ม้าเลี้ยงจึงเสนอให้พี่ชายไม่ต้องเล่นศึกให้สิ้นเปลือง เพียงใช้กลยุทธ์การเมือง สนับสนุนกองกำลังซาซันให้โค่นล้มคนเผ่าเดียวกันเองจนสำเร็จได้ด้วยการใช้อาคมลอบจับเจ้าชายน้อยมาเป็นตัวประกัน ชักนำกษัตริย์ผู้นำให้ออกมาตายกลางศึก
ต่อมา รัชทายาทปาหนงไม่อาจควบคุมอำนาจทางการเมืองไว้ได้ จักรวรรดิปาเตียถึงกับล่มสลาย จำต้องพเนจรออกไปตั้งกองกำลังพลัดถิ่นแทน สลับบทบาทกับจักรวรรดิซาซันที่เข้ามาแทนที่ และยังต้องอาศัยเวลาอีกหลายปีกว่าจะทำให้อาณาจักรสุขสงบราบคาบ ชนเผ่าอันซีภายใต้การปกครองของผู้นำอาตาซือ จึงได้แต่ต้องจับมือเป็นพันธมิตรกับราชาอัศวโฆษแห่งเผ่าอิวจื่อ ล้วนสมประโยชน์ต่อกันทั้งสองฝ่าย
ม้าเฉียว ม้าเลี้ยง สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ แก้ไขปัญหาบ้านเมืองหมดสิ้น จึงอ้อนวอนต่อมหาราชา ขอกลับมาล้างแค้นให้กับพวกบิดาม้าเท้งและน้องชายบ้าง ซึ่งเป้าหมายย่อมเป็นพวกสกุลโจแห่งวุยก๊ก มหาราชาจึงมอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้คนสกุลม้าสามารถใช้สอยเผ่าเกี๋ยงได้อย่างเต็มที่ พร้อมมอบภารกิจลับสำคัญให้ประการหนึ่งด้วย
การล่มสลายของจักรวรรดิปาเตีย ใจกลางเชื่อมต่อสองภูมิภาค ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเส้นทางการค้าทะเลทรายใหญ่ ขบวนพ่อค้าคาราวานที่เคยเดินทางไปมาระหว่างสี่ประเทศมหาอำนาจที่มีจำนวนน้อยลงอยู่แล้ว ยิ่งไม่กล้าเดินทางไกลผ่านเส้นทางดังกล่าว เพราะโจรร้ายชุกชุมเกินไป สินค้ามีชื่อที่เคยเปลี่ยนมือซื้อขายกันจึงหยุดชะงักลง และเริ่มขาดแคลนจนมูลค่าสินค้าถูกปั่นราคาสูงขึ้นหลายเท่า
ที่จริง การค้าขายบนเส้นทางย่อมเกิดจากผู้ซื้อคือหลัวหม่า และผู้ขายคือไต้ฮั่น โดยมีอันซีเป็นเหมือนตัวกลางครอบครองอาณาเขตส่วนใหญ่บนเส้นทาง คอยเก็บค่าผ่านทาง คุ้มครองภัยโจรร้ายปล้นชิง และให้บริการข้าทาสแรงงานกับอูฐพาหนะในการจัดส่ง ส่วนอิวจื่อพลอยผสมโรง เป็นผู้รับซื้อสินค้าที่เสื่อมสภาพก่อนกำหนด เพราะถูกแดดลมฟ้าฝนทำลายเสียหายระหว่างการเดินทาง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่าลง
สินค้าหลักบนเส้นทางทะเลทรายใหญ่ จึงเป็นผ้าไหม เครื่องเคลือบดินเผา และใบชาหายากของไต้ฮั่นในขณะที่หลัวหม่าตอบแทนกลับให้ด้วยอัญมณี เครื่องเงินเครื่องทอง และผลิตผลแปรรูป เช่น อานม้า พรมทอมือ เหล้าองุ่น เป็นต้น
ต่อมา อิวจื่อเรียนรู้วิทยาการมากขึ้นจากสองอารยธรรมยิ่งใหญ่ สามารถพัฒนาสินค้าท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น นั่นคือ เครื่องเทศ สมุนไพร และผ้าฝ้าย ค่อยๆเพิ่มคุณค่าให้กับตนเองมากขึ้น อันซีจึงไม่ยอมตกขบวน ติดกับดักเพียงแค่ตลาดแรงงานทาส ถึงกับค้นคิดสินค้ายอดนิยมขึ้นมาได้เช่นกัน นั่นคือ ผงห้าศิลา ส่วนผสมในการปรุงยาชั้นเยี่ยมที่มีสรรพคุณกล่อมประสาท มึนเมา เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บลงได้
น่าเสียดายที่สินค้าพิสดารถูกค้นคิดช้าไปบ้าง ตลาดผู้ซื้อรายใหญ่เกิดปัญหาไข้ทรพิษ ผู้คนล้มตายมากมาย และแพร่เชื้อโรคไปรวดเร็ว จนเกิดการปิดประเทศยกเลิกเส้นทางการค้า เพื่อหยุดยั้งการระบาด ทำให้เศรษฐกิจของอันซีพลอยพังพินาศไปด้วย เพราะไม่มีรายได้หลักเข้ามาจุนเจือประเทศเหมือนสภาวะปกติ
ชนเผ่าอันซีบางส่วนจึงแค้นเคืองหลัวหม่าที่เป็นต้นกำเนิดของปัญหาโรคระบาด พาลไปปล้นชิงตามหัวเมืองชายแดนทดแทนรายได้ที่ขาดหาย กลับก่อเกิดเป็นปัญหาข้ามแดนกระทบกระทั่งกันระหว่างหลัวหม่ากับอันซีตลอดมา และชักนำให้ไปสู่การจัดตั้งกองกำลังซาซันที่หวังแบ่งแยกดินแดน เพิ่มอำนาจต่อรอง ในขณะที่อิวจื่อและไต้ฮั่นก็เกิดปัญหาภายในประเทศจนยุ่งเหยิงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยาห้าศิลาของฝ่ายปาเตียเดิมก็ยังสามารถแพร่หลายไปยังตะเข็บชายแดนได้บ้าง และกลายเป็นตัวสร้างรายได้งามให้กับพ่อค้าอันซีได้ดียิ่งนัก โดยแหล่งซื้อขายใหญ่ก็คือเมืองเสเหลียง ปากทางเข้าสู่วุยก๊กนั่นเอง และเนื่องจากการเมืองภายในเมืองจีนยังไม่สงบนิ่ง มีวุยก๊ก ง่อก๊ก จ๊กก๊กตั้งประจันเป็นสามเส้า ต่างฝ่ายต่างแข็งเมือง คนภายนอกจึงยังไม่นับว่าใครคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ สืบต่อจากไต้ฮั่นสักที
รัชทายาทปาหนง ผู้นำกองกำลังพลัดถิ่น และผู้กุมความลับส่วนผสมตัวยา จึงได้แต่ผลักดันให้ผงห้าศิลาเป็นตัวสร้างรายได้ให้กับขุมกำลังตนเอง หวังฟื้นฟูจักรวรรดิปาเตีย จำต้องเดินทางเข้าสู่เมืองเสเหลียงเป็นการลับ เพื่อนัดหมายเจรจาการค้ากับผู้นำสหพันธ์หมาป่าเงินนามสุมาก้วย หวังเปิดตลาดให้ครอบคลุมทั้งสามก๊กอดีตแดนฮั่น
เมืองเสเหลียงในยามนี้ ยังคงเป็นหันซุย เทพเจ้าการุณย์แขนเดียวปกครองเช่นเดิม โดยมีเฮ็กเจียว ศิษย์เอก ตั๋งไป๋และเกียงอุย หลานศิษย์เป็นผู้ช่วยดูแล เมืองหน้าด่านที่มีคอกม้าพันธุ์ดีกระจายอยู่ เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ สอดรับกับเส้นทางการค้าทะเลทรายใหญ่ที่สหพันธ์หมาป่าเงินฟื้นฟูขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นประตูเข้าออกสำคัญของพ่อค้าคาราวานโดยทั่วไป ชนเผ่าฮั่น เกี๋ยง เซียนเปย และอื่นๆ ต่างเคลื่อนไหวเป็นอิสระได้อย่างคึกคักยิ่งนัก
ตั๋งไป๋ หลังจากแยกทางกับพวกจูกัดเหลียง ล้างมือเลิกล้มกลุ่มนักสู้ผู้พิทักษ์แล้ว ก็ทุ่มเทพัฒนาศิษย์เอกเกียงอุย หวังส่งเสริมให้หนุ่มน้อยมีความก้าวหน้า เช่นเดียวกันกับเฮ็กเจียว ลูกศิษย์หันซุย ที่มีทั้งฝีมือสูงส่ง และรอบรู้กลยุทธ์พิชัยสงคราม ก็ถูกหันซุย ผู้เป็นอาจารย์อา ฝากฝังให้ช่วยสั่งสอนด้วยอีกแรง
ที่จริง หันซุยย่อมมองเห็นว่า เฮ็กเจียวมีความสนใจในตัวของตั๋งไป๋ตั้งแต่แรกพบ จึงพาลคิดจับคู่เสริมส่ง หากแต่ตั๋งไป๋คล้ายมีอดีตฝังใจลึกซึ้ง จิตใจเฉยชา ยังคงไม่ยินยอมปลงใจเรื่องความรัก ทำให้เรื่องราวคาราคาซังมานานหลายปีแล้ว
สุดท้าย ตั๋งไป๋ เฮ็กเจียว กับเกียงอุยออกมาเดินเล่นจับจ่ายข้าวของในตลาดด้วยกันสามคน พลันเห็นคนที่ไม่อยากพบเจอ ยืนแสยะยิ้มรอคอยอยู่ตรงหน้า เป็นกุยห้วย ขุนพลสะท้านขวัญ และหนุ่มใหญ่ท่าทางสูงศักดิ์สองคน คนหนึ่งใส่หน้ากากปีศาจครึ่งหน้า คนหนึ่ง ใบหน้าเคร่งเครียด พลันตระหนักว่า เผือกร้อนได้มาถึงแล้ว
กุยห้วยแนะนำให้รู้จักกัน เป็นแฮหัวหลิมกับโจต้าย สองในห้าเทพบุตร ทำให้เฮ็กเจียวที่พอคุ้นเคยกับระบบการเมืองต้องตื่นตัว คิดไม่ออกว่า เหตุผลกลใดที่ลากเอาสามเสนาบดี การทูต ตุลาการ และการค้ามายังเมืองใหญ่ชายแดนครั้งนี้
ยังมี สายตาที่แฮหัวหลิมหรืออดีตองครักษ์เสี่ยวตัน จ้องมองต่อตั๋งไป๋นั้น ดูไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย ทำให้เฮ็กเจียวทั้งสามร้อนใจ ใคร่อยากจะหายตัวไปจากที่นั้น
สุมาก้วยกับสุมาจิน คนที่สี่และคนที่หกในสกุลสุมา ซึ่งเป็นตัวหลักงานสายบุ๋น ดูแลสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินเป็นหลัก เพ่ิงกลับมาจากการขนย้ายขุมทรัพย์ฟ้าเหลืองเข้าสู่คลังลับฟ้าประทานเสร็จสิ้น และเดินทางตรงมายังเพิงน้ำชานอกเมืองเสเหลียง อันเป็นที่นัดหมายในทันที หวังประหยัดเวลาเดินทาง ได้เจรจาการค้ากับเจ้าชายปาหนงก่อน ค่อยนำเรื่องไปเสนอต่อพี่ชายสุมาล่งและสุมาอี้ในภายหลัง
สถานที่ค่อนข้างเปลี่ยว เปิดโล่งมองเห็นได้ไกล ผู้คนก็ไม่พลุกพล่านมากนัก นานๆจะมีขบวนพ่อค้าเดินทางผ่านไปมาสักรายสองราย ทั้งสองจึงค่อยคลายใจ นึกชมเชยฝ่ายตรงข้ามที่เข้าใจเลือกสรรจุดนัดหมายที่ง่ายต่อการตรวจสอบ จึงเรียกหาน้ำชามาดื่มกิน
แต่แล้ว กลับเป็นคนแปลกหน้าสามคนในชุดนอกด่าน ลอยตัวลงมาจากต้นไม้สูงด้านบน ที่แท้ พวกอันซีมากเล่ห์กล ถึงกับลอบซ่อนตัวอยู่ก่อนแล้ว ตรวจสอบไม่พบพิรุธ จึงยินยอมเผยตัว เจ้าชายปาหนงแนะนำตัวผู้ร่วมทาง เป็นหนึ่งขุนพล หนึ่งราชครู สมุนซ้ายขวาสำคัญของกองกำลังพลัดถิ่นที่ล้วนแต่มีวิทยายุทธ์ติดตัวไม่น้อย
ข้อเสนอของปาหนงรวบรัดชัดเจนยิ่งนัก เพียงต้องการให้คนสกุลสุมานำผงห้าศิลาไปกระจายต่อให้ทั่วทั้งสามก๊ก สร้างรายได้ให้ถึงห้าสิบหมื่นตำลึงภายในหกเดือน เพื่อพวกมันจะได้มีทุนต่อสู้กับจักรวรรดิใหม่ซาซันที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่
สุมาทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คาดไม่ถึงว่า คนอันซีจะนำเรื่องร้อนแรงมาเสนอต่อพวกตน แทนที่จะเป็นการค้าขายสีเทาที่พอรับมือได้ง่าย กลับกลายเป็นปัญหาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างชาติมหาอำนาจ และสงครามล้างเผ่าพันธุ์เสียแล้ว
แน่นอนว่า ท่าทีของคนสายบุ๋นทั้งสองไม่รอดพ้นสายตาของคนอันซีไปได้ เจ้าชายปาหนงตระหนักว่า ฝ่ายตรงข้ามลังเลใจ ไม่ห้าวหาญพอจะรับมือกับสินค้าลวกมือเสียแล้ว ทำให้ผิดหวังอยู่บ้าง พร้อมเอ่ยปาก “หากเจ้าตัดสินใจกันไม่ได้ เราควรว่ากล่าวกับผู้ใดก็จงบอกออกมาเถิด เราต้องการคำตอบโดยเร็ว มิอาจชักช้าให้เสียการใหญ่”
“เป็นพวกเราที่เจ้าสมควรมาถามไถ่การค้าที่สำคัญเช่นนี้” เสียงกังวานมาแต่ไกล แล้วไล่ระดับชัดเจนมาขึ้นเรื่อยๆ เห็นเงาร่างสีเขียวพุ่งตรงมาแต่ไกล ใช้เวลาเพียงพริบตาก็มาถึงตรงหน้าแล้ว สร้างความตื่นตระหนกต่อผู้คนกลุ่มแรก
เป็นหนุ่มใหญ่ใบหน้าร่างกายเป็นสีเขียวเข้มในชุดรัดกุม มือข้างหนึ่งกลับเป็นกรงเล็บตะขอเหล็ก ยืนตระหง่านท้าทายสายตาคนต่างชาติทั้งสาม จากนั้น เสียงฝีเท้าม้าค่อยดังขึ้น พร้อมกับคนสามสี่คนตามมาทีหลัง เป็นแฮหัวหลิม โจต้าย เฮ็กเจียว และตั๋งไป๋
“สายข่าวแจ้งว่า คนสกุลสุมาคิดการณ์เหิมเกริม บังอาจทำการค้าข้ามชาติกับคนเผ่าอันซี อาจก่อเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท่านโจจิ๋นจึงสั่งการเป็นความลับให้พวกเราสามเสนาบดี ซึ่งดูแลงานทูต งานตุลาการและงานการค้ามาตรวจสอบด้วยตนเอง ถึงกับพบเห็นความจริงตามที่สืบทราบ ขอให้เจ้าผู้มาเยือนกลับไปยังถิ่นฐาน ล้มเลิกความพยายามเสียเถิด พวกเราชาววุยไม่ต้องตอแยก้าวก่ายกับเรื่องของชนเผ่าอื่น” โจต้ายเป็นต้นเรื่อง จึงกล่าวถ้อยคำมากมายจนเหนื่อยหอบ หันมาว่ากล่าวต่อพี่น้องสุมา “ส่วนเจ้าทั้งสองมีความผิดโทษฐานคบคิดคนนอก ชักศึกเข้าบ้าน จงติดตามพวกเรากลับไปสารภาพผิด ตัดสินคดีความกันที่เมืองหลวง เฮ็กเจียว ตั๋งไป๋ ลงมือจับกุมเถิด”
เจ้าชายปาหนงย่อมไม่ยินยอมละทิ้งภารกิจอย่างง่ายดาย ส่งสัญญาณให้ขุนพลและราชครูจัดการต่อผู้มาใหม่ สองมือดีจากเผ่าอันซีพุ่งร่างชักอาวุธแยกย้ายกันลงมือต่อคนที่ว่ากล่าวและคนที่ใส่หน้ากาก ในขณะที่ปาหนงเองลงมือต่อคนร่างเขียวโดยตรง
พวกปาหนงทั้งสามรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวตรงหน้าวูบวาบ ถึงกับถูกฝ่ามือกระแทกใส่ที่กลางอก ล้มลงไปนอนกับพื้น ชาด้านไปครึ่งร่าง ที่แท้ คนร่างเขียวคนเดียวกลับลงมือได้รวดเร็วยิ่งนัก ฟาดฝ่ามือเข้าใส่คนเผ่าอันซีจนบาดเจ็บบอบช้ำ แต่หากไม่ยั้งมือ ใช้มือข้างที่ติดกรงเล็บเหล็กแทน เห็นทีว่า สามชีวิตคงเดินทางไกลมาตายเปล่าประโยชน์แล้ว
คนกรงเล็บเหล็กจึงกล่าว “จงจำไว้ เราคือขุนพลสะท้านขวัญ กุยห้วย ดำรงตำแหน่งเสนาบดีการทูต แต่หากพวกเจ้ายังไม่ยินดีถอนตัว เราก็จะไม่ออมมือให้แล้ว”
ปาหนงเจ็บแค้นภายในใจ หากแต่ต้องยอมรับว่า ฝีมือห่างชั้นกับคนฝ่ายตรงข้ามเกินไป จึงไม่ว่ากล่าวอันใด โบกมือให้ลูกสมุนล่าถอย ล้มเลิกการค้าข้ามชาติ ทำให้ผงห้าศิลา ไม่ได้เข้ามาแพร่หลายในแผ่นดินจีนไปได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีโดยบังเอิญ
หลายปีต่อมา บทสรุปของเผ่าอันซีคือปาหนงถูกลอบสังหาร ปิดฉากกลุ่มปาเตีย แต่ผงห้าศิลาก็ยังหลุดรอดเข้ามาแพร่หลายในชนชั้นสูงของจีนด้วยสรรพคุณใหม่ทางด้านอายุวัฒนะและเพิ่มพลังทางเพศ จนภายหลัง จึงค้นพบกันว่า ตัวยายังมีผลข้างเคียงแอบแฝง นั่นคือ การบ่อนทำลายสุขภาพร่างกาย และทำให้เสพติดรุนแรง ไม่อาจหยุดยั้งได้ อีกทั้ง ยิ่งใช้ยิ่งมึนงงซึมเศร้า จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย จึงถือว่า เป็นยาพิษทำร้ายผู้คนประเภทหนึ่ง
...
สุมาก้วย สุมาจิน ถูกควบคุมตัวกลับมากักขังในคุกหลวงอีกหลายวัน เพื่อรอเคลื่อนย้ายในภายหลัง เพราะพวกแฮหัวหลิมยังไม่มีกำหนดการเดินทางกลับ คล้ายมีวาระอื่นแอบแฝง หันซุยในฐานะเจ้าเมืองเสเหลียงจึงได้แต่ให้การต้อนรับ จัดที่พักให้อยู่อย่างสมฐานะ ปล่อยให้พวกมันทั้งสามที่มีตำแหน่งสูงส่งคับฟ้า ได้โอกาสถืออภิสิทธิ์ ปลดปล่อยผ่อนคลายอารมณ์ได้เต็มที่ เรียกหาสาวท้องถิ่นเข้ามาบำเรอความสุข
อันที่จริง ปัญหาย่อมเกิดจากการที่แฮหัวหลิมยังคงติดใจชอบพอต่อตั๋งไป๋ จอมยุทธหญิงงาม จึงตามเกี้ยวพาราสี หาเหตุเรียกหาเข้าพบบ่อยครั้ง ทำให้พวกหันซุยลำบากใจ ต้องแสร้งให้นางหายตัวไปจากเมืองสักระยะหนึ่ง จนนำไปสู่ปัญหาใหม่อีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ เกียงอุยซึ่งมีความแค้นต่อคนสกุลสุมาเป็นทุนเดิม ตั้งแต่รับรู้ว่าสองสุมาถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกหลวง ก็เฝ้าครุ่นคิดหาหนทางลงมือ หวังสร้างความเจ็บปวดให้กับสมุหนายก สุมาอี้ สักครา แต่ต้องไม่ทำให้พวกหันซุยติดร่างแหไปด้วย จึงเฝ้ารอสังเกตอยู่เงียบๆ
เมื่อตั๋งไป๋ไม่อยู่ ยิ่งเข้าทางเกียงอุย ไม่มีใครคอยห้ามปราม เกียงอุยจึงคิดเสี้ยมให้คนสกุลโจมีปัญหารุนแรงกับพวกสุมา สร้างเรื่องให้ฆ่าฟันประหัตประหารกันเอง
ค่ำคืนหนึ่ง เกียงอุยจึงวางยาสลบทหารรักษาการณ์ หวังใช้ดาบเดียวสังหารสองสุมาให้ตายคาคุกหลวง แต่ยังไม่ทันเข้าถึงคุกชั้นใน กลับเป็นอาจารย์ปู่หันซุยยับยั้งไว้
หันซุยเกลี้ยกล่อมให้เกียงอุยเข้าใจในสถานการณ์ การฆ่าฟันในคุกหลวงย่อมก่อเกิดผลร้ายต่อคนเสเหลียงไม่สิ้นสุด จนเด็กหนุ่มมากแค้นต้องยอมเลิกรา ล่าถอยออกไป แต่แล้ว กลับเป็นหันซุยเองที่ปลดกุญแจเปิดทางให้พวกสุมาก้วยหลบหนี
“เราเองถือเป็นสมาชิกของขบวนการฟ้าดิน ท่านจูกัดกุ๋ยชักชวนเกลี้ยกล่อมเอาไว้เมื่อครั้งที่ท่านออกนอกด่านหาทางช่วยเหลือบุตรชาย เบื้องแรก เรายังเห็นว่า โจโฉคนพ่อเพียงแข็งกร้าวสามหาวต่อองค์เหี้ยนเต้เกินไป จึงเพียงจัดตั้งกลุ่มนักสู้ผู้พิทักษ์ให้รับใช้ต่อสกุลจูกัด หากแต่เมื่อโจผีคนลูกบังอาจปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ปล้นชิงสุสานหลวง ยิ่งอำมหิตเกินคน จึงยิ่งชิงชังรังเกียจ หวังพึ่งพาขบวนการลับให้ล้มล้างสกุลโจ โดยติดต่อนัดหมายกับจูกัดเหลียง รอเวลาจัดการขั้นเด็ดขาด” หันซุยกล่าวเฉลย
“เราทราบดีว่า ท่านสุมาอี้ก็เป็นสมาชิกขบวนการฟ้าดิน ล้วนแต่เป็นพรรคพวกเดียวกัน จึงคิดหาทางช่วยเหลือท่านให้หลบหนีเภทภัยการเมืองไปก่อน อย่างน้อย พวกท่านจะได้ปลอดภัยไร้เรื่องราวพลิกผันในคดีความ”
พวกสุมาก้วยรับฟังแล้วค่อยคลายใจลง รีบหลบหนีออกจากคุกหลวง หันซุยเพิ่งถอนหายใจโล่งอก พลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวผิดปกติ จึงชักอาวุธพร้อมตั้งรับ “เป็นผู้ใดกัน”
เห็นโจต้ายทำใจดีสู้เสือ โบกพัดก้าวออกมายืนตั้งรับด้วยสีหน้าตึงเครียด “คิดไม่ถึงว่า ท่านเจ้าเมืองจะช่วยเหลือพวกสุมาให้หลบหนี มิทราบเป็นเพราะเหตุผลอันใด”
หันซุยอ้ำอึ้ง มิรู้จะตอบโต้เช่นไร โจต้ายอ่านสีหน้า เห็นว่า ยังพอมีหนทางคลี่คลาย จึงคิดล้วงสัญญาณพลุไฟ เรียกพวกพ้องมาเสริม แต่กลับมีปลายกระบี่แทงทะลุหัวใจมาจากด้านหลัง ทั้งยับยั้งการส่งสัญญาณ ทั้งปลิดชีวิตลูกชายโจหยินไปแล้ว
หันซุยมองหน้ามือสังหาร ไม่คาดคิดว่าชาตินี้จะได้พบกันอีก พลันรู้สึกเสียววูบที่ปลายแขนข้างที่ขาดหาย ค่อยโพล่งขึ้น “ม้าเฉียว...”
เห็นม้าเฉียวแย้มยิ้มเย็นชา ความแค้นที่เสียเมียคนแรก นางเอียสีหรือเจ้าหญิงอัชฌา และลูกสามคน ถูกเหมารวมว่า เป็นเพราะหันซุยหักหลังทำร้ายพวกตน จนแม้แต่ม้าเลี้ยงกับพวกไม่กล้าเฉลยความจริงแก้ต่างให้กับเพื่อนสนิทของบิดาในรายละเอียดครั้งก่อน ดังนั้น หันซุยจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายล้างแค้นของม้าเฉียวมาโดยตลอด
หันซุยชราแล้ว คาดเดาได้ว่า ม้าเฉียวยังเคืองแค้นในเรื่องคราก่อน ซึ่งตัวเองมีส่วนผิดจริง จึงไม่คิดต่อต้าน ปล่อยให้กระบี่ของม้าเฉียวทะลุผ่านร่างตนเองอย่างง่ายดาย
ม้าเลี้ยงตามมาทีหลัง พบเห็นหันซุย โจต้ายล้วนนอนตายด้วยฝีมือม้าเฉียว ไม่คาดคิดว่า หันซุยจะอยู่ในรายชื่อล้างแค้นของม้าเฉียวด้วย จึงไม่ทันได้ช่วยแก้ต่างไว้ก่อน และภายในคุกกลับไม่พบเห็นสองสุมาแล้ว จึงผิดคาด เพราะพวกมันเพียงคิดสังหารนักโทษในคุกหลวง สร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองวุยก๊กสักครา
ที่แท้ แผนการครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างคนสกุลม้าทั้งสองฝ่าย แผนการของขงเบ้งขั้นต่อไปคือต้องการยกทัพบุกวุยก๊ก หากแต่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสุมาอี้ที่อาจจะถูกวางตัวให้มารับศึกในรอบแรก ม้าเจ๊กซึ่งมีผลงานสยบศึกเบ้งเฮ็ก ได้กลับมาทำหน้าที่กุนซืออีกครั้ง จึงรับอาสาสร้างข่าวลือสร้างความแตกแยกให้ระหว่างสุมาอี้กับราชสำนัก หวังให้โจยอย โจจิ๋น ส่งผู้อื่นมารับศึกแทน
พอดีกับทางพวกม้าเฉียวได้รับอนุญาตจากมหาราชาอิวจื่อ ตระเตรียมเข้ามาทวงแค้นส่วนตัว จึงติดต่อมาถึงม้าเจ๊กม้าต้าย รับรู้วาระต่อไปของจ๊กก๊กซึ่งสอดคล้องต้องกัน ม้าเลี้ยงจึงร่างแผนชักนำเผ่าเกี๋ยงร่วมมือกับจ๊กก๊ก เจาะทำลายวุยก๊กสักครา เปลือกนอกใช้ศึกสงครามหลอกล่อ แต่แท้จริง เพียงใช้คนสกุลม้าลอบสังหารผู้คนชั้นนำตามจุดแข็งที่พวกตนได้รับการฝีกฝนเพิ่มเติม นั่นคือ คาถาอาคมจากเผ่าอิวจื่อ
เป้าหมายแรกในการจู่โจมจึงเป็นเมืองเสเหลียง จุดยุทธศาสตร์แดนพายัพที่สามารถยับยั้งกองทัพชนเผ่านอกด่านและกองทัพจ๊กก๊ก ไม่ให้สอดประสานกันได้ ซึ่งเผอิญหันซุยเป็นเจ้าเมืองที่เข้มแข็ง แต่พอดีเกิดคดีสองสุมาคบค้าต่างชาติเข้ามาสอดแทรกนั่นเอง
มือสังหารที่น่าสงสัยสองคนจากไปแล้ว ซากศพของหันซุย โจต้ายเริ่มแข็งทื่อ ที่หีบลังเก็บสินค้าของร้านค้าแผงลอยด้านข้างตรอก จึงค่อยปรากฏร่างคนสองคนขึ้น เป็นสุมาก้วย สุมาจิน สองนักโทษที่ใครๆคาดคิดว่า หลบหนีไปแล้ว
ความคิดของคนสกุลสุมาย่อมแปลกประหลาดกว่าคนอื่น คนทั่วไปคิดหลบหนีทันทีที่มีโอกาส แต่พวกสุมาก้วยกลับรอดูเหตุการณ์ให้ถึงที่สุด ไม่เชื่อใจว่า คนปล่อยตัวมีความจริงใจมากน้อยเพียงไร หรืออาจจะเป็นแค่ “จะจับแสร้งปล่อย” หวังให้การหลบหนีเป็นสาเหตุให้ลงมือฆ่าฟัน จึงพาลกระทำการตรงกันข้าม
เห็นสุมาพี่น้องเดินกลับเข้าสู่ประตูคุก ล่ามโซ่สับกุญแจเรียบร้อย ราวกับพวกตนมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอก พวกมันมีความผิดเพียงติดต่อค้าขายกับคนต่างเผ่า เป็นโทษสถานเบา เมื่อเทียบกับการพัวพันกับคดีสังหารคนสำคัญด้านนอก
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา