19 พ.ย. 2021 เวลา 00:28 • นิยาย เรื่องสั้น
7.25. หาญท้าพญามารเวทย์
ซิหลง ขุนพลเสือสมิง - แฮหัวหลิม เทพบุตรเป็ดชั่ว - โจต้าย เทพบุตรดาวตก
บนเนินเขาห่างไกลเมืองเทียนซุยหลายสิบลี้ เงาร่างสองสายพลันหยุดเท้าลงพร้อมกันราวกับต้องมนตร์สะกด กุยห้วย จูล่ง สูดดมกลิ่นหอมประหลาดพร้อมเห็นแสงสีแดงวูบตรงหน้า พลันคล้ายตกอยู่ในม่านหมอกหนาทึบ มองไม่เห็นอะไรห่างไกล ทั้งที่สมควรเป็นเวลาเที่ยงวันเท่านั้น จึงรีบตั้งท่าเตรียมพร้อม
จูล่งรู้สึกผิดท่า พลันนึกถึงประสบการณ์ที่เคยพบพานบนเขาลำธารสวรรค์ รีบหยิบตัวยาสมุนไพรที่ภรรยาให้ติดตัว มาใช้ป้ายจมูกโดยเร็ว ทำให้หลุดพ้นมนตรามายา พบเห็นกุยห้วยเดินสะเปะสะปะอยู่ทางหนึ่ง คล้ายตกอยู่ในม่านหมอกมนตร์สะกด และอีกด้าน ยังมีคนผู้หนึ่งที่คุ้นหน้า กำลังเดินสาวเท้าเข้ามาหาพวกตน เป็นม้าเฉียว อดีตขุนพลเงาหิมะ หรือราชันย์อัศวโฆษจากเผ่าอิวจื่อนั่นเอง
ม้าเฉียวได้รับสร้อยมนตรามาจากเจ้าหญิงรฐา เรียนรู้เวทมนตร์ได้ไม่นาน พลังสะกดจึงยังอ่อนด้อย ทำให้จูล่งตั้งสติแก้ไขได้ทันเวลา จึงชักทวนเหล็กคู่ใจขึ้นมาบ้าง พร้อมนึกเสียดายที่แต่เดิม ตัวเองเชื่อมั่นในเวทมนตร์เกินไป จึงมิได้นำพวกพ้องมาด้วยสักคน
“ที่แท้ เจ้าคือตัวการที่อยู่เบื้องหลังการตายของตั๋งไป๋ ใช่หรือไม่ แผนลอบจับกุมแฮหัวหลิมรั่วไหล ก็เป็นเพราะม้าเจ๊กน้องชายเจ้าคิดขึ้น หลอกล่อให้เราเป็นคนลงมือ เพื่อให้เจ้าเตรียมเส้นผมปลอมมาหวังสร้างคดีทิ้งหลักฐานมัดตัวเรา” จูล่งกระชากเสียงถามไถ่อดีตขุนพลสวรรค์ ลางสังหรณ์บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของมันสองคนที่ไม่ใคร่จะราบรื่นนั้น อาจจะเป็นสาเหตุของเรื่องราวในครั้งนี้
“เก่งมาก จูล่ง เพียงคาดเดาก็ตอบได้ถูกต้อง ข้าเองเป็นคนที่ลงมือสังหารผู้คนทั้งหันซุยโจต้ายและตั๋งไป๋” ม้าเฉียวยอมรับอย่างทระนง “เจ้าคือคนที่เคยร่วมมือสังหารท่านพ่อกับน้องฮิว ทำร้ายน้องหยุนลู่จนตรอมใจตาย และยังขัดขวางงานของข้าอีกหลายครั้ง ข้าจึงหวังทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของเจ้า และทวงคืนชีวิตให้กับน้องชายน้องสาวของข้า ตั๋งไป๋เพียงโชคร้ายที่ตกเป็นเหยื่อติดร่างแหในแผนการล้างแค้นเท่านั้น”
ที่แท้ ค่ำคืนนั้น แฮหัวหลิมจอมราคะ ถึงกับใช้ยาสลบเจือปนสุราให้ตั๋งไป๋หมดสติ หวังก่อเหตุข่มขืนจริงๆ แต่จอมยุทธ์หญิงคืนสติได้ทัน สามารถทุบตีขับไล่แฮหัวหลิมไปได้ เผอิญโชคร้ายที่ม้าเฉียวมาพบเห็น จึงเปลี่ยนแผนกลางคัน หันมาสวมรอยสังหารตั๋งไป๋ ทิ้งเบาะแสเป็นเส้นผมสีเขียวไว้ เพราะคดีฆาตกรรมที่คนตายเป็นหญิงสาวคนดังประจำท้องถิ่น ย่อมกระตุ้นความแค้นของผู้คนได้มากกว่าขุนพลหนุ่มจากเมืองหลวงแน่นอน
น่าเสียดาย จอมยุทธ์หญิง หวังใช้ชีวิตสุขสงบในบั้นปลาย เผอิญถูกชะตากรรมนำพาให้มาพัวพันกับมรสุมอาฆาตแค้น กลับถูกทำร้ายจนตาย ยังดีที่พวกเฮ็กเจียววางเส้นสายเครือข่าย จนล่วงรู้ความลับบางส่วน กลับทำลายแผนการชั่วร้ายของคนสกุลม้าไปได้
ตัวการม้าเฉียวจึงได้แต่ต้องตามมาลงมือด้วยตนเอง เพื่อให้จบสิ้นเรื่องราวก่อนจะไม่มีโอกาสพบพานกันอีก ช่วงเวลาที่เป็นอิสระของมันก็มิได้มีมากมายเช่นกัน
เสียงทวนเหล็กปะทะดาบสยบมังกรถี่ยิบ สองขุนพลสวรรค์ ท่องเมฆา เงาหิมะ มีทั้งสัดส่วนรูปร่างและวัยใกล้เคียงกัน ต่างทุ่มเทให้กับวงศ์ตระกูล หวังบุกเบิกสร้างชื่อเสียงแสวงหาอำนาจ ทำให้พลังยุทธและชื่อเสียงแทบจะเทียบเคียงกันมาโดยตลอด
มีเพียงช่วงหลังของชีวิตที่คนหนึ่งได้รับปาฎิหาริย์มังกรจนฉลาดปราดเปรื่อง จิตใสกระจ่าง และมีพลังตาสะกดผู้คน อีกคนหนึ่งได้วิชชาอาคมต่างแดน สามารถร่ายมนตรามายาได้ด้วยอุลกมณีวิเศษ เช่น เสกนกอินทรีพุ่งเข้าใส่บ้าง เปลี่ยนสภาพแวดล้อมเป็นป่าไม้วังเวงบ้าง หรือแม้แต่กลายร่างตนเองเป็นผู้อื่น ก่อกวนให้สับสน เป็นต้น
ที่จริง ม้าเฉียวสมควรมีเปรียบ อาศัยพลังมายาเสริมการจู่โจม หากแต่จูล่งเคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว จึงตั้งสมาธิให้พลังเนตรมังกรทำงาน และดวงจิตที่นิ่งสงบด้วยสำนึกแห่งมังกร ทำให้มนตราอาคมไม่อาจก่อกวนล่อลวงจูล่งได้นานเช่นคราวก่อน แต่ในทางกลับกัน ดวงจิตที่แกร่งกล้าด้วยวิชชาอาถรรพ์ก็เป็นแรงต่อต้านพลังเนตรมังกรได้ระดับหนึ่ง พลังวิเศษนอกโลกจึงไม่อาจสะกดคนสายอาคมได้เช่นกัน
สุดท้าย สองยอดฝีมือจึงปะทะกันด้วยพลังฝึกปรือแท้จริง ทวนดาบที่น้อยคนจะต้านรับได้ หากแต่จูล่งยังมีพลังสุริยันสะท้านภพ และเบื้องหลังแท้จริงที่เคยผ่านประสบการณ์เป็นถึงระดับสุดยอดยุทธจักรแห่งยุคสมัยหนึ่งในอนาคตมาก่อน
จูล่งจึงหลอกล่อให้ม้าเฉียวตายใจ และพลันใช้พลังปราณแกร่งกล้าฟาดใส่กลางอกของม้าเฉียวเต็มแรง จนอัญมณีสีแดงบนสร้อยคอแตกกระจาย และร่างของม้าเฉียวปลิวคว้างไปไกลหลายวา หากไม่ขาดใจตายก็สมควรบาดเจ็บสาหัสแล้ว
...
ทันใดนั้น หมอกควันสีแดงอันเกิดจากอุลกมณี พลันพวยพุ่งห่อหุ้มร่างของม้าเฉียว แปรเปลี่ยนสภาพจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นดั่งพญามารมัจจุราชสีแดงทั้งร่างกาย ขนาดเท่าคนสองช่วงตัว มีเขาโค้งปลายคมกริบ และดวงตาเป็นลูกไฟกลมโต พลันเปล่งลำแสงสีแดงจากตาเข้าใส่จูล่งอย่างรวดเร็ว
จูล่งยืนตัวแข็ง ตื่นตะลึงต่อการกลายสภาพอันน่าสะพรึงกลัว จึงได้แต่ใช้พลังเนตรมังกรต้านทาน แสงสีเขียวแดงตัดกันรุนแรง จนเกิดเสียงดังสนั่น เห็นจูล่งกระอักเลือด ปลิวคว้างไปหลายวา ในขณะที่พญามารเพียงถอยหลังไปสองสามก้าวเท่านั้น
กุยห้วยที่ตกอยู่ในภวังค์มายาสะกดตั้งเนิ่นนานแล้ว พอม้าเฉียวผู้ร่ายมนตร์แปรเปลี่ยน มนตราจึงเสื่อมคลาย พลันเห็นตัวประหลาดสีแดงขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า เพิ่งวิ่งผ่านร่างตนเองไปอย่างเฉียดฉิว จึงไม่ทันคิดกระไร รีบใช้กรงเล็บเหล็กกวาดใส่ด้วยพลังภายในที่อัดแน่น หมายทำร้ายให้บาดเจ็บสาหัสไว้ก่อน
เสียงคว้ากดังขึ้นพร้อมเลือดสีเขียวหลั่งไหลออกจากบาดแผลที่ท่อนแขน มัจจุราชร่างแดงร้องด้วยความเจ็บปวด หันมาทางกุยห้วยอย่างประสงค์ร้าย พร้อมเปล่งแสงสีแดงจากดวงตา กระแทกใส่เต็มร่างของเป้าหมายในทันที ยังดีที่กุยห้วยมีพลังเกราะเกล็ดมังกรคุ้มครองกาย ผนวกกับพลังมังกรทั้งภายในภายนอก จึงพอรับแรงกระแทกเอาไว้ได้ เพียงปวดแสบปวดร้อนตามตัวราวกับถูกไฟลวกรุนแรง พยายามยันตัวขึ้นมายากเย็น
เสียงคำรามก้องกังวานสะท้านไปทั่วบริเวณ เสียวเอี่ยนจื่อ เหยี่ยวดำตามมาถึง พลันวิ่งทะยานพร้อมใช้กระบี่ม่อเสียและกระบี่สั้นสัตตดาราในมือ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเป็นมนุษย์ปราณกระบี่สองสาย พุ่งเข้าหามัจจุราชสีแดง กุยห้วยเห็นเป็นโอกาส จึงพลอยฮึดสู้ ใช้กรงเล็บเหล็กร่วมประสาน หวังสังหารอมนุษย์ตรงหน้าให้ได้
ที่แท้ เสียวเอี่ยนจื่อ-นางแอ่น กังวลใจต่อคำเตือนของปีศาจฮองเย่อิง จึงติดต่อกับเหยี่ยวดำผู้เป็นยอดยุทธ์มือสังหารให้มาช่วยเหลือกันตั้งแต่ตอนเคลื่อนทัพออกจากเมืองเซงโต๋ พอดีกับทางตันเตาที่อยู่ในหุบเขาเซียนปีศาจก็ส่งของกำนัลที่คนลึกลับทิ้งไว้ให้ เป็นกระบี่โบราณม่อเสีย ฝากส่งต่อให้เหยี่ยวดำพอดี
เบื้องต้น เสียวเอี่ยนจื่อยกทัพมาช่วยแก้ไขพวกจูล่งที่ค่ายทหารนอกเมืองเทียนซุย รับทราบเรื่องราวการไล่ล่าติดตามกุยห้วย ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจ จึงชวนให้เหยี่ยวดำที่ปลอมเป็นองครักษ์ สะกดรอยติดตาม กลับได้ยินเสียงดังสนั่นผิดปกติ จึงเร่งมาทันเข้าร่วมเหตุการณ์เผชิญหน้ามัจจุราชกับตาตนเอง ได้แต่เสี่ยงชีวิตใช้กระบวนท่า “ปราณกระบี่หลอมรวม” ที่เพิ่งฝึกปรือร่วมกันกับเหยี่ยวดำได้เมื่อไม่นานมานี้
กระบวนท่า “ปราณกระบี่หลอมรวม” เป็นสุดยอดวิชาสายกระบี่ที่คนทุกคนใฝ่ฝันฝึกปรือ นางแอ่น เหยี่ยวดำ อุตส่าห์ย้อนยุคกลับมาโลกโบราณ จึงใส่ใจไขว่คว้าโอกาสเช่นกัน ภายหลัง พบเห็นกองตำราคัมภีร์ยุทธ์ที่กระเรียนเฒ่ารวบรวมไว้ มีระบุถึงวิชานี้อยู่ จึงค่อยๆเรียนรู้ในยามว่าง จนเริ่มสูงวัย สะสมพลังปราณถึงระดับที่พอใช้ได้ผลบ้างแล้ว
สามยอดยุทธ์แห่งยุคพุ่งร่างเข้าหาปีศาจร้ายพร้อมกัน มัจจุราชแดงได้แต่เลือกหนึ่งคนเป็นเป้าหมาย ใช้พลังแสงจากดวงตากระแทกใส่ เสียดายที่เลือกเป้าหมายเป็นนางแอ่นซึ่งมีพลังมังกรคืนสภาพคุ้มครอง แม้ว่าผิวกายแตกกระจาย แต่ก็ยังฟื้นฟูสภาพคืนได้โดยเร็ว ยังคงรักษาวิถีการทำลายได้อยู่เช่นเดิม หากแต่กรงเล็บปีศาจ และเขาโค้งบนหัวก็กวาดเข้าใส่เงาร่างอีกสองสายด้วยในเวลาไล่เลี่ยกัน
เสียงคว้ากดังขึ้นสามครั้งต่อเนื่อง การลงมือได้ผลดียิ่ง มัจจุราชแม้นว่าร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก็ยังบาดเจ็บได้ตามปกติ จึงเห็นจอมมารคำรามก้อง พร้อมรอยแผลลึกสามสายปรากฏตามร่างกาย มองเห็นถึงกระดูกและอวัยวะภายในที่ยังทำงาน สลับกันกับเลือดสีเขียวที่ทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องจนดูน่ากลัว
ทางด้านสามยอดยุทธ์ นอกจากนางแอ่นที่ร่างกายแตกปริเป็นริ้วรอยทั่วร่างจนสิ้นสูญเรี่ยวแรง ต้องค่อยๆรอให้พลังมังกรคืนสภาพทำงานอยู่ทางหนึ่งแล้ว อีกทางหนึ่ง เหยี่ยวดำโดนกรงเล็บปีศาจตะปบใส่กลางหลัง กระอักเลือดไหลไม่หยุด ส่วนกุยห้วยโดนหนักกว่า ถูกเขาโค้งคมกริบขวิดกระแทกกลางลำตัว แต่เกราะเกล็ดคุ้มครอง จึงเพียงบอบช้ำภายในสาหัส มิถึงกับท้องแตกลำไส้ขาดตามที่ควรเป็น
พญามารร้ายคล้ายสูญเสียเรี่ยวแรงไปมากมายเช่นกัน แต่ยังสาวเท้าเข้าหาจูล่ง เป้าหมายหลักที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง ตั้งแต่โดนลำแสงกระแทกใส่เมื่อครู่ จนยืนอยู่เหนือร่างขุนพลท่องเมฆาแล้ว มัจจุราชร่างสีแดงพลันยกกรงเล็บขึ้น หมายเจาะทะลวงร่างของคู่อาฆาตให้ตายคามือ
เห็นจูล่งพลิกร่างหมุนตัว กวาดดาบสยบมังกรตัดข้อเท้าทั้งสองของพญามารขาดกระเด็น ร่างอันใหญ่โตล้มกลิ้งกับพื้นเสียงดังสนั่น แต่จูล่งไม่รอช้า รีบตวัดดาบฟันฉับที่ลำคอ ตัดหัวปีศาจร้ายขาดกระเด็น จนร่างสีแดงค่อยคืนสภาพกลับเป็นม้าเฉียวอีกครั้ง
“ที่แท้ ม้าเฉียวก็คือคนสายอาคมที่ฮองเย่อิงกล่าวถึง” นางแอ่นครุ่นคิดขึ้นในใจ พลันกวาดตามองหากุยห้วย กลับไม่เห็นร่องรอยของมันเสียแล้ว “กุยห้วย คนเหนือธรรมชาติ ยังคงหลุดรอดไปได้อีกครั้งหนึ่ง น่าเสียดายนัก"
เห็นจูล่งยังคงแข็งใจสาวเท้าไปยังเหยี่ยวดำที่หายใจแผ่วเบา คล้ายมีจุดมุ่งหมายอันใด นางแอ่นจึงได้แต่ร้องบอกกับสามี “ท่านพี่ นั่นเป็นพวกเดียวกันกับเรา อย่าได้ลงมือ”
พอดีเสียงเรียกตกใจดังมาจากด้านหลัง กวนหิน เตียวเปา ติดตามมาด้วยความกังวลใจ ทำให้จูล่งต้องเลิกล้มความตั้งใจเมื่อครู่ แสร้งทำเป็นหมดสติล้มลงด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งหมดจึงถูกนำกลับมารักษาตัวที่กองทัพ ยังดีที่หมอฮ่วมอาติดตามมาดูแลให้เช่นเดิม
คนที่บาดเจ็บก็รักษาตัวกันไป แต่ไม่อาจทิ้งช่วงความสำเร็จให้สูญเปล่า “หุ่นกระบอกขงเบ้ง” จึงสั่งการให้เตงจี๋ กวนหิน เตียวเปา และตองถู ยกทัพผสมจ๊ก เกี๋ยง บุกเมืองเตียงอันเป็นเป้าหมายต่อไป ยามกระทัน โจจิ๋น เทียบูได้แต่ปิดประตูเมือง แจ้งข่าวขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์โจยอย ต้องการให้ส่งขุนพลพยัคฆ์มารับมือสักคนสองคน
สถานการณ์คับขัน ไม่อาจพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กษัตริย์โจยอยจึงได้แต่สั่งการให้สมุหกลาโหมซิหลง ขุนพลเตียวคับเป็นแม่ทัพ อองลองเป็นกุนซือใหญ่ นำทัพออกไปช่วยเสริมเติม ค่อยทราบว่า อองลองป่วยไข้เรื้อรังมาหลายเดือน อาจจะถึงแก่ความตายเพราะสูงวัยมากแล้ว จึงรีบเดินทางไปเยี่ยมเยียนในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสแห่งแผ่นดิน
อองเซ็ก บุตรชายและอองหยวนจีหลานสาว เฝ้ารับเสด็จ นำพากษัตริย์หนุ่มเข้าพบปราชญ์เจี้ยนอานคนสุดท้ายถึงห้องนอน พบเห็นอองลองที่ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือน หน้าตาซูบซีดร่วงโรย เพราะพิษไข้ นัยน์ตาเลื่อนลอย ฝ้าฟาง จึงตรัสถามไถ่เรื่องสุขภาพแค่พอสมควร พร้อมอวยพรให้หายเจ็บไข้โดยเร็ววัน
อองลองรู้ตัวเองว่า คงอยู่ได้ไม่นาน จึงขอร้องต่อองค์ฮ่องเต้ ขอให้ลดละทิฐิ เรียกตัวสุมาอี้กลับคืนมาช่วยกอบกู้แผ่นดิน มิอาจคาดหวังต่อโจจิ๋น เทียบู หรือคนอื่นจะสามารถต้านทานกุนซือมังกรซ่อนอย่างขงเบ้งได้
โจยอยทบทวนสถานการณ์ เห็นว่า หมากกระดานนี้สามารถพลิกผันได้อยู่ จึงทำเป็นเห็นดีด้วยกับคำกล่าวของอองลอง สั่งการให้ตามตัวสุมาอี้กลับสู่ตำแหน่งราชครู และรับหน้าที่เป็นกุนซือใหญ่ให้กับกองทัพหลวงชุดที่สองแทนอองลองที่ลาจากไปในวันถัดไป
เมื่อหลายเดือนก่อน จู่ๆอองลอง ปราชญ์ปัญญาพลันพบว่า ตัวเองไอเป็นเลือด ให้หมอมีชื่อที่คุ้นเคยตรวจอาการ พบว่า ป่วยเป็นฝีร้ายภายในร่างกาย ไม่มีหนทางรักษา จึงได้แต่รีบประเมินเส้นทางการเมืองใหม่ เพื่อฝากฝังให้อองเซ็กดูแลคนในสกุลแทน
เท่าที่ผ่านมา กลุ่มเจ็ดนักปราชญ์เจี้ยนอานมีเพียงตัวมันที่ชำนาญเรื่องการเมืองเป็นที่สุด เพียงแต่มันไม่ต้องการออกหน้าแสดงความคิดเห็นให้เด่นชัดเกินไป จึงงำประกายย้ายตัวเองไปอยู่ในที่ปลอดภัยมาโดยตลอด จนอยู่รอดกลางมรสุมการเมืองที่นำโดยสกุลโจ
 
ครั้งนี้ จึงนับว่า อองลองได้ใช้โอกาสสุดท้ายในชีวิต ทิ้งไพ่ตายผูกสัมพันธ์กับสกุลสุมาครั้งใหญ่ สร้างบุญคุณร้องคืนตำแหน่งให้สุมาอี้ หวังผนึกสกุลอองกับสุมาเข้าด้วยกัน คิดสร้างกลุ่มอิทธิพลขุนนางใหม่ร่วมกัน แทนที่จะต่างฝ่ายต่างไขว่คว้ากันเองแล้ว
วันถัดมา เมื่อสุมาอี้ได้รับการแต่งตั้งแล้ว จึงเดินทางมาเคารพศพรัฐบุรุษอาวุโสที่ได้ชื่อว่ามีบุญคุณต่อตน พร้อมกับบุตรชายทั้งสองก่อนจะออกเดินทัพ บรรดาทายาทของผู้ตาย อันได้แก่ อองเซ็ก บุตรชาย อองหลิง อองกิ๋น ลูกเลี้ยง และอองหยวนจี หลานสาว จึงให้การต้อนรับเป็นพิเศษ และทำให้อองเซ็ก ผู้นำตระกูลและเสนาบดีการศึกษาคนใหม่ มีโอกาสได้สนทนากับราชครูคนใหม่เป็นการส่วนตัว
“บิดาแจ้งไว้ แม้นว่า หากแม้นท่านสุมามีความจริงใจต่อพวกเรา ย่อมมาแวะเวียนเยี่ยมเยียนก่อนเดินทาง จึงให้เราบอกความลับเรื่องหนึ่งต่อท่านเป็นการตอบแทน” อองเซ็กสำรวจอาการฝ่ายตรงข้าม ค่อยกล่าววาจา “เบ้งตัดที่ครองเมืองซงหยงคือตัวแปรสำคัญต่อการศึกจ๊กก๊กกับวุยก๊กครั้งนี้”
สุมาอี้รับฟังแล้วครุ่นคิดตาม อองลองเป็นคนใกล้ชิดกับเตียวโถ ฮัวหิม ซึ่งถือเป็นวงในของขบวนการฟ้าดิน อาจได้รับข้อมูลพิเศษนอกเหนือไปจากตนเอง และยังมีลูกเลี้ยงอองหลิงกำกับเมืองหับป๋าอีกคนหนึ่ง ข้อมูลชิ้นนี้จึงนับว่า มีเค้ารางน่าเชื่อถือได้อยู่
ล่าสุด ดินแดนเกงจิ๋วคล้ายถูกแบ่งแยกการปกครอง ด้านใต้เป็นของง่อก๊ก นับจากเมืองเกงจิ๋วลงไป ล้วนมีขุนพลฝีมือดีฝ่ายพยัคฆ์หยกเฝ้ารักษา ส่วนด้านเหนือเป็นของวุยก๊ก มีขุนพลกระหายเลือด พยัคฆ์ใต้ จูกัดเอี๋ยนเป็นเจ้าเมืองซงหยง และเบ้งตัด อุยก๋วนเป็นผู้ช่วย แฮหัวป๋า โจฮิว โจเปียว รักษาเมืองอ้วนเซีย เตียวคับ อองหลิงรักษาเมืองหับป๋า ผนึกแนวชายแดนด้านใต้อย่างแข็งแกร่ง
จุดยุทธศาสตร์ย่อมอยู่ที่เมืองซงหยงเป็นสำคัญ หากสมรภูมินี้เปลี่ยนข้างย้ายฝ่าย ย่อมทำให้สมดุลย์แปรเปลี่ยน จูกัดเอี๋ยนจึงพึงพอใจที่จะไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองซงหยง เฉกเช่นเดียวกันกับจูกัดกิ๋นที่ได้รับหน้าที่ประจำเมืองชีสอง และจูกัดเหลียงที่สยายปีกคุมอำนาจจ๊กก๊ก เพราะนับว่าสกุลจูกัดยึดครองจุดพลิกผันไว้ได้พร้อมกันทั้งสามก๊ก
อองเซ็กจึงขยายความต่อ “บิดาเราเห็นว่า โครงสร้างขบวนการฟ้าดินไม่มั่นคงนัก เตียวโถ ฮัวหิมคิดหักล้างต่อสกุลจูกัด อาจพลอยลากพวกเราสองตระกูลให้เดือดร้อนไปเปล่าๆ มิสู้จับมือกันจัดการกับคนอื่นเสียก่อน อาจจะพอมีหนทางรอดได้มากกว่า”
สุมาอี้ประเมินน้ำหนัก เห็นว่า สกุลอองมีตำแหน่งใหญ่โตทางการเมืองหลายคน น่าจะพอช่วยเหลือกันได้ จึงตอบคำ “ท่านกล่าวได้ต้องใจเรายิ่งนัก ต่อไป สกุลอองกับสุมาร่วมรุกร่วมรับ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน”
สองขุนนางใหญ่ต่างจับมือหัวร่อร่า เมื่อก้าวออกมาสู่ห้องโถง พลันเห็นสุมาเจียวพูดคุยหยอกล้อกับอองหยวนจี คล้ายมีใจต่อกัน จึงนึกถึงเรื่องราวที่เล่าขานกันเมื่อครั้งงานเลี้ยงพระราชทาน ทำให้คนทั้งสองมีวาระในใจ คิดเกี่ยวดองเป็นเครือญาติผ่านหนุ่มสาวคู่นี้
แผนการออกศึกของสุมาอี้จึงแปรเปลี่ยนไปตามข้อมูลใหม่ เส้นทางแรกเปิดเผย ให้เตียวคับ สุมาสู สุมาเจียว ถือธงสุมาอี้ นำทัพหน้ามุ่งสู่สมรภูมิตะวันตกด้วยเส้นทางเขากิสาน และกษัตริย์โจยอยจะนำทัพหลวงไปสมทบกับกองทัพโจจิ๋นที่เมืองเตียงอันในภายหลัง
ส่วนเส้นทางที่สองซ่อนเร้น เป็นตัวมันและซิหลง นำองครักษ์ติดตามลงใต้ บรรจบกับกองทัพซงหยง อาศัยความชำนาญเส้นทางของเบ้งตัด อุยก๋วน ขุนนางเก่า ชิงลงมือตีเมืองหยงอัน ซึ่งมีเพียง ตันจิ๋น เอียวหงี ตั้งมั่นอยู่ คุกคามใส่เมืองหลวงเซงโต๋โดยตรง อย่างน้อย กินเขตแดนสำคัญ หรืออย่างมาก ก็รุกคืบถึงใจกลางดินแดนเสฉวนได้เลย
งานนี้ คุกคามต่อจูกัดเหลียงโดยตรง สมควรปิดบังจูกัดเอี๋ยนไม่ให้ทันรู้ตัว เบ้งตัด อุยก๋วน จึงเป็นตัวเลือกที่สุมาอี้หมายใช้สอยเป็นหลัก และให้สมุหกลาโหมซิหลงแสร้งสั่งการย้ายขุนพลพยัคฆ์ใต้ไปประจำการณ์ที่เมืองหับป๋า แทนที่เตียวคับที่ถูกโยกขึ้นมาออกศึก
เรื่องราวดูสมเหตุสมผล ขบวนซ่อนเร้นของสุมาอี้ ซิหลงมาถึงทุ่งเตียงปัน นอกเมืองซงหยง กลับถูกกลุ่มคนลึกลับซุ่มโจมตีกระทันหัน ฝูงผึ้งพิษพุ่งเข้าสู่เป้าหมายกลุ่มใหญ่ พากันล้มตายหมดสิ้น สุดท้าย เห็นซิหลงพยายามใช้ขวานใหญ่ป้องกัน แต่ไม่อาจต้านทานฤทธิ์แมลงพิษอันร้ายกาจ ค่อยๆล้มลงตายเช่นกัน แต่กลับไม่พบร่างกุนซือเต่าสมถะ
ที่แท้ จูกัดเอี๋ยนวางแผนนัดหมายให้จูกัดกิ๋นลอบนำกองกำลังเกงจิ๋วเข้ายึดเมืองซงหยงอยู่ก่อนแล้ว หากแต่เมื่อได้รับคำสั่งโยกย้าย เข้าใจว่า ข่าวลับฝ่ายตนรั่วไหล จึงล้มเลิกแผนการ ทำให้เบ้งตัดเสียดายโอกาส ยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริง อาศัยฐานะ “กิ้งก่า” นักรบเบญจพิษ เชื่อมโยงกับ เบ้งฮิว มุ่งสังหารสองแกนนำวุยก๊ก หมายป้ายสีต่อจูกัดเอี๋ยน เพื่อทำลายล้างคนสกุลจูกัดและสุมาในคราวเดียว
โชคร้ายที่สองนักรบกลับประเมินความคิดอุยก๋วนผิดพลาด ถึงแม้เบ้งตัด อุยก๋วนผูกพันคบหากันมานาน แต่ยามนี้ อุยก๋วนกลับเลือกข้างวุยก๊กเป็นสำคัญ จึงนำความไปบอกต่อจูกัดเอี๋ยนที่กำลังเดินทางไปเมืองหับป๋า ทำให้พยัคฆ์ใต้วางแผนซ้อนกล ปล่อยให้เกิดคดีฆาตกรรมแล้วค่อยออกโรงกำจัดขบถเบ้งตัดกลางเหตุการณ์
กลุ่มมือสังหารจึงถูกรายล้อมจับกุมโดยจูกัดเอี๋ยนและอุยก๋วนอีกทอดหนึ่ง แต่ฝ่ายเบ้งตัดไม่ยินยอม จึงเกิดการต่อสู้ตะลุมบอนขึ้น พวกจูกัดไม่คาดคิดว่า ฝ่ายตรงข้ามจะมีมือดีระดับเบ้งฮิวมาเสริมเติม พร้อมด้วยฝูงผึ้งร้าย จึงส่อเค้าลางพ่ายแพ้ อุยก๋วนและทหารจำนวนมากถูกสังหารไป่ก่อน และ สองนักรบเผ่าม่าน เบ้งฮิว เบ้งตัด กำลังรุมกระหน่ำจูกัดเอี๋ยนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว
และแล้ว สุมาอี้พลันปรากฎกายขึ้นพร้อมกับสุมาซุ่น สุมาถัง น้องห้า น้องเจ็ดที่เป็นองครักษ์ประจำตัว ชิงสาดผงพิษเข้าใส่เบ้งฮิว เบ้งตัด และฝูงผึ้งพิษจนแตกกระจายไปหมดสิ้น แล้วค่อยใช้อาวุธโจมตีซ้ำ แต่สองนักรบยังมีฝีมือเหนือกว่าสามสุมาอีกขั้นหนึ่ง ถึงกับพลิกต่อสู้ด้วยเชิงอาวุธได้อย่างสูสีก้ำกึ่ง
พวกสุมาอี้ย่อมคาดไม่ถึงว่า ขุนพลรองเบ้งตัดจะงำประกาย เพราะฝีมือเช่นนี้ สมควรอยู่ในระดับเทียบเทียมกับจูกัดเอี๋ยน เตงงาย ขุนพลรุ่นใหม่ และมิหนำซ้ำ นักรบต่างเผ่าที่มาด้วยกันก็มีฝีมือสูงส่งขึ้นไปอีก อาจจะถึงขั้นตำนานขุนพลพยัคฆ์ ขุนพลสวรรค์เลยด้วย
ยังดีที่สุมาอี้ยังมีแผนสำรองอีกขั้นหนึ่ง กำลังเสริมกลุ่มสุดท้ายจากเมืองอ้วนเซีย อันได้แก่ แฮหัวป๋าและโจฮิว นำองครักษ์ฝีมือดี แอบติดตามมาสมทบเพื่อร่วมศึกตะวันตก แต่เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นเช่นนี้ ขุนพลเมืองอ้วนเซียจึงกลายเป็นตัวช่วยที่ดี รุมสังหารเบ้งตัด เบ้งฮิวที่ “ยอมตาย ไม่ยอมโดนจับ” ได้ทันเวลา
งานนี้ สุมาอี้จึงหยุดยั้งเพียงแค่เฉลยแก้เกี้ยวไปว่า ตนเองได้รับข่าวการก่อขบถของเบ้งตัด หวังใช้คนเผ่าม่านเป็นกำลังเสริม แอบบุกขึ้นเมืองหลวง จึงเร่งรีบนำกองกำลังมาจัดการ ทำให้สูญเสียซิหลงและอุยก๋วนไปอย่างน่าเสียดาย ยังดีที่ได้แฮหัวป๋า โจฮิวและจูกัดเอี๋ยน มาช่วยเสริมอีกแรง จึงปราบขบถซงหยงลงได้ในที่สุด
ผลงานถูกส่งผ่านไปยังคนสกุลแฮหัว โจ และจูกัด อย่างงดงาม ทำให้แต่ละคนล้วนปลาบปลื้้มยินดี ยืนยันตามคำสรุปของสุมาอี้ ไม่เว้นแม้แต่จูกัดเอี๋ยน อย่างน้อย พวกมันก็ได้ชื่อเสียงเพิ่มเติม และขุนพลอาวุโสที่เป็นคอขวดขวางความก้าวหน้าก็ตายจากไปอีกคน
สุมาอี้จึงยึดตามแผนการเดิม สั่งการให้คนทั้งหลายเตรียมกองทัพจู่โจมจ๊กก๊กตะวันตก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา