22 พ.ย. 2021 เวลา 00:55 • นิยาย เรื่องสั้น
7.27. นักบวชเหนือโลกีย์
พระอารยะเทพ นักบวชพ้นโลกีย์ - ม้าต้าย อาชาที่เหลือรอด - ม้าเจ๊ก กุนซือดอกไม้ไฟ
คนแปลกหน้าใบหูเขียวย่อมเป็นลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง ที่ยอมทุ่มสุดตัว เพื่อช่วยเหลือท่านอาเหยี่ยวดำผู้มีพระคุณ เกลี้ยกล่อมสามเฒ่าเจี้ยนอานให้มาร่วมมือปราบปีศาจจากขุมนรกด้วยกัน สร้างความแปลกใจต่อเหยี่ยวดำที่ไม่คิดว่า ลกซุนจะยินยอมได้อย่างง่ายดายถึงปานนี้
ยังคงเป็นความรอบรู้ของอิ๋นฉางที่บอกกล่าวได้ว่า ตามตำนานอาณาจักรเพทาย นักรบภูตบดีถือกำเนิดจากนักรบที่ตายด้วยความคับแค้นท่ามกลางสมรภูมิรบต่างแดน และวิธีกำจัดจอมปีศาจคือการสร้างคนตายที่ฟื้นคืนเฉกเช่นกันมาลงมือสังหาร ซึ่งทั้งสี่มองหน้ากันพลันเข้าใจถึงดวงชะตาที่นำพาคนตายสี่คนไปแก้ปมปัญหาในครั้งนี้
“ลิขิตสวรรค์ไม่อาจฝืน” นักพยากรณ์เคาก้านสรุป “เราผู้เฒ่าสามคนเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มองดูมิตรสหายล้มตายมานานนัก บัดนี้ จะถึงคราวของพวกเราแล้ว และสมควรทำให้มันยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีของนักปราชญ์แห่งแผ่นดินเสียบ้าง”
คนตายทั้งสี่จึงอาจหาญท้าความตาย สามเฒ่าฝากฝังตำราความรู้ทั้งหลายให้กับเคาจิ๋วเคาเต็งที่เป็นเสมือนลูกหลานของตน แล้วใช้เรือเร็วปรับแต่งใหม่โดยอ้วนยูนักประดิษฐ์ มุ่งหน้าย้อนสู่ต้นน้ำไต้กัง ประหยัดเวลาเดินทางลงกว่าครึ่งหนึ่ง แต่เสียดายที่เรือเร็วรองรับน้ำหนักได้เพียงสี่คน จำต้องทิ้งให้เหยี่ยวดำเดินทางกลับตามวิธีการปกติเอง
จูล่งความคิดล้ำเลิศ จัดวางแฮหัวหลิมให้เป็นขงเบ้งผู้ที่เป็นเป้าหมายสังหาร และเป็นเหยื่อล่อวางกับดักรอบแรก น้ำมนตร์พิเศษของอิ๋นฉางถูกชะโลมไว้ทั่วใบหน้าและลำคอ เพราะเบ้งเฮ็กคุ้นเคยกับการเค้นคอก่อนลงมือฆ่าฟัน สามผู้เฒ่ารับอาสาเป็นตัวล่อหลอกที่สร้างความสับสนถ่วงเวลาให้น้ำมนตร์ทำงาน กลุ่มสามจอมยุทธมังกรจักรวาลเป็นคนขับเคลื่อนผลักดันให้เบ้งเฮ็กเข้าสู่กับดักสังหาร และนักโทษแฮหัวหลิมซึ่งก็คือลกซุนที่ใช้หน้ากากพิสดารสวมรอย จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนพลิกผันเหตุการณ์
เนื่องจากผู้คนไม่ใคร่ชมชอบหน้าตาน่าเกลียดด้วยร่องรอยบาดแผลอยู่แล้ว น้อยคนใส่ใจต่อ “เป็ดชั่ว” ในรายละเอียด เพียงผ่านตารับรู้แล้วเมินหน้าหนี ทำให้กลไกจิตใจพลอยละเลยไม่ใส่ใจ จนถึงขั้น “ดูแคลน” จึงเปิดช่องให้ลกซุนลงมือครั้งเดียวได้ผลเลิศ
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า เบ้งเฮ็กจะตอบสนองทันควันด้วยการปักกรงเล็บเข้ากลางหัวของลกซุน ทำให้อัจฉริยะวัยหนุ่มต้องตายไปด้วยอีกคนหนึ่ง และกลายเป็นจุดเปลี่ยนเรื่องราวในอนาคตไปอีกรูปแบบหนึ่ง
พลังมังกรเทพอมตะของลกซุนเป็นความลับที่น้อยคนจะล่วงรู้ แม้แต่สามเฒ่าเจี้ยนอานที่สนิทสนมคุ้นเคยกับลกซุนก็ไม่ทราบ ดังนั้น จึงไม่มีใครคิดว่า ลกซุนจะยังอาจฟื้นคืนได้อีก ต่างรู้สึกเสียดายปนเศร้าใจต่อการตายของลกซุนที่เป็นถึงเสนาบดีบู๊แห่งง่อก๊ก
กุยห้วยเพียงคุ้นเคยว่า การอยู่ใกล้ชิดคนตายที่สุดจะดึงดูดพลังมังกรเข้าสู่ร่างกาย ในเมื่อการช่วยเหลือแฮหัวหลิมล้มเหลว ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไป มันจึงพยายามลอยตัวเข้าคว้าตัวลกซุน หมายลากตัวหลบหนีไปด้วยกัน จึงถูกเสียวเอี่ยนจื่อกับจูล่งที่รู้เท่าทันความคิด สกัดขัดขวาง สามจอมยุทธที่เมื่อครู่เพิ่งประสานความร่วมมือต่อต้านปีศาจกลับลงมือแตกหักกันอีกครั้ง
ปีศาจเบ้งเฮ็กแม้จะถูกทำร้ายสาหัสด้วยกระบี่เขียวขจีและพิษร้าย แต่ก็มิใช่จะหมดสิ้นฤทธิ์เดชในทันที มันกวาดตาโดยรอบ พลันดึงกระบี่ที่ปักคาอกนั้น เหวี่ยงเข้าใส่ด้านหลังของเสียวเอี่ยนจื่อเป็นการล้างแค้นก่อนตาย
ม้าเลี้ยงในคราบนักบวชคิ้วขาวพลันปรากฏกายขึ้นคว้ากระบี่นั้นไว้ พร้อมตวัดสะบั้นคอของปีศาจเบ้งเฮ็ก กระบี่โบราณกานเจียงแม้คมกริบ หากที่จริงไม่อาจตัดคอปีศาจได้ เพียงแต่ม้าเลี้ยงร่ายมนตร์กำกับไปพร้อมกัน จึงกลับกลายเป็นกระบี่วิเศษห่อหุ้มด้วยมนตราอิวจื่อ ถึงกับสังหารนักรบภูตบดีได้จริง เห็นกลุ่มควันสีขาวหลุดลอยและร่างกายเบ้งเฮ็กกลับเน่าเปื่อยกลายสภาพไปอย่างรวดเร็ว
“มีแต่คนตายจึงจะสามารถทำร้ายคนตายด้วยกันได้” คำกล่าวนี้ คงครอบคลุมถึงม้าเลี้ยงที่ถูกจับบวชด้วยเวทมนตร์ ถือว่า ได้ตายจากโลกโลกียะไปแล้ว
พอปรากฏคนมีอาคมอีกคนหนึ่ง สามจอมยุทธจึงหยุดมือโดยพร้อมเพรียงกัน เกรงว่าม้าเลี้ยงจะถือโกรธที่พวกตนลงมือสังหารพี่ชายคนโต แต่แล้ว นักบวชคิ้วขาวพลันพนมมือสวดสรรเสริญพุทธคุณ พร้อมกล่าว “เวรกรรมทำงานแล้ว ราชันย์อัศวโฆษหลงติดในความอาฆาตแค้นจนตัวตาย พาลลากเอาน้องชายม้าเจ๊กตายจากไปก่อนวัยอันควรอีกหนึ่งคน ช่วงที่เราหลบหนีเบ้งเฮ็กสุดชีวิต รับรู้เรื่องราวด้วยมุมมองใหม่ ทำให้เราได้สติ มุ่งหวังเพียงเดินทางสายธรรมอย่างสงบ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว”
ม้าเลี้ยงหันมาว่ากล่าวต่อสองสามีภรรยา จูล่ง เสียวเอี่ยนจื่อ ซึ่งเคยร่วมงานกันมานาน “ประสกทั้งสองช่วยเหลือเราให้ได้สิ้นสุดกรรมเวรต่อปีศาจเบ้งเฮ็กแล้ว ดังนั้น วันนี้ เราจะช่วยเหลือพวกท่านอีกสักครั้งก่อนจากลากันชั่วนิรันตร์”
เห็นม้าเลี้ยงโบกมือวูบ กุยห้วยตัวแสบพลันหายวับไปกับสายตา จึงเฉลย “เราเสกให้กุยห้วยกลับคืนสู่เมืองเทียนซุยไปแล้ว อีกนานกว่าพวกท่านจะได้พบกับมันในสนามรบ” จากนั้น ม้าเลี้ยงเสียบกระบี่กานเจียงคืนฝักให้กับลกซุน แล้วโบกมือให้หายไปเช่นกัน “ส่วนประสกลกซุนยังไม่หมดเวรกรรมทางโลกด้วยพลังมังกรอมตะที่มันมีอยู่ อีกไม่นาน มันจะยังกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง เราจึงส่งมันไปยังสถานที่อันเหมาะสมไปก่อน”
ม้าเลี้ยงหรือพระอารยะเทพแย้มยิ้มอย่างสงบเย็น สมกับเป็นนักบวชผู้ปล่อยวาง พลันตัดสินใจกล่าวต่อจูล่ง เสียวเอี่ยนจื่อเป็นนัยยะ “ความรักจักนำพาให้พวกท่านประสพสุข แต่ความแค้นยังคงติดตามท่านอย่างไม่ลดละ เวลาของพวกท่านในโลกนี้ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว จงเลือกเส้นทางในบั้นปลายชีวิตให้เหมาะสมเถิด”
ร่างของม้าเลี้ยงค่อยๆเลือนหายไป พวกเตียวเปากวนหินที่แอบดูเหตุการณ์ในระยะไกลตามคำสั่ง จึงค่อยๆออกมาสอบถามอาการของคนทั้งสองที่ล้มตัวลงทรุดกับพื้นดินอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว พร้อมรายงานว่า เฮ็กเจียว เกียงอุย ชิงอำลาไปก่อนแล้ว
กองทัพวุยก๊กสิบหมื่น นำโดยสุมาอี้ แฮหัวป๋า โจฮิว มุ่งหน้าสู่เมืองหน้าด่านหยงอัน หมายกดดันตันจิ๋น เอียวหงี ให้เปิดเมืองยอมแพ้ แต่เมื่อเข้าใกล้ตัวเมือง พลันเห็นประตูเมืองเปิดค้าง บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง มีเพียงคนแก่สามสี่คนปัดกวาดใบไม้อยู่ตามทาง คล้ายรอคอยอันใด จนเมื่อเห็นกองทัพเคลื่อนถึง ต่างก็ชักชวนกันเดินกลับเข้าเมือง
พวกวุยก๊กย่อมงุนงงสงสัยต่อท่าทีตั้งรับพิสดารเช่นนี้ เกรงว่าจะมีหลุมพรางค่ายกลอันใดตรงหน้า สุมาอี้จึงใช้กล้องส่องทางไกลที่ค้นได้จากตัวเบ้งฮิวมาดู แลเห็นบนกำแพงเมืองจัดเตียงตั่งสูงเด่นชัด พลันเกิดภาพเงาพร่ามัว และแล้ว บนตำแหน่งนั้น กุนซือมังกรซ่อนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในชุดนักพรต เบื้องหน้าวางไว้ด้วยพิณกู่เจิ้งสวยงาม และกระถางธูปควันบางเบา ด้านหลังยืนไว้ด้วยขุนพลนักรบและนักบวชคิ้วขาว เป็นม้าต้ายและม้าเลี้ยง
สายตาของสุมาอี้ประสานกับขงเบ้ง คล้ายพยายามจะอ่านจิตใจฝ่ายตรงข้าม สุมาอี้ย่อมคาดเดาได้ว่า ผู้นำขบวนการฟ้าดินจะพยายามใช้บทเพลงกว่างหลิงส่านที่ซุนเกี๋ยนเคยสำแดงเดชไว้ที่วังหลวง ในขณะที่ขงเบ้งประเมินว่า ศิษย์พี่ใหญ่มีจุดยืนเช่นใดกันแน่ ต้องการเป็นมิตรหรือศัตรู เพียงข่มขวัญหรือต้องการฆ่าฟันจริงจัง
สุดท้าย เป็นขงเบ้งที่ลงมือก่อน มันกรีดนิ้วผ่านพิณงามเกิดเป็นบทเพลงกว่างหลิงส่านตามคาดหมาย พลันท้องฟ้ารอบข้่างแปรเปลี่ยน จากสว่างไสวเป็นมืดครึ้ม คล้ายก่อเกิดพายุฝน แต่แล้ว กลับเห็นเป็นกองทัพปีศาจเคลื่อนไหวคึกคักบนก้อนเมฆ สร้างความแตกตื่นเสียขวัญแก่เหล่าทหารเป็นยิ่งนัก ฝีมือบรรเลงพิณของขงเบ้ง ถึงกับพิสดารเหนือชั้นยิ่งกว่าครั้งที่ผู้นำสำนักหุบเขาปีศาจอาละวาดเสียอีก
และแล้ว นักบวชม้าเลี้ยงพลันยกมือขึ้นโบกวูบ ท้องฟ้าพลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมการจากไปของกองทัพปีศาจ แต่แล้ว ยังมีสิ่งผิดปกติปรากฏให้เห็น นั่นคือ บังเกิดเป็นดวงอาทิตย์สามดวง ตั้งอยู่ในทิศทางของสามแผ่นดิน ต่างประชันแสงแข่งกันต่อเนื่อง แล้วค่อยๆลดความแรงกล้าลง จนมองเห็นดาวสุกสว่างที่ใจกลางแผ่นดิน หลอมรวมเอาดวงอาทิตย์ทั้งสามเข้ามาไว้ และขยายใหญ่ขึ้นแทนที่ ราวกับเป็นภาพทำนายอันใด
ขงเบ้งและสุมาอี้ พลันตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงมันสองคนคงอยู่ที่จุดเดิม แต่ตกอยู่ภายใต้ลำแสงสว่างประหลาด แล้วเสียงแผ่วเบาของม้าเลี้ยงดังขึ้น คล้ายกระซิบข้างหู “นี่คือลิขิตพยากรณ์ของอดีตแผ่นดินไต้ฮั่น หวังว่าท่านทั้งสองจงเข้าใจในบทบาทของตนเอง ลดทอนความสูญเสียของชีวิตราษฎรที่ไม่เกี่ยวข้องลงบ้าง”
สุมาอี้พลันคืนสติ รอบข้างสว่างไสวกลับสู่สภาพเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เบื้องหน้ายังคงเป็นเมืองหยงอันที่เปิดประตูโล่ง ไร้วี่แววพวกขงเบ้ง และด้านหลัง คือ กองทัพวุยก๊กที่รั้งรอคำสั่งบุกโจมตีของแม่ทัพใหญ่ ซึ่งก็คือตัวมันเอง ทุกสายตาจับจ้องมองท่าทีอันประหลาด แสดงว่า เมื่อครู่ อาจเป็นเพียงนิมิตบอกเหตุเฉพาะกับตัวมันเท่านั้น
“ถอยทัพอย่างสงบ พวกเราไม่อาจก่อศึกในวันนี้” สุมาอี้ทบทวนความคิดแล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงแตกพร่า “ดูด้วยกล้องวิเศษนี้ ขงเบ้งได้วางค่ายกลฟ้าผ่าไว้ เฉกเช่นที่เคยกระทำกับพวกง่อก๊กในอดีต หากขืนเดินหน้าต่อ พวกเจ้าจะไม่มีชีวิตรอดพ้นสักคนเดียว”
พวกแฮหัวป๋างงงันวูบ แฮหัวป๋านึกเสียดายโอกาส จึงเสนอว่า “ลองส่งทหารเลวสักกองล่วงหน้าไปก่อนดีหรือไม่ เผื่อว่า ค่ายกลไม่ทำงานดังคำร่ำลือ จะได้...”
“บังอาจ เราถืออาญาสิทธิ์แม่ทัพใหญ่ ใครก็ไม่อาจฝ่าฝืน จงล่าถอยให้กับเรา” สุมาอี้แสดงบารมี ชูกระบี่อาญาสิทธิ์ที่ได้รับมา
พวกแฮหัวป๋าสบตากัน อย่างไรแล้ว คำพูดของราชครูสุมาอี้เป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น จึงได้แต่รับฟังคำสั่ง ล่าถอยไปอย่างสงบ ท่ามกลางความโล่งใจของตันกุ๋นเอียวหงีที่เสี่ยงเชื่อใจในคำสั่งตามจดหมายลับของขงเบ้ง มองเห็นวุยก๊กหยุดยั้งกองทัพ และล่าถอยกลับไปเอง โดยไม่ต้องลงมือรบ เป็นการปิดฉากศึกวุยก๊ก-จ๊กก๊กครั้งแรกอย่างเสร็จสมบูรณ์
ณ วังหลวงเมืองเซงโต๋ ขงเบ้ง ม้าต้าย ม้าเลี้ยง กลับมานั่งประจันหน้ากันอีกครั้ง หลังจากที่หลบหนีปีศาจเบ้งเฮ็กอย่างฉุกละหุกคับขันไปตามเส้นทางขึ้นเหนือ “หลบเลี่ยงด้วยปัญญา ต่อสู้ด้วยเวทมนตร์อาคม” หลายครั้งหลายครา จนต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไปบ้างพอประมาณ สุดท้าย จึงเห็นร่างพระภิกษุชราแต่งกายแบบชมพูทวีปปรากฏกาย สร้างร่างสมมุติของคนทั้งสามให้ล่อลวงปีศาจติดตามต่อไปทางเหนือ ส่วนร่างจริงถูกพากลับคืนสู่จวนที่พัก ได้รับการดูแลรักษาตามสมควร
นักบวชชราย่อมจะเป็นพระนาครชุน คุรุทางธรรมของม้าเลี้ยง ซึ่งติดตามมาเพื่อให้คำสั่งสอนสำคัญในช่วงเวลาอันวิกฤติที่สุดในชีวิตของศิษย์เอก ความตายของม้าเฉียวกับม้าเจ๊ก และความยากลำบากของตนเองกับม้าต้ายในช่วงที่ผ่านมา แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่กลับส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ให้กับม้าเลี้ยง ดังนั้น พระนาครชุนจึงจงใจให้โอวาทเพื่อฉุดรั้งตัวอารยะเทพให้กลับคืนสู่เส้นทางธรรมอย่างจริงจัง
มุมมองความคิดเห็นของม้าเลี้ยงจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก และพอดวงตาแห่งธรรมบังเกิดขึ้น เวทมนตร์อาคมก็พัฒนาข้ามขั้นเป็นอิทธิฤทธิ์บารมี พร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่สภาวะธรรมขั้นสูงต่อไป พระนาครชุนจึงแจ้งให้ม้าเลี้ยงไปจัดการกับปีศาจเบ้งเฮ็ก เพื่อตัดวงจรอุบาทว์ให้หมดสิ้น ภูตผีคนตายมิควรกลับสู่โลกภูมิของมนุษย์
ส่วนปัญหาเรื่องคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของสกุลจูกัดนั้น ที่จริง ล้วนเป็นพระประสงค์ของมหาราชา แต่ตัวท่านเองมิได้ถือสาหาความ เพราะถือว่า เป็นลิขิตสวรรค์ที่ต้องการให้วิชชาชั้นสูงแห่งชมพูทวีปได้ไปแตกหน่อที่ดินแดนตงหงวนอยู่แล้ว และอีกไม่นาน ยอดวิชชาอีกมากมายจากเผ่าอิวจื่อจะถูกนำไปเผยแพร่ด้วยเช่นกัน โดยการเชื่อมโยงไปกับพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่น
พระนาครชุนแจ้งข้อมูลสำคัญให้กับพระอารยะเทพ ซึ่งเป็นราชครูด้วย คือ มหาราชาเพิ่งสวรรคตไปตามอายุขัยเมื่อหลายวันก่อน ในเมื่อไม่มีราชันย์อัศวโฆษสืบต่อ ภาระหน้าที่จึงตกทอดไปยังเจ้าหญิงรฐาเป็นการชั่วคราว จนกว่าพระโอรสในครรภ์จะเติบโตพอที่จะครองบัลลังก์ ดังนั้น ราชครูอารยะเทพจะต้องรับผิดชอบค้ำจุนแผ่นดินไปอีกสักระยะหนึ่งเช่นกัน เผ่าอิวจื่อคงเข้าสู่ภาวะสงบนิ่ง เพื่อประคับประคองอาณาจักรต่อไป
ท่านอาจารย์ล่วงหน้าจากไปก่อนแล้ว ดังนั้น ภารกิจส่งท้ายของม้าเลี้ยงก่อนเดินทางกลับสู่อาณาจักรคูซาน ก็คือ การส่งเสริมบารมีให้ขงเบ้งด้วยการใช้มนตรามายาสยบกองทัพของสุมาอี้โดยไม่ให้ต้องสูญเสียกำลังพล และทิ้งปริศนา “ภาพนิมิตสามสุริยัน” ให้สุมาอี้กับขงเบ้งนำไปตีความกันเอง
ครั้งนี้ ม้าเลี้ยงสร้างมนตรามายาให้ขงเบ้งกับสุมาอี้ได้เผชิญหน้า รับรู้นิมิตร่วมกันผ่านจิตสัมผัส เพราะสุดท้ายแล้ว อาจจะเป็นสกุลจูกัดหรือสุมาที่เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียว อนาคตยังไม่แจ่มแจ้งชัดเจนนัก ปัจจุบันจึงยังมีหนทางกำหนดสร้าง
สุดท้าย พระอารยะเทพจึงเอ่ยปากฝากฝังขุนพลม้าต้าย คนสุดท้ายในกลุ่มเจ็ดอาชา และคนสกุลม้าที่เหลือรอดให้อยู่ในความดูแลของจูกัดเหลียง ทำให้ขงเบ้งแอบเชื่อมั่นลึกๆว่า ดาวดวงน้อยในนิมิตสามสุริยันคือตัวมัน ม้าเลี้ยงจึงกล้าฝากฝังสกุลม้าเอาไว้เช่นนั้น
หลังจากขงเบ้งคืนสู่อำนาจปกครอง ยังคงเก็บตัวซ่อนกาย สั่งการให้กองทัพเสียวเอี่ยนจื่อนำพา “ขงเบ้ง” ไปพักรักษาตัวที่เมืองฮันต๋ง รอคอยเวลาทำศึกวุยก๊กอีกครั้งในปีหน้า ไม่ต้องย้อนกลับสู่เมืองหลวง โดยให้ “เล่าเสี้ยน” ลงโทษพ่ายศึกสถานเบาต่อ “ขงเบ้ง” คนเดียว ด้วยการปรับลดยศศักดินาลงสามขั้น
ฝ่ายกุยห้วยที่ถูกส่งตัวด้วยอาคมให้ไปอยู่ที่เมืองเทียนซุย เห็นว่า แผนแรก ช่วยแฮหัวหลิมล้มเหลว จึงนึกถึงแผนสอง ในเมื่อช่วยคนไม่สำเร็จ ก็ขอช่วงชิงดินแดนกลับคืน เป้าหมายลงมือจึงเป็นขุนพลเฮ็กเจียวที่แปรพักตร์รักษาเมืองเทียนซุย และการจู่โจมกระทันหันเป็นผล เฮ็กเจียวตกอยู่ในเงื้อมมือของกุยห้วย แต่เกียงอุยอาศัยความชำนาญทาง หลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อเมืองเทียนซุยเปลี่ยนมือ กองทัพวุยก๊กจึงฉวยโอกาสรุกคืบ ใช้เมืองเทียนซุยเป็นศูนย์บัญชาการรบ กษัตริย์โจยอยที่เพิ่งยกเลิกการเคลื่อนทัพหลวง สั่งปรับขบวนให้โจจิ๋น เตียวคับ สองกองทัพใหญ่ หันมาสู้รบกับเผ่าเกี๋ยง เพื่อยึดคืนสองมณฑลแดนพายัพ
ยามนี้ เผ่าเกี๋ยงถูกโดดเดี่ยว เพิ่งก่อการสำเร็จไม่นาน นายใหญ่อันได้แก่เผ่าอิวจื่อกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง ราชันย์ม้าเฉียวกับมหาราชาอิวจื่อ ทะยอยตกตาย เจ้าหญิงรฐาและราชครูอารยะเทพไม่ใส่ใจเรื่องการขยายอาณาเขตอีกต่อไป ทำให้ผู้นำตองถูกับสมุหนายกแงตันตกที่นั่งลำบาก ขาดที่พึ่งและกำลังเสริมใดๆ
 
สมุหราชเลขาโจจิ๋นต้องการสร้างผลงานแก้ตัว จึงส่งสัญญาณจัดเป็นสามทัพใหญ่ ให้ตัวเองกับเทียบูทัพหนึ่ง เตียวคับกับสุมาสูทัพหนึ่ง และกุยห้วยกับสุมาเจียวทัพหนึ่ง กระจายกันตีชิงหัวเมืองต่างๆกลับคืน แล้วค่อยรวมตัวพร้อมกันโจมตีเมืองเสเหลียง ทำให้กองทัพเผ่าเกี๋ยงแตกพ่าย ถูกผลักดันออกจากแผ่นดินใหญ่ไปอีกครั้ง
หากแต่โจจิ๋นยังไม่ยอมหยุดยั้ง เทียบูจึงเสนอความคิดให้แจ้งต่อพันธมิตรเผ่าเซียนเปย ให้ช่วยจัดการตามล่าให้หมดสิ้น ผู้นำห่อปีจึงนำกำลังพลมาตั้งรอรับเผ่าเกี๋ยงที่แตกพ่ายอยู่ก่อนแล้ว และโจมตีซ้ำเติมจนหัวหน้าเผ่าตองถูตายในที่รบ สมุหนายกแงตันถูกจับกุมตัว และอาณาเขตเผ่าเกี๋ยงถูกเผ่าเซียนเปยยึดครองไปจนหมดสิ้น
เบื้องแรก โจจิ๋นกุยห้วยก็มิได้คิดอะไรสืบต่อ หากแต่เทียบูล่วงรู้สถานการณ์นอกด่าน กริ่งเกรงว่า ห่อปีจะมีอิทธิพลมากเกินไป จึงแจ้งให้แต่งตั้งแงตันที่ไร้พิษสงให้เป็นผู้นำเผ่าเกี๋ยง ครอบครองดินแดนเดิมเพียงกึ่งหนึ่ง เพื่อถ่วงดุลย์อำนาจกับเผ่าเซียนเปยต่อไป
แน่นอนว่า ห่อปีย่อมไม่พอใจในคำตัดสินนัก หากแต่สำนึกว่า พวกตนยังไม่พร้อมหักหาญกับวุยก๊ก จึงยอมรับสภาพ คืนดินแดนกึ่งหนึ่งซึ่งรวมถึงพื้นที่หน้าด่านกำแพงเมือง และเส้นทางทะเลทรายใหญ่ให้กับเผ่าเกี๋ยงดังเดิม
สุดท้ายแล้ว วิกฤตการณ์แดนพายัพจบสิ้น กองทัพวุยก๊กจึงล่าทัพกลับเมืองหลวง แต่สถายการณ์ชายแดนยังคงคุกรุ่น รอเพียงวันปะทุใหม่ โจจิ๋นในฐานะแม่ทัพใหญ่จึงแต่งตั้งให้กุยห้วยเป็นขุนพลปราบพายัพ เทียบูเป็นกุนซือ ตั้งกองทัพรักษาการณ์ขึ้นที่เมืองเสเหลียง ควบคุมดูแลสองมณฑล เฉกเช่นเดียวกันกับที่จัดสรรให้กับขุนพลพยัคฆ์เหนือ เทียนอู ทางทิศอิสาน และเตรียมรับมือกับศึกจ๊กก๊กได้ทุกเมื่อ ส่วนเฮ็กเจียวก็ให้เป็นขุนพลรอง คอยช่วยเหลือกันอยู่ที่เมืองเทียนซุยเช่นกัน
การวางหมากของโจจิ๋นที่ทิ้งเทียบูไว้เฝ้าระวังกุยห้วยอีกทอดหนึ่ง แม้ฟังดูเหมาะสมกลมกลืน ใช้คนไว้วางใจได้อย่างเทียบูให้เติบโตในการงานสมฐานะ แต่ก็ทำให้กุนซือหนุ่มที่กุมความลับแผ่นดินมากมาย ตกอยู่ที่ชายแดนหน้าด่าน ไม่อาจนำเสนอข้อมูลสำคัญที่เมืองหลวงได้ทันท่วงที
ประวัติความเป็นมาของเทียบูเอง แต่เดิมเป็นเพียงลูกชายพ่อบ้านสกุลโจเนิ่นนาน กว่าบิดาจะได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ก็แทบจะถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว จึงเป็นลูกหลานคนดังที่อ่อนด้อยไร้บารมีที่สุดในบรรดากุนซือเลื่องชื่อ เกิดปมในใจกดดันมาโดยตลอด การมารับตำแหน่งสำคัญในพื้นที่คับขันสักระยะหนึ่ง จึงถือเป็นเรื่ิองดีงาม เพราะสามารถสร้างสมบารมีในกองทัพได้บ้าง ในสภาพแวดล้อมที่ตนเองมีคุณค่าสูงส่ง
เทียบูที่มีความคิดเห็นต่างจากบิดาแบบสุดโต่ง จึงมีความยินดียิ่งนัก พร้อมหันหลังให้กับเส้นทางของเทียหยกหรือเทียลิดที่ยอมรับเพียงตำแหน่งพ่อบ้านต่ำต้อย แต่กลับเป็นกุนซือในเงามืด ช่วยเหลือโจโฉได้หลายครั้ง รวมทั้งสถานะจารชนที่คนกังตั๋งวางไว้ ก็พลอยได้หลุดพ้นออกจากตนเองไปด้วย
กองทัพโจจิ๋น สุมาอี้ ทะยอยกลับคืนสู่เมืองหลวงลกเอี๋ยง กษัตริย์โจยอยตรวจสอบผลงานแต่ละฝ่าย เห็นว่า สมุหราชเลขาโจจิ๋นพ่ายศึกช่วงแรก สูญเสียแฮหัวหลิม แต่ภายหลัง สามารถยึดพื้นที่คืน ขับไล่เผ่าเกี๋ยงและจ๊กก๊กได้หมดสิ้น นับว่า เท่าทุน
ส่วนราชครูสุมาอี้ ชิงตัดกำลังขบถเบ้งเฮ็กได้ก็จริง แต่เสียซิหลงไป จากนั้น กลับไม่ฉวยโอกาสโจมตีจ๊กก๊ก เพียงพบพานอุปสรรคก็ล่าถอย ดูแล้วลดทอนบารมีวุยก๊กไปบ้าง ต่างมีคุณมีโทษ จึงให้คนทั้งสองคงตำแหน่งเดิม กลับมอบตำแหน่งสมุหกลาโหมให้กับเตียวคับ ขุนพลพยัคฆ์รุ่นแรกที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย ที่รู้รุกรู้ถอย ไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
พอดี สายข่าวเข้ามารายงานว่า เมืองหลวงใหม่เกี๋ยนเงียบของง่อก๊กเพิ่งก่อสร้างเรียบร้อย ผู้คนต่างสาละวนกับการย้ายเมืองหลวง คลังหลวงสูญเสียงบประมาณไปมาก สถานการณ์จึงเปราะบาง สมควรจัดทัพไปก่อกวนสักครา
โจจิ๋นจึงรีบเสนอชื่อโจฮิวให้เป็นแม่ทัพใหญ่ หวังสนับสนุนน้องชายให้ได้สร้างผลงานในฟากตะวันออกบ้าง ฝ่ายกากุ๋ย เสนาบดีการคลัง เห็นว่า ตนเองไม่เคยสร้างผลงานการรบยิ่งใหญ่อันใด จึงอาสาเป็นกุนซือให้ในคราวเดียวกัน
เตียวคับในฐานะสมุหกลาโหมคนใหม่ ประเมินว่า คนทั้งสองแม้มีชื่อเสียงมาบ้าง แต่ยังขาดประสบการณ์การทำศึกสงคราม จึงคิดคัดค้าน หากแต่กษัตริย์หนุ่มใจเร็วชิงเอ่ยปากออกคำสั่งไปเสียแล้ว ทำให้ไม่อาจเอ่ยปากให้ขุ่นเคืองพระทัย
โจฮิว กากุ๋ย วางแผนซ้อนกล แสร้งให้จูกัดเอี๋ยนตระเตรียมกองทัพทางเมืองซงหยง ปล่อยข่าวจะบุกเมืองเกงจิ๋ว แต่ยังคงใช้กลยุทธ์เดิม ลอบจัดทัพเรือจากหับป๋าปลอมเป็นเรือสำเภาพาณิชย์ หมายโจมตีทางยุทธนาวีอย่างกระทันหันแบบคราก่อน
ไม่คาดว่า ข่าวลับรั่วไหลไปได้อย่างไร เสนาบดีบู๊ ลกซุน ถึงกับสั่งการให้จิวซุนปะปนเข้ามาเป็นไส้ศึก เปิดโอกาสให้เตียวอุ๋นใช้กองเรืออี้จิ๋วเผาทำลายเรือรบฝ่ายวุยก๊กจนวอดวายหมดสิ้นตั้งแต่ที่อู่ต่อเรือ ฐานที่มั่นของกองเรือวุยก๊กเลย
ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชนท่วมฐานทัพเรือในยามราตรี โจฮิว กากุ๋ย ขี่ม้าฝ่าเปลวเพลิงหลบหนี เผชิญหน้ากับเรือรบของเตียวอุ๋น จิวซุน กลุ่มแรกจ้องมองกันอย่างเคียดแค้นที่พลาดท่าเสียที ในขณะที่คนกลุ่มหลังเย้ยหยันพลางใช้เกาทัณฑ์ยิงใส่ ราวกับเป็นเป้าซ้อม สร้างความเจ็บแค้นใจมากยิ่งขึ้น
สองขุนพลหนุ่มมาแรงยังไม่ต้องการเอาชีวิตคนทั้งสองในสนามรบ จึงจงใจละเว้นชีวิตให้ แต่แอบจดจำคนทั้งสองเอาไว้ เพื่อนำพาไปสู่แผนการขั้นต่อไป โดยปล่อยข่าวตั้งฉายาเป็น สยบเทพ และปลิดดาว ล้อเลียนกับสมญานามของฝ่ายตรงข้าม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา