18 ต.ค. 2021 เวลา 06:58 • ปรัชญา
"เส้นทางสู่สัมมาวิมุตติ"
" ... เรามีจิตที่ตั้งมั่น
มีสติระลึกรู้รูปนามด้วยจิตที่ตั้งมั่น
มีสติระลึกรู้รูปนามเป็นการทำความเพียรอยู่แล้ว
เป็นสัมมาวายามะอยู่แล้ว
เป็นการพัฒนาสัมมาสติอยู่แล้ว
แล้วก็ทำให้สัมมาสมาธิเกิดขึ้น
พอเรามีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
สัมมาญาณะ คือตัวปัญญาก็จะเกิดขึ้น
มีปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ตัววิมุตติมันก็จะเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านสอน
บอกไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้
จิตบรรลุมรรคผลนิพพานเอง เมื่อปัญญาแก่รอบ
1
ปัญญาอยู่ ๆ ไม่เกิดหรอก
อาศัยสติกับสมาธิที่ถูกต้อง
ถูกต้องก็คือเป็นสติ เป็นสมาธิ
เพื่อลดละอกุศล เจริญกุศล
เราจะพัฒนาจิตใจในระดับนี้ได้ดี
ต้องมีความคิดถูก มีความเห็นถูกในเบื้องต้นก่อน
ก็ต้องมีคำพูดที่ถูก มีการกระทำที่ถูก
มีการเลี้ยงชีวิตที่ถูก
อันนั้นเป็นพื้นฐาน
ถ้าคำพูดเราไม่ดี เรามาภาวนา อย่างไรมันก็ไม่ดีหรอก
ถ้าการกระทำของเรายังผิดศีลอยู่
มาภาวนาอย่างไรมันก็ไม่ดีขึ้นมาได้หรอก
อันนี้ถ้าเป็นโยมอาจจะไม่รู้สึก แต่พระรู้เลย
พระพอทำผิดศีลนิดหน่อย ภาวนาไม่ได้เลย
จิตเศร้าหมองเลย
ไม่มีคนอื่นรู้ ตัวเองรู้เท่านั้น
จิตเศร้าหมองทันทีเลย ภาวนาไม่ขึ้น
ฉะนั้นพอศีลดี การที่จะมาฝึกจิตฝึกใจ
ให้มีสติ มีสมาธิอะไรอย่างนี้ มันก็จะทำได้ดี
...
ฉะนั้นพวกเรายังฝึกจิตฝึกใจไม่ได้ดี
ก็รักษาศีลไว้ให้ดีก่อน แล้วก็พยายามฝึก
ฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะไป
ให้มีความเห็นถูก ให้มีความคิดถูก
ความคิดถูกเป็นอย่างไร
ความคิดถูกคือความคิดที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่น
ด้วยอำนาจของราคะ
ด้วยอำนาจของโทสะ
ด้วยอำนาจของโมหะ
คิดไปด้วยอำนาจของราคะ เรียกว่ากามวิตก
ตรึกไปด้วยอำนาจของราคะ
คิดเลอะเทอะไป คิดไปในทางไม่ดี
เรียกว่าพยาบาทวิตก พยาปาทะวิตก
แล้วคิดไปด้วยอำนาจโมหะ
เบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่นด้วยโมหะ
อย่างคิดว่าตายแล้วสูญ
เพราะฉะนั้นโกงเขาได้ก็โกง ปล้นเขาได้ก็ปล้น
เป็นชู้กับเขาได้ก็เป็น
อันนี้เบียดเบียนทั้งตัวเอง
เบียดเบียนทั้งผู้อื่นด้วยความเห็นผิด
มีวิหิงสาวิตก เบียดเบียนไปด้วยอำนาจของโมหะ
เราต้องฝึกมีความคิดก็ถูก มีความเห็นถูก
มีความคิดถูก มีคำพูดถูก มีการกระทำถูก
มีการเลี้ยงชีวิตถูก
แล้วก็ลงมือภาวนา มีเป้าหมายที่ถูก
ลดละกิเลสเจริญกุศล
จะลดละกิเลสเจริญกุศลได้ ต้องมีสติ
ระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจไป
พอมีสติถูกต้อง สมาธิที่ถูกต้องหรือตัวผู้รู้
จิตที่เป็นผู้รู้คือจิตที่มีสมาธิที่ถูกต้องมันจะเกิดขึ้นเอง
โกรธแล้วรู้ว่าโกรธ ความโกรธดับ ตัวรู้จะเกิด
โลภรู้ว่าโลภ ความโลภดับ ตัวรู้จะเกิดอัตโนมัติเลย
ฟุ้งซ่านใจลอย รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าใจลอย
ความฟุ้งซ่านใจลอยดับ ผู้รู้เกิด จิตตั้งมั่นทันที
ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึกขึ้นมา จิตตั้งมั่นทันที
ฉะนั้นอาศัยสติที่บริบูรณ์
จะทำให้สัมมาสมาธิเจริญขึ้นมาบริบูรณ์ได้
พอจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
สติระลึกรู้รูป รู้นามอะไรนี่ จะเห็นแต่ไตรลักษณ์
ไม่ได้เห็นเรื่องอื่นหรอก
พอเห็นอย่างแท้จริง
เรียกว่าเราเจริญในญาณทัศนะที่ถูกแล้ว
ทำวิปัสสนาญาณอยู่ถูกต้องเรียกสัมมาญาณะ
ตัววิปัสสนาญาณนั่นล่ะ
สุดท้ายอริยมรรคอริยผลมันก็เกิด
สัมมาวิมุตติเกิดขึ้น นี่คือเส้นทาง
อันนี้เล่าตั้งแต่ข้างต้นเลยจนถึงสัมมาวิมุตติ
หลังจากนั้นมันไม่มีคำพูดแล้ว
หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยสอนว่า
คนที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เขาไม่รู้สึกหรอกว่าเขาบรรลุอะไร
ไม่ได้รู้สึกว่าฉันเป็นพระอรหันต์
ถ้ายังรู้สึกฉันเป็นพระอรหันต์ เธอไม่ใช่พระอรหันต์
ถ้ารู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่หรอก
เห็นอะไร มันก็เห็นรูปธรรม
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
นามธรรมทั้งหลายมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
บังคับไม่ได้ ไม่มีตัวเราไม่มีของเรา มันว่าง มันว่างเปล่า
พูดถึงคำว่าว่าง ๆ
เมื่อก่อนหลวงพ่อพุทธทาสท่านพูดเรื่องว่าง ๆ เยอะ
พวกที่เรียนตำรามากโจมตีท่านใหญ่เลย
จิตว่างไม่มี จิตไม่เคยว่างหรอก
จิตจะต้องมีอารมณ์
ท่านไม่เคยเถียงด้วยเลย
เพราะท่านรู้ว่าเถียงไปก็ไร้ประโยชน์
เรื่องมีจิตก็ต้องมีอารมณ์นั้น ท่านก็รู้ ทำไมท่านจะไม่รู้
แต่ท่านพูดถึงจิตว่าง มันว่างอีกระดับหนึ่ง
ถ้าเราภาวนา เราจะเห็นเลย
จิตมันว่างจริง ๆ ว่างจริง ๆ
เมื่อไหร่จิตพ้นจากความปรุงแต่ง
เราก็จะเห็นจิตว่างนั่นล่ะ
ถ้าจิตยังหลงอยู่ในความปรุงแต่ง จิตก็ไม่ว่าง
ทำไมจิตยังปรุงแต่งอยู่ เพราะจิตมีตัณหา
ทำไมจิตมีตัณหา เพราะจิตยังโง่อยู่ มันยังมีอวิชชาอยู่
ฉะนั้นท่านพูดเรื่องว่าง ๆ ก็ถูกของท่าน ถูก
แต่มันว่างคนละแบบกับที่คนทั่ว ๆ ไปเขารู้จัก
ถ้าเราภาวนา เราไปดู มันอัศจรรย์ธรรมะ
มันพูดไม่ออก มันไม่มีคำพูดหรอก
ค่อย ๆ ภาวนาไป. ..."
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
10 ตุลาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา