16 พ.ย. 2021 เวลา 08:58 • ปรัชญา
"อย่าถนอมรักษากิเลส"
" ... พวกเราบางคนคิดเอาง่ายๆ
คิดว่าอยู่ๆ ก็จะเจริญสติ จะฝึกสมาธิ
แล้วจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำไม่ได้หรอก
ขั้นแรกมันก็ต้องคิดที่จะต่อสู้
พยายามลดละกิเลส เจริญกุศล
ไม่ใช่ถนอมกิเลสเอาไว้แล้วก็จะมาถามเรื่องการภาวนา
ทำอย่างไรจิตจะดี จิตจะสงบ จิตจะเกิดปัญญา
มันไร้ความหวัง สิ้นหวังเลย
ศีลต้องรักษา ตั้งใจไว้ก่อนเลยว่าการปฏิบัติของเรา
เราต้องพยายามลดละอกุศล พยายามเจริญกุศลไป
ถ้าเราไม่คิดตรงนี้แล้ว ไม่รู้จะรักษาศีลไปทำไม
รู้สึกไม่สำคัญ
ถ้าหากมานั่งสมาธิ เดินจงกรม ภาวนา
เดี๋ยวก็บรรลุมรรคผลอะไรอย่างนี้
มันเป็นไปไม่ได้ มันเพ้อฝันเกิน
พื้นฐานของเราคือเรื่องศีลนั้นต้องมี
ศีลเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับกิเลสที่มันชั่วหยาบมากๆ
สมาธิเป็นเครื่องมือต่อสู้กิเลสระดับกลางๆ
ปัญญาเป็นเครื่องมือต่อสู้กิเลสในชั้นละเอียด
คือความไม่รู้ ความโง่ โมหะ
ปัญญามันจะต่อสู้ตัวนี้
เอะอะก็จะมาเจริญปัญญา
โดยถนอมรักษากิเลสเอาไว้ สิ้นหวัง
ฉะนั้นหลายคนไม่ใส่ใจที่จะรักษาศีลให้ดี
อย่ามาถามหลวงพ่อว่าจะภาวนาอย่างไร
หลวงพ่อก็จะตอบให้ ไปถือศีลก่อน
มีพวกที่คิดอย่างนี้ มีทั้งพระทั้งโยมนั่นล่ะ
บางทีก็เจ้าเล่ห์แสนกล
เป็นพระอยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้ก็ลุยแหลกเลย เล่นเลศ
ภาษาพระเรียกเล่นเลศ
อำ เพื่อจะให้ได้สิ่งที่ต้องการมา
อย่างมีเคสพวกที่มา Zoom
กติกาบอกว่าหลวงพ่อตรวจการบ้านให้เฉพาะฆราวาส
เรื่องของพระต้องถามกันไม่ใช่ในที่สาธารณะอย่างนี้
ก็ปลอมเป็นฆราวาสมาก็มี ปลอมชื่อมาอะไรอย่างนี้
ตรงนี้มันก็เล่นเลศนั่นล่ะ
ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็มุ่งไป
ไม่คำนึงถึงวิธีการ แบบนี้ภาวนาไม่ไหวหรอกนะ
ภาวนาไม่ขึ้นหรอก
มันต้องซื่อตรง ไม่ซื่อตรงภาวนาไม่ได้
ก่อนที่เราจะไม่ซื่อตรงต่อคนอื่น
มันเริ่มตั้งแต่ไม่ซื่อตรงกับตัวเองแล้ว
ความคิดมันไม่ถูก ความคิดความเห็นมันผิด
การกระทำมันก็เลยผิดไป มันภาวนาไม่ได้
อย่างนี้ภาวนาไม่ได้จริงๆ
ก็ไม่ได้เป็นเรื่องของการลดละกิเลสเลย
เป็นการต่อสู้แย่งชิง
มันเป็นวิธีการของชาวโลกเขาทำกัน
ทำอะไรก็แย่งกันทุกหนทุกแห่ง
แค่จะขึ้นรถไฟฟ้าก็แย่งกันขึ้น
เข้าแถวเข้าคิวอะไรก็ไม่ค่อยมีกัน มันชินที่จะแย่งชิง
ถ้าเอานิสัยอย่างนี้มาใช้กับการฝึกกรรมฐาน
ไปไม่รอดหรอก ไม่ซื่อ
ที่จริงธรรมะไม่ได้อยู่ที่หลวงพ่อ
ไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้า
ไม่ได้อยู่ในตู้พระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้าท่านแค่สอนหนทางปฏิบัติ
เพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์
1
ในเบื้องต้นก็พ้นทุกข์ก่อน
พ้นทุกข์ก็คือจิตมันพ้นจากขันธ์ มันไม่ยึดถือขันธ์
สุดท้ายขันธ์มันก็แตกดับไปตามวาระของมัน
อันนั้นก็คือการดับสนิทแห่งทุกข์ ปรินิพพานไป
พระพุทธเจ้าท่านสอนทางให้
เราอยากดีเราก็ต้องเดินตามทางที่ท่านสอน
ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก
การเจริญปัญญาต้องหมั่นซ้อม ฝึกซ้อม ทำบ่อยๆ
เจริญปัญญาไม่ใช่นั่งคิดเอา
วิธีเจริญปัญญา การทำวิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่การคิด
พวกเราเคยชินกับความรู้ทางโลก
ความรู้ทางโลกอย่างเราเรียนปริญญานั้น ปริญญานี้
เราก็อ่านเอา ฟังเอา อ่านตำรา ฟังเลกเชอร์
คิดใช้เหตุใช้ผล อันนั้นเป็นวิธีหาความรู้
หาปัญญาทางโลกๆ
เป็นปัญญาเกิดจากการอ่านการฟัง เรียกสุตมยปัญญา
ปัญญาจากการคิดเอา จินตามยปัญญา
ส่วนปัญญาที่พวกเราต้องฝึกขึ้นมานั้นคือ
ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันจะมีได้
เรามีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ในขณะเดียวกันต้องมีกรอบ คือสัมมาวายามะ
ถ้าไม่มีสัมมาวายามะ ไม่มีความเพียรชอบ
คือเพียรลดละกิเลส เพียรเจริญกุศล
สัมมาสติไม่มีทางบริบูรณ์ สัมมาสติไม่บริบูรณ์
สัมมาสมาธิก็ไม่บริบูรณ์
สัมมาญาณะ ความหยั่งรู้ที่ถูกต้องก็ไม่มี
สัมมาวิมุตติ ความหลุดพ้นก็ไม่มี
องค์ธรรมสำคัญ 3 ตัวในการฝึกจิตฝึกใจ
ในขั้นของการฝึกจิตฝึกใจ องค์ธรรมสำคัญ 3 ตัว
คือสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ฉะนั้นอย่างเรานั่งสมาธิไม่ใช่นั่งสนองกิเลส
เราเจริญสติไม่ได้สนองกิเลส
แต่ทำไปเพื่อลดละอกุศล เพื่อเจริญกุศลให้ถึงพร้อม
กุศลที่ถึงพร้อมก็ตัวสุดขีดเลยก็ตัวอโมหะ ตัวไม่หลง
ตัวหลงเป็นหัวโจกของกิเลส เรียกตัวโมหะ
เป็นหัวหน้าของกิเลส
สิ่งที่ตรงข้ามกับโมหะ คือ อโมหะ
อโมหะมีชื่ออันหนึ่งก็คือปัญญา
ฉะนั้นปัญญากับโมหะมันตรงข้ามกัน
...
สัมมาวายามะ
เราต้องตั้งหลักให้ดีในการจะภาวนา
งานที่จะฝึกใจต้องมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
สัมมาวายามะ คือความเพียร
ลดละอกุศลที่มีอยู่ให้หมดไป
เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด
เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
เพียรเจริญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้งอกงามพัฒนาไป
อย่างสมมติเราเคยทำกุศลอันหนึ่ง เราเคยมีสติว่องไว
สติเป็นตัวกุศลแน่นอน แล้วเราไม่มีความเพียร
เราพอใจแล้ว แค่นี้พอใจแล้ว
จิตโกรธก็รู้ จิตโลภก็รู้ จิตหลงก็รู้ แค่นี้พอใจ
กิเลสนั้นมันละเอียดสติเราไม่พัฒนา
เราเห็นแต่ของหยาบๆ
กิเลสที่ยังละเอียดอยู่เรามองไม่เห็น
อย่างนี้เราก็สู้ได้แต่กิเลสหยาบๆ
กิเลสละเอียดเราสู้ไม่ได้ แพ้มัน
ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอกุศลอยู่
ยังเพิกเฉยไม่ได้ ยังต้องทำความเพียรต่อไป
แล้วกุศลของเรายังไม่ถึงพร้อม
เราก็ต้องมีความเพียรต่อไปเพื่อให้กุศลมันถึงพร้อม
ให้ศีล ให้สมาธิ ปัญญามันดีขึ้นๆ
เคยถือศีลแบบกระพร่องกระแพร่งหรือเล่นเลศ
ถือศีลอย่างเล่นเลศ อย่างนั้นไม่ลดละกิเลส
แต่มันสนองกิเลส
จะทำสมาธิก็ต้องรู้
สมาธิไม่ได้เป็นไปเพื่อทะนุถนอมกิเลส
เป็นไปเพื่อลดละกิเลส เป็นเครื่องมือ
เจริญสติก็เพื่อลดละกิเลส เพื่อให้กุศลเจริญขึ้น
ต้องตั้งหลักให้ดี ไม่ใช่คิดว่าภาวนาเฉยๆ นั่นล่ะ
กิเลสไม่ต้องละไม่ต้องลด
ตามใจกิเลส ปกป้องกิเลส
แล้ววันหนึ่งจะบรรลุมรรคผลไม่มีทางหรอก
เข้าขั้นไม่มีหวังเลย ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 พฤศจิกายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา