22 พ.ย. 2021 เวลา 06:19 • ไลฟ์สไตล์
“แต่ละคนมีทางเดินของตัวเอง”
" ... แล้วเราภาวนา พอเราเกิดมรรคเกิดผล
เป็นผลจากการที่เราเจริญสติเจริญปัญญาแล้ว
ได้มรรคได้ผล จิตปล่อยวาง
ทีแรกก็ปล่อยวางความเห็นผิดไป
เราก็ไม่ทุกข์เพราะความเห็นผิดอีกต่อไป
ต่อมาเราก็ปล่อยวางความยึดถือในกายได้
เราก็ไม่ทุกข์เพราะความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกาย
ก็ปล่อยวางกายได้ ก็ไม่ทุกข์เพราะกายอีกต่อไป
สุดท้ายปล่อยวางจิตได้ ก็ไม่ทุกข์เพราะจิตอีกต่อไป
ก็ไม่มีอะไรจะให้ทุกข์อีกต่อไปแล้ว
จิตเข้าถึงความสุข ความสงบ มันเป็นอมตะ
มันคงตัวอยู่อย่างนั้นล่ะ ทรงตัวอยู่
มีความสุข มีความสงบ
ครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่าท่านมาถึงตรงนี้
ท่านน้ำตาร่วงเลย โห มันมีความสุขอย่างนี้ ก็มีอยู่ในโลกด้วย
พวกเราเคยได้ยินแต่มีความทุกข์จนน้ำตาตกใช่ไหม
ท่านสัมผัสความสุขจนน้ำตาตกเลย มันสุขมหาศาล
ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง
อย่างหลวงปู่ พูดได้แล้ว ท่านไม่อยู่แล้ว
ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านภาวนาอยู่
แล้วท่านก็ดูๆๆ ลงมา วางกาย เข้ามาที่จิต
สุดท้ายท่านก็หยิบจิตขึ้นมาแล้วขว้างทิ้งไปเลย
หยิบจิตผู้รู้ขึ้นมาแล้วขว้างทิ้งไปเลย
ท่านบอกมีอาการเหมือนกับท่านเอามือรวบไปที่กอหญ้า
แล้วกระชากหญ้าขึ้นมาทั้งกอเลย
แล้วก็ขว้างหญ้าที่ดึงขึ้นมาแล้วลงเหวไปเลย
ไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว
ท่านบอกว่าถึงตรงนี้ โห มีความสุข
เรามีความสุขอยู่ปีกว่าๆ ท่านว่าอย่างนี้
แล้วถัดจากนั้น จิตเราก็เป็นอุเบกขา
ไม่มี ไม่เป็น เราก็อยู่ของเราอย่างนี้ล่ะ
ท่านก็เล่าให้ฟังอย่างนี้
เพราะฉะนั้นมันมีความสุขสูงสุดเลยคือสุขในพระนิพพาน
นิพพานเป็นบรมสุข นิพพานัง ปรมัง สุขัง
นิพพานเป็นบรมสุข
แล้วทำไมเมื่อกี้หลวงพ่อพูดว่า
พระพุทธเจ้าสอนว่า “สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี”
แล้วนิพพานหรือความสงบแน่ที่เป็นความสุข
ก็ความสงบสูงสุดนั่นล่ะคือพระนิพพาน
ลักษณะของพระนิพพาน คือสันติ
มีสันติลักษณะ ฉะนั้นสันติก็คือสงบนั่นล่ะ
ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงความสงบระดับพระนิพพาน
ก็เรียกว่าไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
มันพ้นจากความเสียดแทงทั้งปวง พ้นจากภาระทั้งปวง
คราวนี้ก็อยู่ที่พวกเราแล้ว
หลวงพ่อเล่าให้ฟัง ความสุขทั้ง 3 ชนิดแล้ว
ความสุขอย่างโลกๆ วันๆ ก็วิ่งหาของกินอร่อย
วิ่งเล่นเที่ยวโน้นเที่ยวนี้ ทำโน้นทำนี้
จีบคนโน้น หลอกคนนี้ หาเงิน
บางคนมีความสุขกับการนับตัวเลขในบัญชี
ตัวเลขยาวๆ ไม่ใช่เลขหนี้สิน
เป็นเลขทรัพย์สินยาว มีความสุข เห็นตัวเลข
เหนื่อยแทบตาย ก็ยังมีความสุขอยู่
ความสุขอย่างโลกๆ มันเจือทุกข์
เราจะเลือกอย่างนี้ พอใจอยู่แค่นี้
หลวงพ่อก็ไม่ว่า ก็แล้วแต่พวกเรา ทุกคนมีอิสระ
เรามีอิสระที่จะทำกรรม
เราพอใจที่จะหาความสุขในโลกิยธรรม
ความสุขอย่างโลกๆ ก็หาไปเถอะ
หลวงพ่อไม่ว่าอะไรหรอก หลวงพ่อแค่บอกว่า
มันมีความสุขที่เหนือกว่านี้อีก 2 อย่าง
คือความสุขของสมาธิ
กับความสุขของการเจริญปัญญา
จนเกิดมรรคเกิดผลนิพพานขึ้นมา
เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ เป็นลำดับไป
ความสุขของฌาน เทียบกับความสุขของโลก
คนที่เข้าฌานได้จะมีความรู้สึกว่า
ความสุขอย่างโลกๆ เหมือนความสุขแบบ
เด็กเล่นดินเล่นทราย สกปรก ขุดไส้เดือน
ขุดอะไรเล่น เล่นของสกปรก
ในสายตาของผู้ทรงฌาน
พวกความสุขในโลกิยะเป็นความสุขที่สกปรก
เป็นความสุขที่ไม่ดีจริง
ถ้าในสายตาของท่านที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปแล้ว
ก็เห็นว่าความสุขของสมาธิยังไม่ยั่งยืน
มีความสุขที่ยั่งยืนกว่านั้นอีก
เราก็มีสิทธิที่จะเลือก ว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตเรา
ต้องการความสุขระดับไหน
ที่จริงทุกคนต้องการความสุข
ความสุขที่เราต้องการจะเป็นระดับไหน
ก็แล้วแต่พวกเรา
ทุกคนมีอิสระที่จะเลือกเส้นทางในชีวิตของตัวเอง
อย่างหลวงพ่อหรือพระที่มาบวช
พระอาจารย์อ๊าอะไรพวกนี้ ไม่คิดจะสึก
พวกที่ไม่คิดจะสึก เพราะไม่คิดจะไปหาความสุข
ในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความสุขในโลกแล้ว
รู้สึกไม่มีสาระแก่นสาร อยากได้ความสุขที่สูงขึ้นไปอีก
แต่ละคนก็มีทางเดิน มีอิสระที่จะเดินของตัวเอง
นี่ล่ะกฎแห่งกรรมมันยุติธรรม
ถ้าเราพอใจแค่นี้ เราก็ดำรงชีวิตอยู่แค่นี้ เราก็ได้แค่นี้
ถ้าเราปรารถนาสิ่งที่สูงขึ้นไป สิ่งที่ยั่งยืนขึ้นไป
เราก็ต้องอดทนพากเพียร ทำกรรมที่สูงขึ้นไปอีก
กรรมระดับสูงคือกรรมฐาน
ถ้าเอาความสงบก็เรียกทำสมถกรรมฐาน
เห็นไหมมีทำกรรม
ถ้าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
มุ่งไปสู่มรรคผลนิพพาน ก็จะได้พ้นทุกข์เด็ดขาด
ก็เป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้น ก็เลือกเอา
จะทำอะไรก็เอา เป็นเสรีภาพเป็นสิทธิส่วนบุคคล
ไม่ว่ากัน. ..."
1
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
14 พฤศจิกายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา