Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
7 ธ.ค. 2021 เวลา 15:01 • ไลฟ์สไตล์
"นาทีทองของการปฏิบัติ"
" ... เวลาที่ดีในการที่จะวัดตัวเองคือตอนที่ตื่นนอน
หลวงพ่อเคยพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า
เวลาที่ตื่นนอนเป็นนาทีทองของการปฏิบัติ
บางครั้งจิตเราเข้าไปติดสภาวะอันใดอันหนึ่งอยู่
แล้วเราไม่รู้ เราไม่เห็น แต่เรารู้สึกว่ามันติด
แต่มันติดอย่างไร จิตไปเดินท่าไหน ไปทำท่าไหน
ปฏิบัติท่าไหนมาอยู่ตรงนี้ ดูอย่างไรก็ดูไม่ออก
คือตอนที่มันตื่นเต็มตัว มันปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว
มันสร้างภพชนิดนี้ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ไปดูมันมาอย่างไร ดูอย่างไร ดูไม่ออก
ให้ดูตอนตื่นนอน
ตอนตื่นนอน จิตเรายังไม่มีมารยา
ไม่ได้ตั้งตัวเป็นนักปฏิบัติ มันเป็นจิตที่ธรรมดา
จิตที่ธรรมดานั้นล่ะ มันจะฟ้องเราเองว่า
ตัวจริงของเรามีกิเลสอยู่แค่ไหน
หรือมีกุศลอยู่แค่ไหน
ถ้าจิตที่ไปติดสมาธิว่างๆ อยู่ ดูอย่างไรก็ไม่เห็นหรอก
ตอนเราตื่นนอน หลวงพ่อสังเกตตัวเองตอนนั้น
พอตื่นนอน ใจก็เป็นธรรมชาติมากเลย
เสร็จแล้วคิดถึงวันนี้เราจะภาวนาอย่างไรดี
พอคิดเรื่องภาวนา จิตจะปรุงแต่งทันทีเลย
เช่น เคลื่อนเข้าไปอยู่ในช่องว่าง ไปอยู่ในความว่าง
หรือเคลื่อนไปเพ่งอะไรขึ้นมา ทำงานทันทีเลย
เช่น มันเคลื่อนไปอยู่ในความว่างอย่างนี้
เราก็ เฮ้ย มันมาอย่างนี้เอง
จิตมันส่งออกเข้าไปอยู่ในความว่าง
ถ้าจิตมันหลุดเข้าไปอยู่ในความว่างเรียบร้อยแล้ว
คือหลุดเข้าไปอยู่ในภพอันใดอันหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
แล้วจะไปดูว่ามันมาตรงนี้ได้อย่างไร
มันดูไม่ทันเสียแล้ว มันเข้าภพนี้ไปแล้ว
เราต้องดูตั้งแต่ก่อนที่มันจะเข้า ตอนที่มันยังไม่ได้เข้า
ก็ตอนที่เราตื่นนี่ล่ะ
อย่างหลับอยู่แล้วตอนตื่น ตื่นทีแรก
จิตมันเป็นปกติของเราเลย
แต่พอเราคิดเรื่องการปฏิบัติ จิตมันจะปรุงแต่ง
มันสร้างภพอันหนึ่งขึ้นมาแล้วก็เข้าไปอยู่ในนั้น
หลวงพ่อใช้ความสังเกตเอาอย่างนี้
สังเกตตัวเองเรื่อยๆ เราก็รู้ อ๋อ มันผิดเพราะอย่างนี้เอง
มันผิดตรงนี้เอง ผิดตรงที่จิตมันเคลื่อนไปปรุงแต่ง
แล้วเคลื่อนไป ไปสร้างภพนิ่งๆ ว่างๆ อยู่
แล้วเราไม่รู้ทันว่ามันมาได้อย่างไร
มาอยู่ตรงนี้ ค้างอยู่ตรงนี้นานๆ
อาศัยการสังเกตเอา สังเกตตัวเอง
เวลาที่สังเกตง่ายที่สุดคือเวลาที่ไม่ได้คิดเรื่องปฏิบัติ
ถ้าคิดเรื่องปฏิบัติ
เราจะไปปรุงภพของนักปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว
ทำเป็นนิ่งๆ
จากผลทวนเข้าไปหาเหตุ
ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เรียนไป เรียนจากสิ่งที่ผิด
เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา
เราไม่รู้หรอกว่าที่เราปฏิบัติมันถูกหรือผิด
เราวัดที่ผลของมัน จากผลเราจะทวนเข้าไปหาเหตุได้
ผลมันถูก มันก็ต้องมาจากเหตุที่ถูก
ผลที่ผิด มันก็ต้องมาจากเหตุที่ผิด
เรียนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะรู้
ถึงจุดหนึ่ง อ๋อ การปฏิบัติที่ผิดมันเป็นอย่างนี้
การปฏิบัติที่ถูกมันเป็นอย่างนี้
หลวงพ่อถึงสรุปได้ว่าวิธีทำสมาธิที่ถูกมีหลักอย่างไร
เพราะหลวงพ่อเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดมากมายมหาศาล
โน่นก็ผิดนี่ก็ผิด จนกระทั่งจับหลักได้
ถ้าเราต้องการให้จิตสงบ
ให้เราน้อมจิตๆ เจตนาเข้าไปก่อน
น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
พอไปอยู่ตรงนี้ เราสังเกตดู ถ้าอยากให้สงบ จะไม่สงบ
ตรงนี้ต้องไม่อยาก
แค่น้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเรา
ที่เราอยู่แล้วมีความสุข
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
ถ้าวางใจได้อย่างนี้ สงบทันทีเลย
ฉะนั้นอย่างให้หลวงพ่อทำความสงบ
หลวงพ่อทำได้ปุ๊บเลย เพราะเราจับหลักได้แล้ว
แต่ก่อนจะจับหลักได้ ต่อสู้สาหัส
อย่างตั้งแต่เด็ก หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
พุทโธหายไป เหลือแต่ลม
ภาวนาไปเรื่อยลมหาย เหลือแต่แสง
ภาวนาไปเรื่อย
คราวนี้เที่ยวรู้เที่ยวเห็นอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
จิตมันหลอนนานาชนิดได้
รู้ไปเรื่อย ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย
จิตออกไปเที่ยวสวรรค์
แล้วอยู่สวรรค์กับเขาได้ไหม ก็อยู่ไม่ได้
เห็นของกินของเทวดา กินกับเขาได้ไหม ก็กินไม่ได้
เหมือนเราไปดูหนัง หนังมันแสดงอย่างโน้นอย่างนี้
เราไม่ได้มีอะไรกับเขาเลย
เริ่มเห็นว่ามันไม่มีสาระแก่นสารแล้ว
เรียนรู้อย่างนี้ไม่ถูก
ภาวนาแล้วจิตส่งออกนอกตามแสงสว่างไป
เที่ยวรู้เที่ยวเห็นอะไรออกนอกไป
รู้อดีต รู้อนาคต รู้เทวดา รู้ผี รู้อะไรอย่างนี้
มันรู้ได้จริงๆ แต่สิ่งที่ถูกรู้อาจจะไม่จริงก็ได้
จิตมันหลอก กิเลสมันหลอกเรา
1
อย่างภาวนา บางคนก็อยากเห็นพระจุฬามณี
ที่โน้นก็อยากดูพระจุฬามณี ทางนี้ก็อยากดูพระจุฬามณี
พระจุฬามณีแต่ละวัดทำไมมันไม่เหมือนกันสักองค์หนึ่ง
เจดีย์นั้นวัดนี้ก็จุฬามณีแบบนี้ๆ
ถ้ามันเป็นความจริง มันจะต้องเหมือนกันใช่ไหม
จิตมันหลอนอย่างนี้
เวลาฝึกสมาธิแล้ว จิตมันไหลออกไป
พอเรารู้ โอ๊ย อย่างนี้มันไม่ถูก
พอรู้ว่าอันไหนมันไม่ถูก มันก็รู้จักสิ่งที่ถูกขึ้นมาเลย
เมื่อไหร่ไม่ผิด เมื่อนั้นก็ถูกล่ะ
ไปนั่งเพ่งไว้จนเครียด ก็ไม่ถูก เครียดอยู่
ทรมานกายทรมานใจ ไม่เห็นมีอะไรขึ้นมา
ดีไม่ดี กิเลสเพิ่มอีก อย่างไปนั่งเพ่ง เครียดๆ อยู่
คนอื่นไม่ดีเลย กูดีกว่าเขา กูเพ่งเก่ง กูมีสมาธิ
กูเป็นคนดี เลยเลวกว่าคนอื่นเขา ไม่เห็นกิเลส
กูเก่งๆ ขึ้นมาแล้ว
มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
หลวงพ่อก็ใช้วิธีค่อยๆ สังเกต
สรุปได้ วิธีทำสมาธิ
ทำสมถะ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่าอยากสงบ มันสงบเอง
ถ้าอยากสงบจะไม่สงบ
แล้วถ้าจะให้จิตตั้งมั่นล่ะ ทำอย่างไร
ทำได้หลายแบบ บอกแล้วฝึกมาเยอะ หลายแบบ
ทำสมาธิก็ได้ เป็นอีกแบบหนึ่ง
แบบที่พวกเราพอจะทำได้ก็คืออาศัยสติรู้ทันจิต
ที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา จิตไหลไปคิดแล้วรู้
คือถ้าหลงแล้วรู้ มันก็รู้นั่นล่ะ
มันก็ไม่หลงก็แค่นั้นล่ะ
ฉะนั้นอาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น
มันไหลไปแล้ว มันไม่ตั้งมั่น
มันจะเกิดการตั้งมั่นอัตโนมัติ
ไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น มันตั้งได้เอง
เรียนมาจากสิ่งที่ผิด แล้วก็สรุปออกมาอย่างนี้
พอถึงขั้นเจริญปัญญา
หลวงพ่อก็ภาวนานานาชนิดเลย ทดลองไปเรื่อย
สุดท้ายก็สรุปได้ ถ้าเราจะเจริญปัญญา ทำอย่างไร
ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
จะรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงได้มีเงื่อนไข
ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
เพราะฉะนั้นต้องมีสติรู้กายรู้ใจ
มีอะไร มีสติ มีสติไปทำอะไร ไปรู้
ไม่ใช่ไปเพ่ง ไม่ใช่ไปคิด
ฉะนั้นมีสติไปรู้เท่านั้นเอง ระลึกรู้
มีอะไรเกิดขึ้นในกาย รู้
มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจ รู้
มีสติรู้ รู้อะไร รู้กาย รู้ใจ
ไปรู้อะไรอย่างอื่น รู้อยู่ที่กายที่ใจนี้
ตามความเป็นจริง
หมายถึงว่ากายเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
ใจเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
ไม่เข้าไปแทรกแซง
ไม่ใช่ว่าต้องสงบ ต้องสุข ต้องดี
ไม่มีคำว่าต้อง ไม่มีคำว่าห้าม
มันเป็นอย่างไร ก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
คำว่าต้อง คำว่าห้าม ไม่เอามาใช้ในการทำวิปัสสนา
แต่เอาไปใช้ในการทำสมาธิ ทำสมถะได้
ค่อยๆ เรียน ความจริงคืออะไร
มีสติรู้กายรู้ใจ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
กายเป็นอย่างไร กายเป็นไตรลักษณ์
ใจเป็นอย่างไร ใจเป็นไตรลักษณ์
นั่นล่ะคือความจริง
กายเป็นปฏิกูลอสุภะ ไม่ใช่ความจริง
เป็นความจริงโดยสมมติ
อย่างหมาเน่าสักตัวหนึ่งอย่างนี้
เราบอกว่าเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ
แมลงวันบอก หอมชื่นใจ ชอบมากเลย
กินแล้วก็ไข่ไว้ด้วย ให้ลูกของตัวเองอยู่ตรงนี้
จะได้กินมันต่ออะไรอย่างนี้
ฉะนั้นปฏิกูลอสุภะไม่มีสภาวธรรมรองรับจริง
บางคนก็ว่าเป็นปฏิกูล บางคนว่าไม่ปฏิกูล
อย่างคนไทยว่าทุเรียนหอมใช่ไหม ทุเรียนหอม
คนที่ไม่ชอบทุเรียน ฝรั่งที่ไม่ชอบทุเรียน
บอกเหม็นเหลือเกิน
ผลไม้ชนิดนี้ ชีสบางอย่าง มีเชื้อรามีอะไร
ฝรั่งว่าหอม เราเห็นแล้วอ้วกจะแตก
เห็นไหม เป็นปฏิกูลอสุภะของเรา มันเป็นสุภะของเขา
ฉะนั้นเรื่องปฏิกูลอสุภะไม่ใช่ของจริง
แล้วแต่ความพอใจ
อย่างปลาร้า คนชอบปลาร้าได้กลิ่นแล้วน้ำลายไหล
อีกคนหนึ่งเกลียดปลาร้า ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก
ฉะนั้นอันไหนเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ ไม่มีจริง
คราวหนึ่งหลวงพ่อไปวัดป่าสาลวัน
ที่จริงไปทุกเดือน ไปหาหลวงพ่อพุธ
ท่านอยู่โคราช ใกล้ ทุกเดือนก็ต้องไปหาท่านทีหนึ่ง
เดินเข้าไปทางหลังวัด เดินเข้าไป
โอ้โห เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด เต็มไปหมดเลย
ขี้หมาทั้งนั้นเลย
สงสัยหมาทั้งตำบลมาใช้ตรงนี้เป็นส้วมสาธารณะของมัน
ตรงนี้กองๆ ไม่รู้จะเอาขาเอาเท้าวางไว้ตรงไหน
ต้องระวังมากเลย ก็เดินๆๆ ไป ไปเจอกองหนึ่ง
ยังเละๆ อยู่ หมาคงเพิ่งอึไว้
มีหนอนอยู่ด้วยดึบๆ ดึบๆ อย่างนี้
เห็นแล้วสะอิดสะเอียน แทบอ้วกเลย
กำลังสะอิดสะเอียน
จิตมันแสดงปาฏิหาริย์ให้ดูเลย
จิตมันพุ่งเข้าไปใส่กองขี้หมานั้น
คล้ายๆ อยู่ๆ เราหล่นตูมลงไปในกองขี้หมา
ทีแรกมันก็กองแค่นี้ พอจิตมันเคลื่อนเข้าไป
กองมันใหญ่ คล้ายๆ เราจมลงไปได้เลย
จิตมันเคลื่อนเข้าไปใส่ขี้หมา
พอลงไปปุ๊บมันแยกเลย
น้ำส่วนน้ำ ลมส่วนลม ไฟส่วนไฟ ดิน เหลือแต่ดิน
นี่อำนาจของจิต ดูลงไปปุ๊บ ขี้หมาเปียกๆ
เราเห็นเป็นขี้หมาแห้งๆ เลย แห้งสนิทเลย
จิตเลยเห็น โอ้ ที่จริงแล้วคือธาตุ
มันก็คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุนี้มันเป็นของจริง มีจริง
ปฏิกูลอสุภะไม่มีจริง จิตมันสอนตรงนี้ขึ้นมา
ก็แสดงให้ดูเลย
ฉะนั้นเวลาเรียนกรรมฐาน จิตหลวงพ่อมันโลดโผน
บางทีมีฉายสไลด์ให้ดูเลย เหมือนถ่ายคลิปให้ดูเลย
ไม่ใช่คิดๆ เอา พอเห็นอย่างนี้
จิตราบเป็นหน้ากลอง เดินสบายๆ ไป
ก็มีสติไม่เหยียบขี้หมาหรอก
เดินไป ไปกราบหลวงพ่อพุธ ท่านเห็นหน้าหลวงพ่อ
“ไง นักปฏิบัติ” ท่านเรียกหลวงพ่อว่านักปฏิบัติ
“ได้อะไรดีมาวันนี้”
เล่าให้ท่าน ไปเห็นขี้หมาที่วัดท่านนี้ล่ะ
แล้วจิตมันเข้าไปแยกขี้หมา ลงเป็นธาตุ ท่านก็
“ถูกแล้วๆ มันก็มีแต่ธาตุเท่านั้นล่ะ”
รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
เพราะฉะนั้นที่ว่ารู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ถ้ารู้กายก็รู้ลงเป็นธาตุไป
นั่นความจริงของกายมันเป็นแค่วัตถุธาตุ
เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
รู้จิตรู้ใจก็เห็นว่า
แค่ความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นเอง กับความรับรู้
ความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์
นึกก็คือความจำได้หมายรู้
คิดก็คือความปรุงดีปรุงชั่ว คือเวทนา สัญญา สังขาร
ส่วนตัวความรับรู้ก็คือตัวจิต
เราเรียกว่าเราแยกขันธ์ออกไปได้
รูปขันธ์แยกออกเป็นละเอียดก็เป็นธาตุ 4
นามขันธ์แยกออกไปก็เป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แยกออกไป แต่ละอันๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ทั้งหมดเลย ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ค่อยๆ จับหลักได้ มีสติรู้กายใจตามความเป็นจริง
คือมันเป็นแค่เป็นธาตุเป็นขันธ์
แล้วก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นคือความจริง
เราจะเห็นตรงนี้ได้ จิตต้องตั้งมั่นและเป็นกลาง
ฉะนั้นที่หลวงพ่อบอกว่า
ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ที่จริงตัวนี้คือหลักของการทำวิปัสสนากรรมฐาน
แต่หลวงพ่อย้ำ ขยายวงเล็บไว้
ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
ถ้าไม่มีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
รู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ มันจะรู้แล้วไม่จริง
อาศัยการปฏิบัติ ผิดถูก ค่อยๆ ลอง ค่อยๆ เรียนไป
ในที่สุดมันก็จับหลักได้ พอเราจับหลักได้
คราวนี้หันซ้ายหันขวาจะทำสมถะใช้อะไรก็ได้
กรรมฐานอะไรก็ใช้ทำสมถะได้หมดเลย
ทำอันหนึ่งให้ได้ก่อนแล้ว แล้วมันได้ทั้งหมด
เหมือนอย่างถ้าทำกสิณได้อันหนึ่ง
ก็จะได้กสิณทั้ง 10 อัน
กรรมฐานทำให้มันเชี่ยวชาญสักกองหนึ่ง
ก็จะได้ 40 กองนั่นล่ะ
วิปัสสนา ชำนิชำนาญในกาย หรือเวทนา หรือจิต
หรือธรรม อันใดอันหนึ่ง
กายก็ไม่ได้รู้กายทั้งหมด รู้กายบางอย่างก็พอแล้ว
เช่น กายหายใจออก กายหายใจเข้า รู้อย่างนี้ ก็รู้ทั้งหมดล่ะ
กายยืน เดิน นั่ง นอน รู้แค่นี้ ก็รู้ทั้งหมด
สุข ทุกข์ เฉยๆ เกิดขึ้น รู้เท่านี้ก็คือรู้ทั้งหมด
พอจับหลักได้
คราวนี้จะทำอะไรให้มันเป็นวิปัสสนามันก็เป็น
จะทำให้มันเป็นสมถะ มันก็เป็น พอรู้หลักแล้ว
มันคล้ายๆ เคล็ดลับของวิทยายุทธสายจีน สายญี่ปุ่น
เมื่อฝึกถึงจุดสุดยอดแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างใช้เป็นอาวุธได้หมดเลย
ถ้าเราฝึกจนถึงจุดที่เราเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว อะไรก็ได้
ดูอะไรก็ได้ ดูให้มันเป็นสมถะก็ได้
ให้มันเป็นวิปัสสนาก็ได้
แต่จะเป็นวิปัสสนาต้องเป็นรูปธรรมนามธรรม
ส่วนสมถะไม่เลือกเลย อะไรก็ได้หมดเลย
ส่วนวิปัสสนาต้องรู้รูปรู้นาม
แต่จะรู้รูปชนิดไหน นามชนิดไหน อะไรก็ได้
เลยจะรู้สึกง่าย ไม่เห็นยากเลย
ก่อนจะรู้สึกง่ายมันยากแสนสาหัสมาแล้ว
ฉะนั้นเราฟังที่หลวงพ่อสอนวันนี้แล้วจับหลัก
แล้วก็พยายามช่วยตัวเองให้ได้
เรียนรู้สิ่งที่ผิดนั่นล่ะ
ตรงไหนผิด อะไรที่ทำแล้ว อกุศลที่ยังไม่มี มีขึ้นมา
อกุศลที่มีแล้วเจริญขึ้น
อะไรที่ทำแล้ว กุศลที่ยังไม่เกิด เกิด
อะไรที่กุศลเกิดแล้วก็เกิดบ่อยขึ้น ชำนิชำนาญขึ้น
ก็จะบอกเรา ตรงไหนถูกตรงไหนผิด
ฝึกไปเรื่อย ในที่สุดมันก็จับหลักได้
คราวนี้ง่ายแล้ว. ..."
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
28 พฤศจิกายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
เยี่ยมชม
dhamma.com
วัดใจตัวเอง
อย่าเข้าข้างตัวเอง เวลาเราจะวัดกิเลสตัวเอง ต้องวัดในสภาวะที่จิตอยู่ในสภาวะปกติ ไปทรงสมาธิอยู่ แล้วจะให้วัด ไม่มีอะไรให้วัดเลย
…
เยี่ยมชม
youtube.com
[รีรัน] 28 พ.ย. 2564 ไลฟ์สดหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.comhttps://fb.com/dhammateachingshttps://instagram.com/dhammadotcomhttp:...
Photo by : Unsplash
5 บันทึก
11
2
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
5
11
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย