Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
7 ธ.ค. 2021 เวลา 10:12 • ปรัชญา
"วัดใจตัวเอง"
" ... หลวงพ่อก็สอนกรรมฐานมานานแล้ว
ตอนหลวงพ่อเรียนกับครูบาอาจารย์ เรียนไม่มาก
จับหลักได้แล้ว ก็ทำเอาเอง ช่วยตัวเองให้มาก
ใช้ความสังเกต ที่เราเป็นอยู่มันถูกไม่ถูก
ที่เราทำอยู่มันถูกไม่ถูก
ตอนแรกมันยังลูบๆ คลำๆ ที่ทำอยู่ถูกหรือเปล่าไม่รู้
ฟังครูบาอาจารย์มา เรามาทำดู เราไม่รู้ว่าที่ทำถูกไหม
หลวงพ่อก็สังเกตผล
ผลจากการกระทำว่าสิ่งที่มันเป็นขึ้นมามันถูกไหม
ตัวนี้ดูง่ายหน่อย อย่างจิตใจเราเคยฟุ้งซ่านทั้งวันทั้งคืน
ตอนนี้มันเริ่มสงบ เริ่มรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา
อย่างนี้มันก็น่าจะถูก
เราเคยทำผิดศีล เจอยุงก็ตบอะไรอย่างนี้
ทีนี้ไม่กล้าตบ สงสารมัน นี่เป็นผลที่เราภาวนา
เราทำแล้ว รักษาศีลได้ดีขึ้น มีเมตตากรุณามากขึ้น
สิ่งที่ทำมันน่าจะถูก ฝึกแล้วแต่เดิมจิตฟุ้งซ่านไปเรื่อย
จิตก็เริ่มสงบมากขึ้นๆ จิตตั้งมั่นดีขึ้น
เมื่อก่อนจะสงบจะตั้งมั่นได้ ต้องอยู่ลำพังตัวคนเดียว
ภาวนาของเราอยู่คนเดียว จิตสงบตั้งมั่น
ปฏิบัติมาเรื่อยๆ อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของโลก
จิตเราก็สงบได้ตั้งมั่นได้
เออ ผลที่เกิดอย่างนี้แสดงว่าสิ่งที่ทำอยู่น่าจะถูก
เมื่อก่อนนี้ไม่สามารถเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นไตรลักษณ์
ได้แต่คิดว่ามันเป็นไตรลักษณ์ คิดเอา
แต่ตอนนี้รู้สึกเอาว่ามันเป็นไตรลักษณ์
แล้วมันประณีตขึ้น ละเอียดขึ้น
เออ มันน่าจะถูกวิธีปฏิบัติอย่างนี้
ฉะนั้นเวลาหลวงพ่อฟังครูบาอาจารย์มา
แล้วลงมือปฏิบัติ มันมีลักษณะการลองผิดลองถูก
แล้วประเมินผลจากผลที่มันเกิดขึ้นว่า
อกุศลมันลดลงไหม กุศลมันเจริญขึ้นไหม
หลวงพ่อวัดตัวเองอยู่เสมอ
จนกระทั่งช่วงหนึ่งไปกราบหลวงปู่ดูลย์ช่วงท้ายๆ
ก็ไปเรียนท่าน ผมเห็นกิเลสตัวเอง
อย่างถ้ากิเลส 4 ส่วน ผมสู้มันได้แล้ว 2 ส่วน
อีกส่วนที่สาม ยังเอาชนะมันไม่ได้
มันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่
หลวงปู่ท่านบอกว่าฉลาด รู้จักกิเลสตัวเอง
ท่านไม่ได้ชมว่าฉลาดเพราะรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะ
เห็นผี เห็นเทวดา เห็นอดีต เห็นอนาคตอะไรอย่างนี้
ท่านไม่ได้ชม
ไปเล่าให้ท่านฟังว่าเห็นกิเลส มีกิเลสตัวไหน
มีอย่างไรเท่าไหร่อะไรอย่างนี้ ดูตัวเอง
ท่านก็ชมว่าฉลาด รู้จักสังเกตจิตใจตัวเอง
วัดผลคือสังเกตจากกิเลสของเราเอง
ฉะนั้นหลวงพ่อภาวนา
หลวงพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ รับราชการ
เวลาที่จะออกไปหาครูบาอาจารย์มันหายาก
นานๆ จะได้ไปหาทีหนึ่ง
ฉะนั้นที่เราภาวนาอยู่ทุกวันๆ ไม่หยุดเลย
ก็ต้องวัดผลด้วยตัวของเราเอง
วิธีวัดผลก็คือสังเกตจากกิเลสของเรานั่นล่ะ
ที่ทำอยู่อกุศลที่เคยมี มันลดลงไหม
กุศลที่ไม่เคยมี มีไหม
กุศลที่มีแล้ว เสื่อมไปอีกหรือเปล่า
หรือว่าพัฒนาขึ้นไปอีก วัดใจตัวเองสม่ำเสมอไป
ดูแล้วรู้เลยว่า ตอนนี้ภาวนามีกิเลสเหลือกี่เปอร์เซ็นต์
ดูเปอร์เซ็นต์ได้เลย สังเกตจิตใจตัวเอง
อย่าเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน
เฝ้ารู้เฝ้าดูทุกวันๆ ไม่อ้างว่าอยู่ไกลครูบาอาจารย์
ตัวที่จะช่วยยืนยันว่าวิธีปฏิบัติของเราถูกต้องหรือเปล่า
ดูจากผลของมัน
ถ้ามีครูบาอาจารย์อยู่ด้วย ก็ง่ายหน่อย
พอวิธีที่เราปฏิบัติผิด ท่านก็จวกเอา ท่านก็บอกให้
ครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านก็บอกดีๆ
บางองค์ท่านไม่บอก ท่านให้เราเรียนรู้เอง
บางองค์ท่านดุเอา
แต่หลวงพ่อไม่ค่อยถูกครูบาอาจารย์ดุ
เพราะหลวงพ่อเป็นลูกศิษย์ที่ขยันพากเพียรมากเลย
ทำงานทำการอยู่ทางโลก
งานหนักมาก งานเครียดมาก
แต่ไม่มีข้ออ้างว่าช่วงนี้งานมากเลยไม่ได้ภาวนา
ช่วงนี้งานเครียดมาก ไม่ได้ภาวนา
ไม่เคยอ้างอย่างนั้นเลย เพราะมันภาวนาได้
ถ้าใจมันจะรักที่จะภาวนา มันก็ทำได้
ถ้าใจมันไม่รักในการภาวนา
ก็หาข้ออ้างมากมายที่จะไม่ภาวนา
หลวงพ่อไม่ได้เป็นอย่างนั้น
หลวงพ่อภาวนาของหลวงพ่อทุกวัน
แรกๆ มันก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
ก็ดูจากผลที่มันพัฒนาขึ้นมาได้ เออ อย่างนี้ถูก
หรือภาวนาไปแล้วมีผลที่แปลกๆ
เช่น จิตโล่ง ว่าง สว่างไสวอยู่อย่างนั้นนาน
กิเลสไม่โผล่มาให้ดูเลย
จิตสว่างว่างมันไม่ใช่แล้วกระมัง
ทำไมมันเที่ยง พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง
ทำไมจิตเราเที่ยง
ท่านว่ามันเป็นทุกข์ ไม่เห็นมันทุกข์เลย มีแต่ความสุข
ท่านว่ามันบังคับไม่ได้ ทำไมมันบังคับได้
สังเกตเอา มันต้องผิดที่ใดที่หนึ่ง
ผลที่ได้มันถึงต่างกับที่พระพุทธเจ้าสอน
ใช้ความสังเกตเอา ค่อยๆ ดูตัวเองเอา
หรือบางทีได้ยินครูบาอาจารย์สอน เราก็หาทางปฏิบัติ
หลวงปู่ดูลย์บอกว่าอย่าส่งจิตออกนอก
หลวงพ่อก็หาทางปฏิบัติ ไม่ส่งจิตออกนอก
เราก็ส่งเข้าข้างใน ส่งเข้าไปดูภายใน
ดูในจิตลึกๆๆ ลงไปเรื่อยๆ ก็ได้
หรือดูเข้าไปในร่างกาย เราไม่ส่งออกนอก
เราส่งเข้าไปในกายในใจนี้
วันหนึ่งก็สงสัย กิเลสเราเห็นมันผุดขึ้นจากกลางอก
ต้นตอมันอยู่ที่ไหน เห็นแล้วว่ามันผุดขึ้นมา
หลวงพ่อก็ใจเย็นให้มันผุด รอกิเลสมันผุดขึ้นมา
เราก็รู้มัน รู้แบบแตะๆ
ถ้ารู้แบบคมกริบลงไป มันขาดสะบั้นเลย
รู้แบบแตะเอาไว้ มันค่อยๆ หดตัวลงไป
เข้าไปอยู่กลางอกเรา
ดูลงไปอีก เหมือนมันหนี ลึกลงไปๆๆ
หลวงพ่อก็ตามดูลงไปเรื่อยๆ ลึกแค่ไหนก็จะดู
กะว่าถึงกิเลสมันหนีไปอยู่เมืองบาดาล
ไปอยู่กับพญานาค เราก็ไม่กลัว เราจะตามดูให้ได้
พอมันลึกๆๆ ลงไป มันหายวับไปเลย
อ้าว มันหายไปแล้ว หาไม่เจอแล้ว
มันว่างอยู่ข้างใน ว่างๆ ว่างๆ
หลวงพ่อก็ถอยจิตออกมาอยู่ข้างนอกนี่
แล้วเดี๋ยวกิเลสมันก็ผุดขึ้นมาอีก ก็ดูอีก
มันก็หดเข้าไปอย่างนี้ ไล่ขึ้นไล่ลง
คิดว่าอย่างนี้ท่าจะถูกล่ะกระมัง
เพราะหลวงปู่บอกไม่ให้ส่งจิตออกนอก
เราไม่ได้ส่งออกนอก เราส่งเข้าข้างใน
วันหนึ่งขึ้นไปเชียงใหม่ ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิม
หลวงปู่สิมท่านเห็นหน้าปุ๊บ
เราไม่ต้องส่งการบ้านหรอก หลวงปู่สิม
หลวงปู่ดูลย์ก็เหมือนกัน ไม่ต้องส่งการบ้านหรอก
ไปนั่งเฉยๆ
หลวงปู่สิม พอเห็นหน้าหลวงพ่อโผล่ขึ้นมาปากถ้ำ
ยังไม่ทันบอกท่านเลย
ว่าเราส่งจิตเข้าไปดูกิเลสข้างใน หาต้นตอ ท่านบอก
“ผู้รู้ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ข้างใน”
คราวนี้งง เอ หลวงปู่ดูลย์ไม่ให้ส่งออกนอก
ทำไมหลวงปู่สิมบอกให้มาอยู่ข้างนอก เอาอย่างไรแน่
คำสอนของ 2 องค์ทำไมไม่เหมือนกัน
หลวงพ่อก็เลยสังเกต คงจะเข้าลึกเกินไป
ฉะนั้นเราอยู่กลางๆ ดีกว่า
ครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่หลวงพ่อไปเรียนด้วย
คือหลวงปู่เทสก์ ท่านบอก
“ผู้ใดเข้าถึงความเป็นกลาง จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”
โห กลางนี่ท่าจะดี ไม่ออกนอก แล้วก็ไม่เข้าข้างในด้วย
อยู่กลางๆ พยายามประคองจิตเอาไว้กลางๆ
ฝึกไปเรื่อย เวลาจิตมันเคลื่อนไปหาอารมณ์
มองเห็นว่ามันเคลื่อนไปที่อารมณ์
อารมณ์ภายในนี้ล่ะ เคลื่อน
พอจิตมันจะไปแตะที่ตัวอารมณ์ มันไม่แตะ
ทวนกระแสกลับเข้ามาหาตัวผู้รู้
พอมันจะมาแตะเข้าที่ตัวผู้รู้ เราไม่แตะ
ทวนกลับเข้าไปหาตัวอารมณ์
เคลื่อนเข้าออกอยู่ตรงนี้
ระหว่างกลางมี 2 จุด หัวท้าย
ตัวนี้คือจิต ตัวนี้คืออารมณ์ ตั้งอยู่ห่างกัน
เราเคลื่อนอยู่ตรงกลาง พยายามฝึก
ฝึกจิตให้มันเป็นกลาง เคลื่อนไปเคลื่อนมา
จิตรวมพรึบลงไป ไม่มีอะไรเลย
เหลือแต่สภาวะรู้อันเดียว
ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่านี่เป็นผู้รู้ นี่เป็นสิ่งที่ถูกรู้
ฝึกอยู่ตรงนี้พักใหญ่เลย ชำนิชำนาญ
กำหนดจิตลงไป ไม่จับผู้รู้ ไม่จับสิ่งที่ถูกรู้ นี่ล่ะกลางๆ
อีกคราวหนึ่งขึ้นไปเชียงใหม่ ฝึกเล่นอยู่อย่างนี้
ก่อนจะขึ้นเชียงใหม่ รอบนี้ขึ้นไปหาหลวงปู่เทสก์
ไปเล่าให้ท่านฟังบอก
ผมสงสัยว่ามันจะเป็นสมถะชนิดหนึ่ง
มันยังไม่ใช่วิปัสสนาหรอก
ถึงเราเข้าไปอยู่กับสภาวะที่ดูเหมือนๆ นิพพาน
เหมือนๆ นิพพาน ไม่มีตัณหา ไม่มีความปรุงแต่ง
ไม่มีรูป ไม่มีนาม ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์
ไม่มีอะไร ว่าง สว่าง ไม่มีเวลา เวลาก็ไม่มี
เวลามันเกิดจากการเข้าคู่กัน ต้องมี 2 อันเวลาถึงจะเกิด
อันนี้ไม่มีการเข้าคู่ ไม่มีเวลา
นี่ล่ะกระมังอกาลิโก เหนือกาลเวลา
แต่เสร็จแล้ว มันก็ถึงจุดหนึ่ง จิตมันก็ถอนออกมา
กลับมาอยู่กับโลกข้างนอกนี้
ดูลงไปกิเลสมันก็เหมือนเดิม มันไม่ใช่แล้ว
มันไม่ใช่เส้นทางที่จะเดินสู่พระนิพพานแล้ว
...
“ถ้าเราภาวนาถูกต้อง อกุศลที่มีอยู่มันจะดับ
อกุศลใหม่มันจะไม่เกิด หรือว่าเกิดได้เบาบางลง
กุศลที่ยังไม่มีก็เกิดมีขึ้น กุศลที่มีแล้วก็เจริญขึ้น
พัฒนาเข้มแข็งมากขึ้น”
...
ขึ้นไปกราบหลวงปู่เทสก์บอกท่านว่า
ผมทำแบบนี้ๆ ผมสงสัยว่าจะเป็นสมถะ เป็นสมาธิ
ท่านบอก ใช่ มันเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง
แต่ว่ายุคนี้ไม่มีใครทำกันแล้ว ให้เรียนเอาไว้ ให้รู้เอาไว้
มันมีประโยชน์เหมือนกันล่ะ เรียนเอาไว้
มิฉะนั้นไม่มีใครรู้จักแล้วท่านบอก สมาธิชนิดนี้
ก็เลยเรียนท่านบอก ผมกลัวติด กลัวติดสมถะ
ท่านบอก “ไม่ต้องกลัว ถ้าติดอาตมาจะแก้ให้เอง”
ท่านว่าอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านให้ทำ
ก็ทำอยู่อย่างนั้น ฝึกอยู่อย่างนั้น
ดับทุกอย่างลงไปหมดเลย เหลือแต่รู้อันเดียว
ไม่มีกระทั่งเวลา ไม่มีความคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้นเลย
วันนั้นขึ้นไปเชียงใหม่
จะไปหาอาจารย์ทองอินทร์ที่วัดสันติธรรม
เข้าไปวัดท่านกลางคืนแล้ว กลางวันทำงาน ไปราชการ
กลางคืนคนอื่นเขาไปกินเลี้ยง เราหนีไปเข้าวัด
ไปหาอาจารย์ทองอินทร์ ไปถึงหน้าวัดท่าน
มีพระมายืนอยู่องค์หนึ่ง
พระหนุ่มๆ หน้าหนาวอย่างนี้หนาวมาก
ไฟก็ไม่มีตอนนั้น วัดมืดตึ๊ดตื๋อเลย
พระนี้ท่านก็บอก
ตอนนี้อาจารย์บุญจันทร์มาจากถ้ำผาผึ้ง
ท่านอาพาธ จะมาหาหมอ มาพักอยู่ที่วัดสันติธรรม
ให้ไปหาอาจารย์บุญจันทร์หน่อย
หลวงพ่อบอกหลวงพ่อไม่รู้จัก
ไม่รู้จักอาจารย์บุญจันทร์ ไม่เคยได้ยินเลย ไม่รู้จัก
บอกผมจะมาหาอาจารย์ทองอินทร์
อาจารย์ทองอินทร์อยู่ไหม อยู่
หลวงพ่อก็ไปหาอาจารย์ทองอินทร์
พูดเรื่องการภาวนากับท่าน
อาจารย์ทองอินทร์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิม
ภาวนาเก่งเหมือนกันองค์นี้ คุยกับท่านสักชั่วโมงหนึ่ง
ออกจากกุฏิท่านมาก็ค่ำมากแล้วล่ะ
สามทุ่มกว่าแล้วกระมัง
พระองค์นั้นยังมายืนรออยู่หน้ากุฏิของอาจารย์ทองอินทร์ ตื๊อใหญ่เลย
ไปหน่อยๆ ไปหาอาจารย์บุญจันทร์ ไป
เกรงใจท่าน สงสาร มายืนรอเรา หนาวจะแย่อยู่แล้ว
มายืนอยู่ นึกไม่ออกเลยพระอะไรวะ ตื๊อชิปเป๋งเลย
ก็ขึ้นไปหา อาจารย์บุญจันทร์ท่านไม่สบาย
ท่านก็ยังไม่เข้าห้องท่าน พักอยู่ที่ระเบียง กุฏิท่าน
ท่านอยู่ชั้นสอง กุฏิเล็กๆ กุฏิไม้
ขึ้นไปถึง เจอท่านนอนอยู่บนตั่ง
หน้าเตียงท่านมีตั่งไม้อยู่ นอนคลุมโปงอยู่ สั่นๆๆ อยู่
เราขึ้นไปปุ๊บ ท่านก็ลุกขึ้นนั่งเลย ชี้หน้าเลย
“ไง ภาวนาอย่างไร ว่าไปสิ”
ก็เล่าถวายท่านว่า ไม่จับทั้งผู้รู้ ไม่จับทั้งสิ่งถูกรู้
จิตเป็นกลางรวมลงไป
ท่านตวาดเอา
“เฮ้ย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก ไง จะภาวนาอย่างไรต่อไปนี้”
หลวงพ่อฟังสำเนียงท่าน ฟังไม่ค่อยออก
ก็เลยนึกว่าท่านก็ฟังสำเนียงเราไม่ออกเหมือนกัน
คงไม่รู้ว่าเราพูดอะไร ไปเล่าให้ท่านฟังซ้ำอีกรอบ
ท่านตวาดเอาอีก คราวนี้ดังกว่าเก่าอีก
เฮ้ย ดังอย่างนี้เลย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
จิตมันทิ้งเลยการฝึกอย่างนั้น
มันรู้ว่าฝึกอย่างนี้ไม่ถูก เสียเวลา ใช้เวลานาน
หลวงปู่เทสก์ ท่านจะให้เราฝึกเพื่อให้รู้จักไว้
เผื่อวันหน้าใครเขาถามจะได้ตอบได้
ได้มี อย่างน้อยก็มีคนตอบได้
เราก็เข้าใจตัวนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ต่อ
ฝึกอยู่ตรงนี้ต่อไป มันก็ไม่ถึงมรรคผลนิพพานตัวจริง
เป็นนิพพานปลอม นิพพานเข้าๆ ออกๆ
มันเป็นเรื่องของสมาธิ ครูบาอาจารย์บอก
มานึกครูบาอาจารย์แต่ละองค์สอนเรา
คล้ายๆ ตบซ้ายองค์ ตบขวาองค์ ทุบกลางกระบาลองค์
เหมือนลูกฟุตบอล ถูกตบไปตบมา
หลวงปู่ดูลย์บอกอย่าส่งจิตออก
หลวงปู่สิมบอกอย่าเข้าข้างใน อย่าส่งจิตเข้าข้างใน
หลวงปู่เทสก์บอกฝึกให้มันเป็นกลางไว้
พอกลางแล้วมันไปอยู่กับสุญญตา
อาจารย์บุญจันทร์ไม่ใช่นิพพาน
คล้ายๆ ถูกต้อนตลอดเวลาเลย
ทำอย่างนี้ก็ผิดๆๆ ที่ท่านต้อน
ก่อนจะเจอท่านหลวงพ่อก็เฉลียวใจอยู่ว่ามันไม่ถูก
แต่ยังไม่แน่ใจ พอครูบาอาจารย์เชียร์ให้ ก็แน่ใจ
ก็รู้ว่าวิธีปฏิบัติอย่างนี้ถูก วิธีอย่างนี้ไม่ถูก
ที่ถูกที่ผิดมีตลอดสายของการปฏิบัติเลย
ทำอย่างนี้ถูก ถึงอีกจุดหนึ่งตรงนี้ไม่ถูกแล้ว
ใครจะมานั่งบอกเราทั้งปีทั้งชาติ
ก็ใช้โยนิโสมนสิการ ใช้ความสังเกตเอา
อย่างจิตไปอยู่ในความว่างๆ ไม่มีกระทั่งเวลา
ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรเลย ว่าง สว่าง
บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น หยุดความปรุงแต่ง
หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
ทีแรกนึกว่าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จนเข้าถึงพระนิพพานได้
ต่อมาก็พบว่าไม่ใช่ มันคือสมถะ
วัดกิเลสเวลาที่จิตอยู่ในสภาวะปกติ
ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ เห็นไป รู้สิ่งที่ผิดไปเรื่อยๆ
ทำไมรู้ว่าตรงนี้ผิด รู้ตั้งแต่ก่อนเจออาจารย์บุญจันทร์
ก่อนเจอหลวงปู่เทสก์
รู้ว่าตรงนี้ไม่ใช่ทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานหรอก
เป็นเรื่องของสมถะกรรมฐาน ทำไมรู้
เพราะว่าเข้าตรงนี้แล้ว ตอนที่ออกมา
อกุศลที่มีอยู่มันก็ไม่ได้ถูกละ
อกุศลใหม่ก็ยังเกิดได้
กุศลที่เคยมี มันก็มีแล้วมันก็ดับ
แล้วมันก็ไม่เจริญขึ้น
สังเกตอยู่ที่กุศลที่อกุศลนั่นล่ะ
ถ้าเราภาวนาถูกต้อง อกุศลที่มีอยู่มันจะดับ
อกุศลใหม่มันจะไม่เกิด หรือว่าเกิดได้เบาบางลง
กุศลที่ยังไม่มีก็เกิดมีขึ้น
กุศลที่มีแล้วก็เจริญขึ้น พัฒนาเข้มแข็งมากขึ้น
ถ้าวัดด้วยวิธีนี้แล้ว
มันจะชี้ได้เลยว่าที่ปฏิบัติอยู่ถูกหรือผิด
วัดได้ด้วยตัวเอง สังเกตใจตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเอง
วัดจริงๆ แล้วเวลาวัดใจ
มีหลักสำคัญอันหนึ่งที่หลวงพ่อผ่านมาด้วยตัวเอง
เวลาเราจะวัดกิเลสตัวเอง
ต้องวัดในสภาวะที่จิตอยู่ในสภาวะปกติ
อย่าไปทรงสมาธิอยู่ ไปทรงสมาธิอยู่ แล้วจะให้วัด
มีอะไรให้วัด ไม่มีอะไรให้วัดเลย
ต้องเป็นจิตที่ปกติ
1
พวกเราบางคนภาวนา จิตรวมลงไป
แล้วจิตถอนออกมา จิตค้างอารมณ์ของสมาธิออกมา
ค้างออกมาอย่างนี้ แล้วบอกว่าไม่เห็นกิเลสเลย
ไม่มีกิเลสหรอก จิตมันทรงสมาธิอยู่อย่างนั้น
กิเลสอะไรมันจะโผล่มาให้ดู
คิดว่าเป็นกุศลหรือ ไม่เป็น
กำลังติดสภาวะแล้วมองไม่เห็น อันนี้ตัวโมหะ
มองสภาวะที่กำลังมีกำลังเป็นไม่ออก คือตัวโมหะ
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะวัดจิตใจตนเอง
เราภาวนาไป แล้วเราจะวัดใจตัวเอง
ต้องวัดตอนที่จิตใจเป็นปกติ ไม่ได้จงใจปฏิบัติอยู่
ถ้าจงใจปฏิบัติ กำหนดไปเรื่อยแล้วไปวัด
จะไปวัดอะไร มันไม่มีอะไรให้วัด
มันก็นิ่งๆ ว่างๆ ไป ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
28 พฤศจิกายน 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
เยี่ยมชม
dhamma.com
วัดใจตัวเอง
อย่าเข้าข้างตัวเอง เวลาเราจะวัดกิเลสตัวเอง ต้องวัดในสภาวะที่จิตอยู่ในสภาวะปกติ ไปทรงสมาธิอยู่ แล้วจะให้วัด ไม่มีอะไรให้วัดเลย
…
เยี่ยมชม
youtube.com
[รีรัน] 28 พ.ย. 2564 ไลฟ์สดหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.comhttps://fb.com/dhammateachingshttps://instagram.com/dhammadotcomhttp:...
2 บันทึก
11
2
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
2
11
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย