28 เม.ย. 2022 เวลา 11:19 • ไลฟ์สไตล์
“เหนื่อยก็พัก มีแรงแล้วเดินต่อ”
“ … การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ
เราไม่ต้องรู้เยอะหรอก เรารู้แค่ว่า
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป ดูอยู่อย่างนี้
อย่างร่างกายเราหายใจออก อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับไป
ร่างกายหายใจเข้า อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับไป
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ
เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อยๆ ในร่างกายเรา
เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ในจิตใจเรา เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ไม่เห็นจะยากเลย ที่จะรู้ที่จะดูจิตใจเรา
เดี๋ยวก็เป็นกุศล
เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
คอยรู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในใจอย่างนี้ล่ะ
เดี๋ยวปัญญามันจะเกิด
อย่างเรารู้สึกในร่างกายอยู่เรื่อยๆ
เห็นร่างกายนี้หมดไป สิ้นไป ตายไปตลอดเวลา
หายใจออก หายใจเข้าแต่ละครั้ง
ชีวิตก็สั้นลงๆ ไปเรื่อยๆ เฝ้ารู้เฝ้าดู
ในที่สุดก็จะเข้าใจความจริงของร่างกาย
มันยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้หายใจออก หรือหายใจเข้า
ไม่ยากหรอก
มันรู้ไหมว่าตอนนี้ยืน หรือเดิน หรือนั่ง หรือนอน
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
มันยากไหมที่จะรู้สึกว่า ตอนนี้เจ็บแข้งเจ็บขา
ปวดหลังปวดคออะไรอย่างนี้
มีความทุกข์เกิดในกายตรงนั้นตรงนี้
เกิดอยู่ชั่วคราว แล้วมันก็หายไป
มันยากไหมที่จะรู้ ไม่ยาก
จิตใจเราขณะนี้ สุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ
ยากไหมที่จะรู้ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
หรือใจเราตอนนี้โกรธ หรือโลภ หรือหลง
หรือว่าเป็นกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง
อย่างโกรธแล้ว รู้ไหมว่าโกรธ
มันจะยากอะไร เวลาโกรธแล้ว รู้ว่าโกรธ
หลวงปู่ดูลย์ท่านถึงสอนบอกว่า
“การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ”
ผู้ไม่ปฏิบัติก็คือผู้ละเลย
ไม่สนใจที่จะเรียนรู้กายรู้ใจของตัวเอง
ถ้าเราสนใจที่จะเรียนรู้กายรู้ใจ
การรู้กายรู้ใจไม่ใช่เรื่องยากเลย
ขณะนี้หายใจออก หรือหายใจเข้า
มันยากไหมที่จะรู้
มันไม่ยอมรู้ต่างหาก
มันมัวแต่สนใจรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรข้างนอก
ไม่สนใจตัวเองว่ากำลังหายใจออก หรือหายใจเข้า
กำลังยืน หรือกำลังเดิน หรือกำลังนั่ง
หรือกำลังนอนอะไรนี่ ไม่รู้สึก เพราะว่าไม่สนใจ
ฉะนั้นหลวงปู่ท่านถึงบอกว่า
“การปฏิบัติไม่ยากหรอก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ”
โอ๊ย ดูกายดูใจ ทำไมมันยากเหลือเกิน ยากอะไร
หายใจออก ตอนนี้หายใจออก
หรือตอนนี้หายใจเข้า ยากไหมที่จะรู้
ไม่สนใจที่จะรู้มากกว่า
ตอนนี้ในร่างกายเรามันเจ็บมันปวดตรงไหนไหม
มันเมื่อยตรงไหนไหม มันคันตรงไหนไหม
รู้อย่างนั้นมันยากตรงไหน ไม่เห็นจะยากเลย
หรือตอนนี้สุข หรือตอนนี้ทุกข์
หรือตอนนี้เฉยๆ ในใจเรา ไม่เห็นจะยากเลย
ไม่สนใจจะดูมากกว่า
หรือตอนนี้โกรธ หรือตอนนี้โลภ ตอนนี้หลงไหม
หรือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง
ถ้าโกรธแล้วรู้ ก็ไม่เห็นจะรู้ยากอะไรเลย
แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมรู้
อย่างเวลาโกรธ ไม่ยอมรู้ว่าจิตกำลังโกรธ
แต่จะไปดูคนที่ทำให้เราโกรธ
มันสนใจของข้างนอก สนใจคนอื่น สนใจสิ่งอื่น
บางทีก็โมโห อากาศร้อนก็โกรธแล้ว
ไม่รู้จะโกรธใคร ก็ด่าดินฟ้าอากาศได้
ในขณะที่กำลังโมโหว่าอากาศร้อน
ย้อนมาดูนิดเดียวเท่านั้นว่าจิตกำลังโกรธอยู่
มันยากเสียที่ไหน
1
เวลาเราโลภ อยากได้โน้น อยากได้นี่
อยากได้กระเป๋าแบรนด์เนม อยากได้
ก็มัวแต่สนใจที่กระเป๋า ไม่สนใจว่าจิตกำลังอยาก
ถ้ารู้ทันว่าจิตกำลังอยาก
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจริงๆ ไม่ยากหรอก
ขอให้ใส่ใจที่จะเรียนรู้ตัวเองเท่านั้นเอง
รู้กายก็ไม่ใช่เรื่องยาก รู้เวทนาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
รู้สังขารทั้งหลายคือความปรุงดีชั่วทั้งหลาย
ก็ไม่เห็นจะยาก
ส่วนรู้ทันจิต ค่อนข้างยากนิดหนึ่ง
คือจิตเกิดที่ตาแล้วดับ เกิดที่หูแล้วดับ
เกิดที่ใจแล้วดับอะไรอย่างนี้
อันนี้ดูลำบากนิดหนึ่ง มันละเอียด
ดูไม่ได้ก็ยังไม่ต้องดู ดูของที่ดูได้
อย่างดูจิตมันสุข จิตมันทุกข์ จิตมันดี จิตมันชั่ว
อย่างนี้ก็ถือว่าเราดูจิตแล้ว
จะเห็นจิตสุขเกิดแล้วดับ จิตทุกข์เกิดแล้วดับ
จิตดีเกิดแล้วดับ จิตชั่วเกิดแล้วดับ
สุดท้ายปัญญามันก็ปิ๊งขึ้นมา จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ
นั่นล่ะ ตรงนั้นล่ะ เข้าใจธรรมะขึ้นมาเยอะเลย
หรือดูลงในร่างกาย ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ทุกข์
เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น เดี๋ยวปวดตรงนี้ เดี๋ยวหิว
เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวปวดอึ ปวดฉี่อะไรอย่างนี้
รู้สึกอยู่ในร่างกายไปเรื่อยๆ
เห็น มีแต่ทุกข์ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
หายใจออกก็ทุกข์ หายใจเข้าก็ทุกข์
ดูไปเรื่อยๆ ไม่เห็นยากตรงไหน
เพราะฉะนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน ตรงเป๊ะเลย
การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ
ตั้งใจเสียใหม่ แทนที่จะสนใจแต่คนอื่น สนใจแต่สิ่งอื่น
หันมาสนใจร่างกาย จิตใจของตัวเองบ้าง
สะสมความรู้ถูก ความเข้าใจถูกในร่างกาย ในจิตใจของตัวเองให้มากๆ ชาตินี้ยังไม่ได้มรรคผล ชาติหน้าก็จะได้ง่ายๆ
ถ้าบุญบารมีพอ สะสมมามากพอ
ศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์
การจะได้มรรคผลในชีวิตนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
พระโสดาบันไม่ได้รู้อะไรเยอะเลย
ท่านรู้แค่ว่าสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
รู้อยู่เท่านี้ล่ะ
ฉะนั้นเราดูของจริงสิ จริงไหม สิ่งที่เกิดล้วนแต่ดับ
อย่างร่างกายเราหายใจออก เกิดแล้วก็ดับจริงไหม
ร่างกายหายใจเข้า เกิดแล้วก็ดับจริงไหม
ร่างกายยืน เกิดแล้วก็ดับจริงไหม
ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน มันก็เห็นง่ายๆ ไม่ใช่ยาก
ความสุข ความทุกข์ เกิดขึ้นในร่างกายแล้วดับจริงไหม
ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ เกิดขึ้นในจิตใจแล้วดับจริงไหม
ดูของจริงไปเรื่อยๆ
จิตใจเราเดี๋ยวก็เป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศล
โลภก็โลภชั่วคราว โกรธก็โกรธชั่วคราว
หลงก็หลงชั่วคราวจริงไหม ดูไป ไม่ใช่เรื่องยาก
ในที่สุดปัญญามันก็จะเกิด มันก็จะรู้เลย
ทุกสิ่งมันของชั่วคราว
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น
สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา
รู้ตรงนี้เป็นพระโสดาบันได้ ไม่ยากหรอก
มันยากที่ไม่ยอมรู้
วันนี้หลวงพ่อเทศน์ย่อๆ แค่นี้พอแล้ว
แต่ว่าเอาไปทำกันได้หลายปีเลย
รู้สึกกายรู้สึกใจนี่ล่ะ
แล้วจะต้องไปต่อสู้กับความขี้เกียจ กับความไม่ใส่ใจ
มัวแต่สนใจรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอก
สนใจเรื่องราวสนุกสนาน
ไม่สนใจร่างกายจิตใจของตัวเอง
พยายามรู้สึกๆ ดูไปทุกวันๆๆ
เดี๋ยววันหนึ่งมันก็ปิ๊งขึ้นมาเองล่ะ
สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนถาวรหรอก
ถ้าได้ตรงนี้แล้วสำคัญ
ถ้าได้โสดาบัน
ที่เหลือเป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มันมาเอง
ขอให้ได้โสดาบันเถอะ
แล้วถึงจุดหนึ่ง ผู้ที่ได้โสดาบันทุกคนจะต้องบรรลุพระอรหันต์ วันใดวันหนึ่ง ช้าเร็วแตกต่างกัน
ฉะนั้นเอาจุดแรกนี้ให้ได้ ให้ขึ้นต้นทางให้ได้
จะไปเชียงใหม่ก็รู้ว่าต้นทางที่จะไปถนนสายไหน
พอรู้ทางไป แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่ย่อท้อ
เหนื่อยก็พัก มีแรงแล้วเดินต่อ
เหนื่อยก็พัก คืออะไร
ถ้าเทียบกับการปฏิบัติ เหนื่อยก็พักคือการทำสมถะ
มีเรี่ยวมีแรงแล้วเดินต่อ คืออะไร
คือการเจริญวิปัสสนา
ค่อยๆ ทำไป ไม่ยาก ยากที่ไม่ทำเท่านั้นล่ะ. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 เมษายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา