Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
2 พ.ค. 2022 เวลา 04:08 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้าภาวนาเป็นแล้ว อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับกายกับใจ
ใช้เดินปัญญาได้ทั้งนั้นล่ะ
ภาวนาไม่เป็น มันก็ได้แต่เพ่งๆ เอา เครียดๆ เอา
ไม่ได้เดินปัญญาจริง”
“ … น้ำหนักในใจคือดัชนีชี้วัด
เวลาเรารู้สึกตัวอย่าไปจงใจมาก
จงใจรู้สึกมันจะอึดอัด มันไม่ใช่ของจริงหรอก
ทำกรรมฐานไปเสียอย่างหนึ่ง
อย่างรู้สึกร่างกาย เห็นร่างกายหายใจ
เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก รู้สึกไป
ฝึกสักช่วงหนึ่งไม่นาน
มันจะเห็นว่าร่างกายก็ส่วนหนึ่ง
จิตที่เป็นคนรู้ร่างกายก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มันแยก
ตรงที่มันแยกขันธ์ได้นั้น
เป็นจุดตั้งต้นของการเจริญปัญญา
อย่างเรารู้สึกร่างกายนี้ ร่างกายมันนั่ง
เหลียวซ้ายแลขวา พยักหน้า รู้สึก
ทีแรกที่เรารู้สึกร่างกาย มันมีสติ
ร่างกายเคลื่อนไหวแล้วรู้สึกๆ ได้สติขึ้นมา
พอเรามีสติสมาธิมันก็มี จิตมันจะตั้งมั่น
มันจะเห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตใจอยู่ส่วนหนึ่ง
เมื่อจิตตั้งมั่นได้แล้วมันเจริญปัญญาได้
จะเห็นอย่างเราเคลื่อนไหวร่างกาย
จะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เป็นของถูกรู้ถูกดู
ง่ายๆ ง่าย ถ้าดูจิตได้ก็ดูจิตไป
ดูจิตไม่ได้รู้สึกร่างกาย
จิตมันหนีเที่ยวเก่ง แต่ร่างกายมันไม่ไปไหน
มันก็อยู่ตรงนี้ล่ะ
ฉะนั้นถ้าสมาธิเราไม่ดีพอ
เราไปดูจิตมันจะหลงไปเลย หลงยาว
อย่างเรารู้สึก
นั่งอยู่รู้สึก ยืนอยู่รู้สึก เดินอยู่รู้สึก นอนอยู่รู้สึก
หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
จิตใจมันจะค่อยๆ ตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา
สมาธิมี พอร่างกายเคลื่อนไหว
ไม่ได้เจตนารู้มันรู้เอง
ตรงนั้นเราเรียกว่าเราได้สติแล้ว
แล้วจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู
เรียกว่าเราได้สมาธิ
เมื่อเรามีสติกับมีสมาธิ การเจริญปัญญามันจะเกิดขึ้น
เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่
พอร่างกายเคลื่อนไหว สติระลึกรู้ ปัญญามันจะเกิด
มันจะเห็นร่างกายมันเป็นของถูกรู้ถูกดู
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นว่า
ทุกคนจะต้องมาดูจิตอย่างหลวงพ่อ
หลวงพ่อฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็กแล้ว 7 ขวบก็ฝึกแล้ว
ฉะนั้นจิตมันมีกำลัง
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นการทำงานของจิต
ที่จริงการดูจิตมันก็มี 2 ขั้น
ขั้นง่ายกับขั้นยาก
อย่างพวกเรากำลังสมาธิสติเราไม่พอ
ถ้าจะดูจิตก็ดูขั้นง่ายๆ
จิตตอนนี้สุข จิตตอนนี้ทุกข์ หรือจิตตอนนี้เฉยๆ
ต่อไปมันก็จะเห็นสุข ทุกข์ เฉยๆ เป็นของถูกรู้ถูกดู
จิตเป็นคนรู้คนดู
สิ่งที่ถูกรู้ถูกดูก็ไม่ใช่เรา
จิตที่เป็นคนดูฝึกไปเรื่อยๆ มันจะเห็นมันก็ไม่ใช่เราเหมือนกัน สั่งอะไรมันไม่ได้
หรือถ้าดูจิตอย่างง่ายๆ
จิตโกรธก็รู้ จิตไม่โกรธก็รู้
จิตโลภก็รู้ จิตไม่โลภก็รู้
จิตหลงก็รู้ จิตไม่หลงก็รู้
นี้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้กำลังอะไรมาก
กรรมฐานมีให้เราเลือกตั้งเยอะตั้งแยะ
ขอให้ทำให้จริงเท่านั้นล่ะ
จะรู้สึกกายก็รู้สึกให้จริง
แต่ไม่ใช่แบบรู้สึกแบบเคร่งเครียด
รู้สึกจริงๆ ก็คือรู้สึกบ่อยๆ
ไม่ใช่หลงยาวเป็นวันๆ แล้วนานๆ มารู้สึกทีหนึ่ง
ไม่ได้เรื่อง
ฉะนั้นจิตต้องมีเครื่องอยู่
อยู่กับกายก็ได้ อยู่กับจิตก็ได้
อยู่กับกายแล้วก็เห็น
กายหายใจออก กายหายใจเข้า
กายยืน เดิน นั่ง นอน
กายเคลื่อนไหว กายหยุดนิ่ง
ร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู
ธรรมชาติที่ไปรู้ร่างกายก็คือจิตนั่นเอง
จิตคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์
อารมณ์แปลว่าสิ่งที่ถูกรู้
จิตก็คือตัวธรรมชาติที่เป็นผู้รู้อารมณ์
แยกตัวนี้ได้ก็เป็นปัญญาขั้นต้น
แล้วก็ค่อยฝึกไปเรื่อย ก็จะเห็นไตรลักษณ์
ก็ขึ้นวิปัสสนาปัญญาได้
ถ้าไม่ได้เห็นไตรลักษณ์
แค่เห็นว่ากายมันก็อันหนึ่ง เป็นของถูกรู้
จิตเป็นคนรู้อยู่
ตรงนี้ยังไม่ได้เห็นไตรลักษณ์ ก็ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
เป็นปัญญาเบื้องต้น
ฉะนั้นเรารู้สึกอยู่ในร่างกายนี่ล่ะ
หายใจออก หายใจเข้า
ยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง
เห็นมันเป็นของถูกรู้ถูกดูไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องหาว่าตัวที่รู้อยู่ที่ไหน
อย่าพยายามหาว่าตัวรู้อยู่ที่ไหน
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนบอกว่า
“ใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปหนึ่งก็ไม่เจอ”
ฉะนั้นเราจะไปหาตัวรู้ไม่ได้หรอก ไม่ต้องตกใจ
น้ำหนักของการรู้
ขั้นแรกๆ รู้สึกไป ดูจิตไม่ได้ดูกายไป
เห็นร่างกายมันเป็นของถูกรู้ ร่างกายมันถูกรู้
รู้ทีแรกมันยังมีน้ำหนักของการรู้อยู่
มันรู้สึกนี่ร่างกายเรา นี่มือ นี่แขน นี่ตัวเรา
มันจะมีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ
น้ำหนักนี้เกิดจากการความสำคัญมั่นหมายผิดๆ
แต่พอเรารู้เรื่อยๆ ต่อไปร่างกายเราขยับ
มันรู้แล้วไม่มีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ
เราจะรู้ถูกหรือรู้ไม่ถูก สังเกตตัวเองง่ายๆ เลย
ถ้ารู้แล้วมีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ แสดงว่ายังรู้ไม่ถูก
ยังจงใจรู้อยู่
แต่ถ้ารู้แล้วไม่เกิดน้ำหนักขึ้น สักว่ารู้ว่าเห็นจริงๆ
มันจะเห็นมันไม่มีเราตรงไหนเลย
ใจเป็นปกติ
ลองทดสอบหน่อยสิ ลองขยับมือ
ทุกคนลองขยับมือดู แล้วรู้สึกเห็นมือมันเคลื่อนไหว
รู้สึกไป แล้วสังเกตนะถ้าจิตมันมีน้ำหนัก มันแน่นขึ้นมา
แสดงว่าจงใจ ทำผิดแล้ว จงใจรู้สึก
ถ้ามันขยับแล้วใจเราก็ปกติ ไม่มีน้ำหนักขึ้นมา
แสดงว่าเรารู้เก่งแล้ว รู้ใช้ได้แล้ว
สักว่ารู้ว่าเห็นแล้ว ไม่เข้าไปแทรกแซง
เอ้า ขยับแล้วหลงไปเลย ไม่ได้เรื่องเลย
ขยับแล้วรู้สึกๆ ไม่ใช่ขยับแล้วจิตหนีเตลิดเปิดเปิง
มันใช้ไม่ได้หรอก
รู้สึกไหมพอเราขยับๆ บางคนแน่นขึ้นมาแล้ว
แน่นขึ้นมาแสดงว่ามันจงใจทำ
มันไม่ได้สักว่ารู้ว่าเห็นไป
ถ้ารู้ไปตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้จงใจอะไร
ไม่มีน้ำหนัก
ร่างกายแต่ละคน รู้สึกร่างกายก็หนัก 10 กิโลกรัม 20 กิโลกรัม 30 – 40 – 50 – 80 – 90 – 100 กิโลกรัมอะไรอย่างนี้ ร่างกายมีน้ำหนัก
แต่เราเจริญสติอยู่น้ำหนักนั้นไม่เข้ามาที่ใจเรา
มันว่างเปล่าไม่มีน้ำหนัก
มีน้ำหนักขึ้นมาได้เพราะความยึดถือ เพราะความโลภ
ฉะนั้นหัดรู้สึกร่างกายไป
รู้สึกไปตามธรรมดาๆ รู้สึกสบายๆ
แต่ถ้าแกล้งรู้สึกเมื่อไรใจจะหนัก
ถ้าไม่ได้แกล้ง ใจไม่มีน้ำหนักขึ้นมา
ใจโปร่ง โล่ง เบา ใจที่เบา
ใจที่โปร่ง อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว
ควรแก่การงาน ซื่อตรงในการรู้อารมณ์
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ใจดวงนั้นเป็นใจที่เป็นกุศลจริงๆ
แล้วถ้าเป็นกุศลชนิดที่เห็นกายมันทำงาน
เห็นใจมันทำงาน
มันเป็นจิตชนิดที่เป็นกุศลประกอบด้วยปัญญา
แต่ถ้ารู้สึกอยู่เฉยๆ จิตเป็นกุศลไม่หลงไปไหน
เบาสบาย แต่ไม่ได้มีปัญญา
ไม่ได้แยกรูปแยกนาม รู้สึกแล้วมันแยกไม่ออก
มันไม่ยากหรอก อดทน ค่อยๆ เรียน
ค่อยๆ สังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ
อย่าว่าแต่ใจ อย่าว่าแต่ร่างกายเราเลย
เราภาวนาเป็น ใจเรารู้สึกถึงร่างกาย
สติระลึกร่างกาย ไม่มีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ
ตาเห็นโลกข้างนอก เห็นภูเขา
อยู่สวนโพธิ์ฯ หลวงพ่อเห็นภูเขา จากสวนโพธิ์ฯ จากที่เมือง กาญจน์ฯ วัดที่ไปอยู่ นอกวัดมันมีภูเขาอยู่ 3 ลูกเรียงกัน สวยมากเลย มันเป็นมุมที่ดูแล้วสวย
ถ้ามองจากมุมอื่นไม่สวย
มองจากมุมที่สวนโพธิ์ฯ แล้วสวย
3 ลูกนี้เท่าๆ กัน เรียงเป็นแถวเลยเว้นระยะห่างเท่าๆ กัน สวยมาก ดูออกไปภูเขาตั้ง 3 ลูกไม่มีน้ำหนัก น้ำหนักมันเกิดขึ้นที่ใจเรานี่เอง
ใจเราเที่ยวยึดเที่ยวถือ ใจเราก็มีน้ำหนักขึ้นมา
อย่าว่าแต่ร่างกายตัวเองเลย
แค่ ภูเขาใหญ่ๆ ตั้งหลายลูกยังไม่มีน้ำหนักเลย
ฉะนั้นถ้าเราภาวนาแล้วใจเราหนักๆ
แสดงว่าเราจงใจมากไป เราโลภ เราฟุ้งซ่านมากไป
เราบังคับตัวเองมากไป ใจมันจะหนักๆ ขึ้นมา
ดูออกไหมแต่ละคน หนักไม่หนัก
หนักเป็นแถวเลยเห็นไหม ยังรู้ไม่เป็นธรรมดา
รู้ธรรมดาๆ นี่ล่ะไม่มีน้ำหนักหรอก วัดกันที่ใจตัวเอง
ไม่ต้องวัดที่ไหน ไม่ต้องถามใครเลย
บางทีดูนามธรรมก็มีน้ำหนักขึ้นมา
ไม่เฉพาะดูรูปธรรมหรอก
อย่างบางคนพยายามจะดูจิต
ตรงที่พยายามดูจิต จิตก็มีน้ำหนักขึ้นมาแล้ว
พยายามจะดูจิตมันก็หนักขึ้นมาได้
เห็นถูก ใจจะไม่มีน้ำหนัก
ฉะนั้นเวลาเรารู้สภาวะ จะไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม
รู้ด้วยใจธรรมดา
แต่ถ้าใจเราผิดธรรมดาเมื่อไรแสดงว่าผิดแล้ว
ตรงไหนที่มันผิดธรรมดาใจมันจะเกิดน้ำหนักขึ้น
แต่ถ้าเรารู้ตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้เจตนา
ไม่ได้จงใจ ไม่ได้อยาก
ไม่ว่ารู้อะไรจะไม่เกิดน้ำหนักขึ้นในใจ ยากไปไหม
ลองรู้สึก รู้สึกร่างกายไป
แล้วถ้าใจเราหนักขึ้นมา ผิดแล้ว
ไปค่อยๆ ดูเอา
จงใจมากไป จงใจเยอะไปมันก็จะแน่นๆ ขึ้นมา
แต่ถ้าเรารู้เป็น ไม่มีน้ำหนัก
รู้อะไรก็ไม่มีน้ำหนัก
เห็นภูเขาตั้งหลายลูก ยังไม่มีน้ำหนักขึ้นในใจเลย
หรือเห็นความรู้สึก อย่างเราจะดูจิต
จงใจดูจิตมันจะหนัก จะหนักทันทีเลย
จงใจปุ๊บจะแน่นๆ หนักๆ อย่าไปจงใจ
วิธีดูจิตก็คือความรู้สึกเกิดก่อน
มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นก็รู้มันไป
ก็จะเห็นความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ถ้าเห็นถูก ใจไม่มีน้ำหนัก
นอกจากไม่มีน้ำหนัก บางทีใจเกิดปีติขึ้นมาได้
อย่างเราเห็นร่างกายเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้
ใจไม่มีน้ำหนัก ก็ไม่จงใจขึ้นมา
หรือเราเห็นจิตมันเคลื่อนไหวไป
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว
จิตไม่มีน้ำหนักเพราะไม่ได้เจตนารู้ ทรงตัวอยู่อย่างนั้น
บางทีความสุขผุดขึ้นมาเองเลย
ฉะนั้นอย่างที่พวกเราภาวนาแล้วบอกไม่ได้ทำอะไร
ทำไมมีความสุขผุดขึ้นมาได้ มันมีความสุขผุดมาได้
เพราะมันไม่ได้ทำ
ถ้าทำมันก็ไม่ผุดขึ้นมาหรอก มันจะแน่นๆ
มันจะสุขตรงไหน
รู้สึกไหมตรงนี้ก็ทำอยู่ รู้สึกเอา
พอทำเป็นจะรู้สึกมันไม่ยาก ไม่ได้ทำอะไรแค่รู้สึก
ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งรู้สึก
มีความสุข มีความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกายรู้สึก
มีความสุข มีความทุกข์ มีความเฉยๆ
เกิดขึ้นในจิตใจก็แค่รู้สึก
ถ้าเกินจากรู้สึกเมื่อไรจะแน่นเมื่อนั้น
ตรงที่มันแน่นๆ มันเป็นทุกข์
ใจมันมีความทุกข์ขึ้นมา
อะไรทำให้มันทุกข์
ตัณหา เป็นเหตุให้เกิดตัวทุกข์ทางใจ
ฉะนั้นถ้าเราภาวนาแล้ว โอ๊ย ใจเราอึดอัด
แสดงว่าเราภาวนาด้วยตัณหา
เราอยากโน่น อยากนี่ อยากรู้ อยากเห็น
อยากเป็น อยากได้ อยากดี อยากสุข อยากสงบ
อยากได้มรรคผลนิพพาน
ใจอย่างนั้นใจจะแน่นขึ้นมา
มีตัณหาก็มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจ
ค่อยรู้สึกไปไม่ต้องรีบร้อนหรอก รู้สึกทุกวันๆๆ ไป
ร่างกายนั่งอยู่รู้สึก ร่างกายหายใจรู้สึก รู้สึกสบายๆ
ถ้ารู้สึกแล้วแน่นๆ แสดงว่ามีตัณหาแทรก
มีอยากแทรก
ไม่ยากนะ วันนี้เทศน์ง่ายๆ รู้สึกง่ายไหมหรือยากอีก
ไม่ยากนะ ถ้าแค่นี้ยากไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
ทำสมถะไป ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ทำแต่สมถะ
พุทโธๆๆ ไป ทำสมถะก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่ถ้าจิตเรามีกำลังพอ
รู้สึกเลยร่างกายมันของถูกรู้
ร่างกายมันหายใจ ใจเราเป็นคนรู้
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ใจมันเป็นคนรู้
ถ้าใจมันเป็นคนรู้ ใจจะไม่มีน้ำหนัก
แต่ถ้ามีความอยากสักนิดหนึ่งเกิดขึ้น
ก็มีน้ำหนักขึ้นมาทันทีเลย
มีทุกข์เกิดขึ้นในใจ
หรือดูนามธรรม สุข ทุกข์ กุศล อกุศล โลภ โกรธ หลง
บางคนยังไม่ได้ภาวนาใจสบายเป็นธรรมดา
พอจะดูจิตเริ่มจ้องแล้ว เครียดแล้ว จะดูตรงไหนดี
ไม่เห็นว่าใจกำลังโลภ ใจกำลังฟุ้งซ่าน
สภาวะเกิดแล้วไม่เห็น ใจก็เครียดขึ้นมา
หรือบางคนเห็นโทสะ โทสะเกิดขึ้นใจไม่ชอบ
ไม่เห็นว่าใจไม่ชอบ มีน้ำหนักเกิดขึ้น ใจเครียด
ฉะนั้นน้ำหนักที่เกิดขึ้นในใจ
เป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าเรารู้เป็นธรรมชาติไหม
หรือรู้แบบมีตัณหาแทรกเข้ามา
ถ้ารู้อย่างเป็นธรรมชาติ จะไม่มีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจ
ลองไปดู น้ำหนักที่เกิดขึ้นในใจเรานี้ก็ไม่คงที่
เดี๋ยวหนักมาก เดี๋ยวหนักน้อย
เวลาจิตเราชั่วๆ ก็หนักมาก
เวลาจิตเราเป็นกุศลก็หนักน้อยหน่อย
เวลาเราอยากดีลงมือปฏิบัติ
บังคับกายบังคับใจก็หนักเยอะหน่อย
ถ้าเห็นกายเห็นใจมันทำงาน
แต่มีความจงใจจะไปเห็น ก็หนักน้อยหน่อย
มีแต่หนักมากกับหนักน้อยในใจ
ตรงนี้จริงๆ ก็แสดงธรรมะ
จิตนี้เดี๋ยวก็หนักมาก เดี๋ยวก็หนักน้อย
สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้
ดูอย่างนี้ก็เดินปัญญาได้
คือถ้าภาวนาเป็นแล้วอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับกายกับใจ
ใช้เดินปัญญาได้ทั้งนั้นล่ะ
ภาวนาไม่เป็นมันก็ได้แต่เพ่งๆ เอา เครียดๆ เอา
ไม่ได้เดินปัญญาจริง
เอ้า ทุกคนลองยิ้มหวานสิ
ยิ้มหวานเหมือนมีคนมาบอกรักเรา
รู้สึกไหมร่างกายมันยิ้ม มันยิ้ม รู้สึก
ตอนที่รู้สึกทีแรกว่ามันยิ้ม ไม่มีน้ำหนัก รู้สึกไหม
แต่ตอนนี้ลองยิ้มใหม่
รู้สึกไหมรอยยิ้มของเราแห้งแล้งมากเลย
ใจเริ่มหนักๆ แล้ว มันจงใจ
ฉะนั้นถ้ากายเราเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ
ไม่ได้เจตนาบังคับมัน มีสติรู้ไปไม่มีน้ำหนักหรอก
เพราะไม่มีตัณหา
แค่เราจะยิ้ม ถ้าเราไม่ได้เจตนาจะยิ้ม แค่ยิ้ม
มีความสุขแล้วยิ้มขึ้นมา
อย่าว่าแต่หน้าเรายิ้มเลย ใจเรายังยิ้มด้วยเลย
ใจเราจะมีความสุขขึ้นมา
ลองยิ้มสบายใจสิ ยิ้ม
เริ่มทำไม่ได้แล้วรู้สึกไหม ยิ้มอนาถา
ยิ้มแล้วก็เครียดๆ
ยิ้มหวานๆ เห็นไหมตอนนี้ใจคลายออกได้แล้ว
เห็นไหมหลวงพ่อทำตลกให้ดูนิดหนึ่ง ใจก็คลายแล้ว
เพราะว่าไม่ได้จงใจที่จะดูของตัวเอง
ฉะนั้นที่มันแน่นๆ ขึ้นมาเพราะจงใจเยอะไป
เพราะโลภ เพราะตัณหา
ถ้าเราเห็นร่างกายมันทำงานไป ด้วยใจที่ธรรมดา
ใจไม่แน่น ใจไม่หนัก
อย่างบางคนตอนที่เริ่มฟังหลวงพ่อ
กับตอนนี้ใจก็ไม่เหมือนกันแล้ว รู้สึกไหม
ใจมันก็เปลี่ยน ไม่เหมือนกัน
ตอนเริ่มฟังทีแรกมันตื่นเต้นใช่ไหม เกร็งๆ เครียดๆ
ฟังไปๆ หลวงพ่อพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้
ฟังแล้วใจมันคลายออก ไม่ได้เจตนาให้คลาย
เอ้า ลองเจตนาให้จิตมันผ่อนคลายสิ
แน่นเลยรู้สึกไหม ไม่คลายหรอก
พอแล้วเดี๋ยวหลวงพ่ออ้วก
ของง่ายๆ รู้สึกกายอย่างที่กายเป็น
ไม่ใช่รู้สึกกายอย่างที่อยากจะรู้
รู้สึกใจอย่างที่ใจเป็น
ไม่ใช่รู้สึกใจอย่างที่อยากจะให้เป็น
มันเป็นอย่างไรรู้อย่างนั้น
แล้วปัญญามันก็จะค่อยๆ สะสม …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
23 เมษายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.dhamma.com/indicator/
เยี่ยมชม
dhamma.com
น้ำหนักในใจคือดัชนีชี้วัด
น้ำหนักที่เกิดขึ้นในใจเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าเรารู้เป็นธรรมชาติไหม หรือรู้แบบมีตัณหาแทรกเข้ามา ถ้ารู้อย่างเป็นธรรมชาติจะไม่มีน้ำหนัก
Photo by : Unsplash
2 บันทึก
6
4
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อ่านธรรม : อ่านใจ
2
6
4
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย