10 มิ.ย. 2022 เวลา 05:31 • ไลฟ์สไตล์
“มีความหลุดพ้น แต่ไม่มีผู้หลุดพ้น”
ปริยัติจริงๆ มีประโยชน์
แต่ถ้างมงายเกาะคัมภีร์ไว้ ไม่ไหว
มันไม่ละกิเลส
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
“ … สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา
ค่อยๆ ภาวนา ต้องแยกรูปแยกนามไป รูปจะแยกจำนวนเท่าไรก็แล้วแต่จะแยกได้
แต่รูปทุกชนิดอย่างไรก็ไม่เที่ยง
รูปทุกชนิดอย่างไรก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
รูปทุกชนิดอย่างไรก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
นามธรรมทั้งหลายก็มีสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ในทางรูปธรรมวิทยาศาสตร์ก้าวล้ำไปแล้ว แต่ในนามธรรมวิทยาศาสตร์ยังไม่ทัน เพราะนักวิทยาศาสตร์ยังมีคิดว่า จิตกับสมองมันน่าจะอันเดียวกัน ก็เลยไปศึกษาแต่เรื่องสมอง ไม่เข้าใจจิต
เขาไม่รู้จักวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิดอะไรนี้ วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง วันหนึ่งอาจจะถึง ถ้าถึงแล้วต้องมากราบพระพุทธเจ้าเลย มารู้ตามหลังท่านนานเหลือเกิน กว่าจะรู้ได้
ทำอย่างไรจะทันได้ ก็ธรรมะคือความจริง ใครมีคุณภาพพอมันก็เข้าถึงความจริงอันเดียวกัน จะพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็เหมือนกัน
ฉะนั้นพวกเราขัดเกลาจิตใจของเรา สำคัญ ถ้าจิตใจของเราชอบทำชั่วให้รู้ทัน มีสติรู้ไป จิตมีอกุศลแล้วรู้ไป มันจะได้ไม่ไปทำชั่วทางกาย ทางวาจา
ส่วนความชั่วทางใจห้ามไม่ทัน มันชั่วขึ้นมาแล้วสติถึงจะรู้ ฝึกเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง มันไม่มีโอกาสที่จะปรุงความชั่วหยาบๆ ขึ้นมา
ฝึกจิตใจของเราให้ดี จะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะชั่ว ก็เพราะจิตนี้ล่ะ
หลวงพ่อเคยเจอคนแก่คนหนึ่งตลอดชีวิตเป็นคนดี พอสมองเสื่อมลงไป สมองส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมอะไรไว้ที่ดีๆ ความรับผิดชอบสำนึกชั่วดี มันเสีย ร่างกายมันก็ทำงานไปแบบไม่ค่อยดี อันนี้จิตกับกายมันรวมกันอยู่ แยกไม่ออก
ถ้าแยกออก จิตไม่เสียหายอะไร ร่างกายมันเสียหายไป คนละส่วนกัน
ค่อยเรียน ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ สังเกต แยกธาตุแยกขันธ์ไปเป็นลำดับๆ แยกเท่าที่แยกได้
พอแยกได้แล้วก็ดู ทุกสิ่งที่แยกออกมา everything ที่เราแยกออกมาได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สุดท้ายจะเห็นตัวเราไม่มี สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่มีความปรุงแต่ง สร้างมันขึ้นมาชั่วคราวแล้วมันก็แตกสลายไป
1
พระพุทธเจ้าถึงสอน “สัพเพ สังขารา อนิจจา” สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ไม่เที่ยง
1
“สัพเพ สังขารา ทุกขา” สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทนอยู่ไม่ได้ ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือสิ่งที่เป็นสังขารกับสิ่งที่เกินสังขารออกไป ส่วนที่เป็นวิสังขารเป็นอนัตตา ธรรมที่เกินสังขารก็ตัวนิพพานนั่นล่ะ นิพพานเที่ยง นิพพานไม่ทุกข์หรอก
1
พระพุทธเจ้าบอก “นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” ความบรมสุข แต่นิพพานไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้ครอบครอง จิตที่ฝึกดีแล้วก็จะไปเห็นพระนิพพาน ไปประจักษ์ ไปแจ่มแจ้งพระนิพพาน แต่ไม่ได้ครอบครองพระนิพพาน
ถ้าคิดจะครอบครองพระนิพพาน ยังไม่ถึงหรอก ธรรมะนั้นยังไม่ถึงจริง
จริงๆ แล้วพระพุทธศาสนาไม่กลัววิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เก่ง รู้อะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย อย่างตอนนี้เริ่มศึกษาในจักรวาล เรียนรู้ออกไปได้เยอะแยะ เห็นการเกิดของจักรวาล มี big bang ขึ้นมา
จักรวาลขยายตัวไปช่วงหนึ่ง หมดกำลังที่จะขยายตัว เริ่มดึงดูดกลับเข้าไป ลงไปในหลุมดำอยู่กลาง center ของจักรวาล ดูดทุกอย่างเข้าไป
แล้วหลุมดำพอมันดูดสสารเข้าไปเยอะๆ มันก็ทนอยู่ไม่ได้ สุดท้ายมันก็แตกสลายอีก ตอนนี้ก็เริ่มจับได้แล้วว่า มันเริ่มปล่อยพลังงานอะไรออกมามหาศาลเลย สูญเสียพลังออกมาแล้ว
เรียนกันตั้งนานมาเห็นถึงตรงนี้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “สัพเพ สังขารา อนิจจา” คลุมหลุมดำไหมสังขาร คลุมนะ
ปรากฏการณ์ทั้งหลาย เราชาวพุทธเราไม่ได้ไปต่อต้านวิทยาศาสตร์หรอก เราเรียน ฟัง ดูเขาศึกษาแล้วก็เข้าใจ
แต่พวกที่เรียนส่วนใหญ่ก็เรียนหวังจะไปครอบครอง อยากได้ทรัพยากร โลกนี้จะหมดแล้ว อยากหาโลกใหม่ไว้อยู่ เพราะมันมีตัวตนอยู่ ก็ดิ้นรนไปทุกข์ไปไม่รู้จักจบจักสิ้น
รู้ว่าชีวิตมนุษย์อยู่ไม่นาน ถ้าต้องย้ายโลกนี้ มันคงตายก่อนที่จะไปถึง คิดวิธีฟรีซเอาไว้ใส่แคปซูล วิ่งไป ไปถึงปลายทางแล้วค่อยตื่นขึ้นมา คิดมากมาย
ทำไมต้องคิดมากมายอย่างนั้น
เพราะมันรักในอัตตาตัวตนเท่านั้นล่ะ
ไม่มีอะไรหรอก เท่านั้นเอง
พวกเราชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนประณีตลึกซึ้ง ล้างอัตตาตัวตนไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่รูปธรรมกับนามธรรม
ฉะนั้นเวลาพระอรหันต์ท่านนิพพาน ท่านไม่คิดหรอกว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน นิพพานแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้ายังคิดอยู่ไม่ใช่หรอก ท่านไม่ต้องคิดอย่างนั้นหรอก
ท่านก็เห็นขันธ์ทั้ง 5 เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จบตรงนั้นเองไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว ถ้าพูดต่อได้ก็คือความปรุงแต่งชนิดใหม่แล้ว
เทศน์ยากไปไหม หลวงพ่อไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์หรอก เรียนรัฐศาสตร์ ไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้ อาศัยภาวนาเอาก็ค่อยเข้าใจ ศึกษาข้อมูลข่าวสารอะไรพวกนี้ เข้าใจ
ทำไมคนดิ้นรนอยากไปอยู่โลกอื่น มันกูทั้งนั้นล่ะ
แผนที่ไปพระนิพพาน
ภาวนานะ วันหนึ่งใจเราพ้นจากความดิ้นรน เรียกว่าเราเข้าถึงวิสังขาร
จิตมันหมดความดิ้นรนปรุงแต่ง จิตมันหมดความอยาก เรียกว่า วิราคะ
จิตมันไม่ยึดถือในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเรียกว่า วิมุตติ หลุดพ้นไป มีความหลุดพ้นแต่ไม่มีผู้หลุดพ้นหรอก
ชอบถามกันว่า “ยุคนี้มีพระอรหันต์ไหม” ไม่มีผู้หลุดพ้นหรอก มีความหลุดพ้นแต่มันไม่มีผู้หลุดพ้น
พระอรหันต์ท่านไม่มาสำคัญมั่นหมายว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรอก ถ้าสำคัญมั่นหมายอยู่ก็ไม่ใช่
ค่อยๆ ภาวนาไป หลวงพ่อพูดให้ฟังเหมือนให้แผนที่พวกเราเท่านั้น เราก็ต้องเดินทางด้วยตัวเอง อย่านึกว่าฟังที่หลวงพ่อเทศน์แล้วจะได้ธรรมะ ไม่ได้หรอกต้องปฏิบัติเอา
เจริญสติไป ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก ให้จิตสงบจะได้มีกำลัง แล้วก็ให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้เห็นปรากฏการณ์ของรูปธรรมนามธรรม
แล้วพอเรามีจิตที่ตั้งมั่นเราก็เจริญปัญญาไป
เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของรูปธรรม ของนามธรรมทั้งหลาย
สุดท้ายมันจะรู้ว่าตัวเราไม่มีหรอก
ให้แผนที่ไว้ พวกเราก็ต้องเดินเอาเอง หลวงพ่อไปอ่านพระไตรปิฎกก็ได้แผนที่มาส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินทางจากจุดไหน
คล้ายๆ GPS เรากำลังหลงอยู่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ มันก็บอก “มุ่งหน้าทางตะวันตก” ก็เราไม่รู้ว่าตะวันตกอยู่ไหน เรียนพระไตรปิฎกมาไม่รู้จะเริ่มอย่างไร บอก “มุ่งหน้าทางตะวันออก แล้วเลี้ยวซ้าย”
ตะวันออกอยู่ไหนยังไม่รู้ ตอนนี้อยู่ตรงไหนไม่รู้ มาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้ดูจิต ก็เลยรู้เลยทิศเหนือทิศใต้มันอยู่ตรงไหน
ตำรับตำราที่เคยเรียนมาไม่ได้เสียหายอะไร มันเป็นตัวตรวจสอบการปฏิบัติของเราได้อย่างดีเลย
ตอนยังเรียนหนังสืออยู่ หลวงพ่อบวชอยู่วัดชลประทานฯ ที่วัดชลประทานฯ เขาทำวัตรสวดมนต์แปล มีบทแปล โดยเฉพาะทำวัตรเช้านี้วิเศษมากเลย เป็นธรรมะที่คัดมาจากพระไตรปิฎกอีกทีหนึ่ง
โดยเฉพาะบทที่ว่า “รูปูปาทานักขันโธ เวทะนูปาทานักขันโธ สัญญูปาทานักขันโธ สังขารูปาทานักขันโธ วิญญาณูปาทานักขันโธ”
แล้วก็ “รูปังอะนิจจัง เวทะนาอะนิจจา สัญญาอะนิจจา สังขาราอะนิจจา วิญญาณังอะนิจจัง”
“รูปังอะนัตตา เวทะนาอะนัตตา สัญญาอะนัตตา สังขาราอะนัตตา วิญญาณังอะนัตตา”
บทนี้ หลวงพ่อมาภาวนา หลวงปู่บอกให้ดูจิต นั่งดูอยู่ในรถไฟ นั่งดูอย่างนั้นแล้วหาจิตไม่เจอ นึกถึงบทสวดมนต์อันนี้ ค่อยๆ แยกรูปส่วนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ค่อยๆ แยกๆๆๆ
ในที่สุดก็สามารถแยกขันธ์ได้ นั่งรถไฟจากสุรินทร์ไปโคราช ใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงราวๆ นั้น เวลาเท่านี้จากที่ฟังหลวงปู่ดูลย์ว่าให้ดูจิตๆ หลวงพ่อแยกขันธ์เสร็จก่อนจะถึงโคราช เพราะอาศัยอะไร
อาศัยปริยัตินี่ล่ะ เอามาใช้ จิตมันต้องอยู่ในขันธ์ 5 นี่ล่ะ แล้วค่อยๆ แยกขันธ์ แยกๆๆๆๆ ไป ในที่สุดก็ได้ตัวรู้ขึ้นมา
พอตัวนี้เกิดขึ้นมา จำได้ เวลานั่งสมาธิมันก็มาถึงตัวนี้ จิตมันจะทรงอยู่ที่ตัวนี้ได้นานๆ ทีหนึ่งหลายๆ วันเลย
เพราะฉะนั้นปริยัติ ถ้าเราเรียนไว้แล้วเอามาปฏิบัติได้ วิเศษนะตรวจสอบได้ อย่างครูบาอาจารย์บางองค์ท่านบอกว่า “นิพพานเป็นอัตตา”
เราฟังดูเราก็รู้ พระพุทธเจ้าบอก “นิพพานเป็นอนัตตา” ทำไมท่านพูดอย่างนั้น มันเป็นการบัญญัติที่คลาดเคลื่อน แต่สภาวธรรมที่ท่านรู้ท่านเห็นไม่คลาดเคลื่อน ภาษาเคลื่อนได้ เพราะท่านไม่ได้เรียนมา
เพราะฉะนั้นอย่างเราฟังท่านผู้ปฏิบัติท่านนี้ ท่านพูดอย่างนี้สำนวนเป็นอย่างนี้ ถ้าเราภาวนาเราก็เข้าใจว่าท่านต้องการสื่ออย่างนี้
เราไม่ได้เป็นหนอนกัดคัมภีร์ พูดไม่เหมือนตำราใช้ศัพท์ผิดตำรา แสดงว่าปฏิบัติผิด ไม่ใช่
ปฏิบัติถูกแต่พูดไม่ถูก มี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย
ทำไมท่านว่า “นิพพานเป็นอัตตา” เพราะท่านเห็นว่านิพพานเที่ยง ท่านเห็นว่าสิ่งใดเที่ยงสิ่งนั้นเป็นอัตตา ท่านไปคิดอย่างนี้ ท่านคิดว่านิพพานเป็นของท่านไหม ไม่คิดหรอกมันเห็นอยู่แล้ว
ถ้าพูดให้ถูกก็คือ “นิพพานไม่มีเจ้าของ” นิพพานก็เป็นอนัตตา แต่นิพพานเที่ยง
ฉะนั้นถ้าเราเรียนปริยัติ เราเอามาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติได้ ดีมากเลย ไว้ตรวจตรวจสอบตัวเอง
เวลาเราภาวนาจิตผ่านไปถึงจุดนี้แล้วไปติดอยู่ตรงนี้ ถ้าเราเคยเรียนปริยัติเราก็จะเข้าใจว่ามันผิด จะผิดตรงไหนค่อยสังเกตเอา หรือเจอครูบาอาจารย์ถามเอา
อย่างหลวงพ่อเคยภาวนาผิด จิตมันเคลื่อนออกไปข้างหน้านิดหนึ่ง แล้วมันสว่างว่างอยู่อย่างนั้น อยู่ได้เป็นเดือน อยู่ได้เป็นปี สว่าง ทีแรกก็ดีใจ โอ้ จิตนี้ผ่องใสไม่มีกิเลส ต่อมาเฉลียวใจ
พระพุทธเจ้าว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมตัวนี้เที่ยง
ท่านว่าจิตเป็นตัวทุกข์ ทำไมมันสุข
ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา ทำไมเราบังคับได้
เราผิดที่ไหน ปริยัติมาช่วยตรงนี้
หลวงพ่ออาศัยปริยัตินี่เอง
อย่างแยกรูปนามได้ก็อาศัยปริยัติมาแยก เคยเรียน แล้วจิตไปติดไปพลาดอะไรอยู่ ปริยัติมาตรวจสอบ ทำไมมันเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา มันต้องผิด มันผิดที่ไหนค่อยๆ สังเกตเอา
ฉะนั้นปริยัติจริงๆ มีประโยชน์
แต่ถ้างมงายเกาะคัมภีร์ไว้ ไม่ไหว มันไม่ละกิเลส …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
4 มิถุนายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา