5 ก.ค. 2022 เวลา 11:19 • ไลฟ์สไตล์
“เบื้องต้นมันก็ยากก่อน พอใจมันเข้าใจหลักแล้วก็ง่าย”
“ … กายมีแต่ทุกข์ จิตมีแต่ภาระ
เมื่อกี้หลวงพ่อคุยกับพระองค์หนึ่ง ไม่ใช่พระในนี้ พระแถวนี้ บอกตอนนี้ภาวนา รู้สึกการภาวนามันง่ายๆ ได้ยินหลวงพ่อบอกมานานแล้ว มันง่าย แต่ที่ผ่านมารู้สึกมันยาก
เบื้องต้นมันก็ยากก่อนล่ะ พอใจมันเข้าใจหลักแล้วก็ง่าย
อย่างเราฟังครูบาอาจารย์สอน การปฏิบัติทำอย่างนี้ๆ มันเป็นความเข้าใจด้วยความคิดเอา
เวลาลงมือทำจริงๆ มันชุลมุนวุ่นวายไปหมด
ในใจมันจะคอยคิดว่าปฏิบัติอย่างไรถึงจะถูก
จะทำอย่างไรดีถึงจะเจริญกว่านี้
ใจมันจะดิ้นอย่างนี้เหมือนกันหมด ธรรมดา
จนวันหนึ่งค่อยๆ คลำไป ทำอย่างนี้ก็ผิดๆ
ถึงจุดหนึ่งมันหยุดแล้ว
หยุดความดิ้นรนก็ตื่นขึ้นมา รู้ ตื่น เบิกบาน
คราวนี้ก็มาถึงจุดที่ว่าไม่ต้องทำอะไร แค่เห็น เห็นอะไร
เห็นธาตุเห็นขันธ์มันทำงาน เราไม่ได้ทำอะไร
เห็นรูปมันทำงาน มันเคลื่อนไหว มันหายใจ
มันเปลี่ยนอิริยาบถ จิตใจมันเป็นแค่คนรู้คนเห็น
ไม่ได้ทำอะไร
จะเห็นความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายมันทำงานขึ้นมา
จิตมันเป็นแค่คนรู้คนเห็น จิตไม่ได้ทำอะไร
เห็นแต่ขันธ์มันทำงาน
รูปมันทำงาน นามธรรมมันทำงาน
จิตทำหน้าที่รู้เท่านั้นเอง
เพราะโดยธรรมชาติของจิต จิตมันมีลักษณะก็คือรู้ เป็นตัวรับรู้
คราวนี้จิตของเรามันไม่สามารถเป็นตัวรับรู้ได้
มันปนเปื้อนด้วยความปรุงแต่งนานาชนิด
ปรุงชั่วแย่ที่สุด ปรุงดีก็ดีขึ้นไปอีกหน่อย
ปรุงความว่างๆ ก็ดูคล้ายๆ นิพพาน ว่างๆ
แค่คล้ายๆ ไม่ใช่ของจริง
ความปรุงแต่งมันถูกอวิชชาสร้างมันขึ้นมา
ถ้าจิตมันไม่รู้แจ้งเห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
จิตก็ยังไม่พ้นความปรุงแต่ง
ปรุงโน้นปรุงนี้ไปเรื่อย ห้ามไม่ได้หรอก
พอจิตมันปรุง วิญญาณมันก็หยั่งลง
หยั่งลงในนามธรรม นามธรรมก็ปรากฏ
หยั่งลงในรูปธรรม รูปธรรมก็ปรากฏ
มีรูปมีนาม ก็มีจิต ก็สามารถกระทบอารมณ์ข้างนอกได้แล้ว
ก่อนหน้านั้นมันกระทบอารมณ์อยู่ภายใน
อวิชชามันอยู่ภายใน สังขาร ความปรุงอยู่ชั้นใน
วิญญาณเกิดขึ้น แล้วหยั่งลงในรูปในนาม
เกิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
พอมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คราวนี้ก็พร้อมจะมีผัสสะ
ผัสสะคือการกระทบอารมณ์ ผัสสะมี 2 ชั้น
ชั้นแรกมันเป็นการกระทบเฉยๆ
กระทบตา มองเห็นรูป มีจิตไปรับรู้รูป
มีองค์ประกอบ คือมีตา มีรูป มีจิตที่รับรู้รูป
มีธรรม 3 ประการนี้ทำงานร่วมกัน
ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าผัสสะขึ้นมา
อย่างเรามีตา ก็มีรูป แต่จิตไม่เกิดขึ้นมารับรู้ทางตา ก็ไม่เห็นรูป
มีตา อย่างคนนอนหลับ บางคนนอนแล้วลืมตาโพลง
รูปมันก็มีอยู่ แสงสว่างอะไรก็มีอยู่ สีมันมีอยู่
แต่จิตมันไม่ขึ้นไปรับรู้รูปทางตา ก็ไม่มีผัสสะ
มีตาไปอย่างนั้นล่ะ มีรูปไปอย่างนั้นล่ะ
แต่ไม่มีจิตก็ไม่มีผัสสะ
มีจิตแต่ไม่มีตา ก็ไปเห็นรูปไม่ได้
มีจิต มีตา แต่ไม่มีรูปปรากฏให้ดู มันก็เห็นไม่ได้
ฉะนั้นผัสสะเกิดจากองค์ธรรม 3 ตัวนี้ทำงานด้วยกัน
คืออายตนะภายใน อายตนะภายนอก
แล้วก็วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
พอมีผัสสะแล้ว สิ่งที่ตามมาคือเวทนา
เบื้องต้นผัสสะ บอกเมื่อกี้ว่าผัสสะมันมี 2 ระดับ
อันแรกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบ กระทบเฉยๆ
จิตยังไม่ได้ปรุงอะไร จิตรับรู้เฉยๆ อันนี้เป็นผัสสะ
แล้วมันมีผัสสะครั้งที่สอง มันกระทบเข้าที่ใจ
มีการตีความ มีการให้ค่า
อย่างขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
ลิ้นกระทบรสอะไรอย่างนี้ เป็นการกระทบเฉยๆ
เวทนาที่เกิดขึ้นจะเป็นอุเบกขาเฉยๆ
ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์
ขณะที่ตามองเห็น เสร็จแล้วมันมีการส่งสัญญาณเข้ามาที่ใจ มีการแปลความหมาย นี่คือรูปอย่างนี้ๆ คือมีการให้ค่าขึ้นมา
คราวนี้จิตมันจะเริ่มทำงาน มันกระทบเข้าที่จิต
อย่างตาเห็นรูป เวทนาที่เกิดทางตาก็เป็นอุเบกขา
แต่พอมันแปลความหมายของรูปที่เห็นแล้ว
มันเกิดเวทนาทางใจขึ้นมาอีก
มันกระทบอีกรอบหนึ่ง จิตมันทำงานขึ้นมา
จะวางได้ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษ
ค่อยรู้ค่อยดู ก็จะเห็นพอมีผัสสะก็เกิดเวทนา
มีการแปลความหมายออกมา
เกิดเป็นกุศล อกุศลปรุงแต่งดิ้นรนขึ้นมา
ตัวนั้นเป็นตัวภพแล้ว ก็มีชาติ
การที่จิตมันเข้าไปหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
มันไปตะครุบเอามา
ถ้ามันไม่ไปหยิบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
ทุกข์ทางใจยังไม่มี
ที่เรามีความทุกข์ทางใจเพราะมีชาติ
คือการที่จิตมันไปหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหยิบฉวยจิตขึ้นมา
การหยิบฉวยรูป เสียง กลิ่น รสอะไรอย่างนี้
ของข้างนอกวางง่าย
การหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตา หู จมูก ลิ้น กายก็วางไม่ยาก
แต่จะวางการหยิบฉวยจิต การหยิบฉวยใจยากที่สุดเลย
ทำไมมันถึงจะสามารถวางอารมณ์ภายนอก อายตนะภายนอกได้
ก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของอายตนะภายนอก
ทำอย่างไรมันจะวางอายตนะภายในได้
ก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของอายตนะภายใน
ทำอย่างไรมันจะวางจิตได้
ก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของจิต
3 ประการนี้มันยากง่ายต่างกัน
วางของข้างนอกง่ายกว่า
อย่างเราจะวางตาเรา วางยากกว่า มันหวง
เห็นรูป ไม่ดูก็ได้ ไปดูอันอื่นแทน วางง่าย
แต่ถ้าตาจะบอด เราไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่ใช่ง่าย
ต้องระดับพระอนาคามี มันถึงจะวางกายได้
วางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ส่วนการวางจิตนั้นยากที่สุด
ต้องระดับอรหัตมรรคเกิดขึ้น มันถึงจะวางตัวจิตลงได้
แต่บอกแล้วที่มันวางอายตนะข้างนอกได้
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้งหลายได้
เพราะมันเห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้น
ที่มันวางตา หู จมูก ลิ้น กายได้
เพราะมันเห็นทุกข์ เห็นโทษของกาย
ที่มันวางจิต วางวิญญาณ วางใจ
จิต วิญญาณ ใจ อันเดียวกัน
เวลาทำงานแต่ละอย่างแตกต่าง ก็เรียกชื่อต่างๆ กันไป
จะวางจิตได้ก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของจิต
ทุกข์โทษของข้างนอกดูไม่ยาก
อย่างเราเห็นโลกข้างนอกใช่ไหม
ทรัพย์สินเงินทองอะไรนี่ มันของไม่ยั่งยืน แปรปรวน
สมบัติของโลก สมบัติผลัดกันชมอะไรอย่างนี้
ใจมันยอมวางไม่ยากเท่าไร
จะวางกายของเราเองยากขึ้นมาอีก
วางจิตยากที่สุด แตกหักกันลงก็ลงที่วางจิตได้นั่นล่ะ
วางแล้วก็ต้องไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก
พระอริยเจ้าวางภาระลงแล้ว
แล้วก็ไม่หยิบฉวยภาระขึ้นมาอีก
สิ่งที่เป็นภาระก็คือตัวขันธ์นั่นเอง
ตัวที่วางยากที่สุด เป็นภาระที่สุดคือจิตนั่นเอง
ทุกวันนี้เราก็อยากให้จิตใจเรามีความสุข
อยากให้ใจเราไม่ทุกข์
ที่ไปดูหนัง ไปฟังเพลง ไปจีบสาว
ไปหาสมบัติมามากมายเลย หวังจะสบายใจ
คิดว่าได้สมบัติมากมายมาแล้วจะสบายใจ
พอมีปัญญาเกิดขึ้นมันก็รู้
มีสมบัติอะไรมา มันก็มีภาระติดเข้ามาด้วย
มีบ้านก็มีภาระ ต้องดูแลบ้าน
มีรถก็มีภาระต้องดูแลรถ
มีลูกก็มีภาระต้องดูแลลูก
มีเมีย มีสามีก็ต้องมีภาระขึ้นมา
ของภายนอกทั้งหลายแหล่ที่มนุษย์ทั้งหลายแสวงหา อยากได้มา เราเจริญสติ เจริญปัญญา เราจะรู้เลยทุกสิ่งที่ได้มา มันพ่วงภาระเข้ามาด้วย มันไม่ได้มาฟรีๆ มันเจือความทุกข์มาด้วย
สุขของโลกมันเป็นสุขที่เจือทุกข์
พอมันมีปัญญาอย่างนี้
มันก็จะคลายความหิวโหยในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
อะไรทั้งหลายแหล่ข้างนอก
มายินดีพอใจในความสุขความสงบอยู่ภายใน
เพราะฉะนั้นเราเห็นทุกข์เห็นโทษ
อย่างมีบ้านก็ทุกข์เพราะบ้าน มีรถก็ทุกข์เพราะรถ
มีอะไรก็ทุกข์เพราะอันนั้น ก็วางของข้างนอกได้
ภาระในกายเรามีตั้งแต่หัวถึงเท้า
พอมาถึงร่างกาย เราจะพบ พิจารณาลงไป
มีจิตตั้งมั่นแล้วลองดูลงในกาย
มีกายแล้วมีภาระไหม
ภาระในกายเรามีตั้งแต่หัวถึงเท้า
มีผม ต้องดูแลไหม
ถ้าไม่ดูแลก็เหม็นสาบอย่างกับขนหมา
เป็นหมาขี้เรื้อนด้วย เหม็น
มีผมที่สวยงาม ต้องไปสระไปเซ็ต ไปทำทรงนั้นทรงนี้
มีภาระมากมาย
คนก็ผลิตอุปกรณ์วัสดุอะไรนี่ สินค้าอะไรที่เกี่ยวกับผมมีตั้งเยอะแยะ ยกตัวอย่างมีอะไรบ้างเกี่ยวกับผม
ไม่เฉพาะแชมพู ครีมนวดอะไรหรอก มีอะไร สีต่างๆ เอาไว้โกรก ต้องมีหวี มีไดร์เป่าผม นี่อยู่บนหัวเราเยอะแยะเลย
มีเจลใส่อีก ภาระเยอะ ทำมาตั้งแต่เด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาวก็แต่งผมมาเรื่อยๆ ไม่รู้สึกหรอกว่าเป็นภาระ แต่ถ้าสติปัญญาเราแหลมคม แค่ผมก็ภาระเยอะแยะแล้ว
1
อย่างเมื่อก่อนเดือนหนึ่งต้องตัดผม ผู้ชายไม่ได้ตัดผมแบบผู้หญิง ต้องเซ็ตเรื่อยๆ มิฉะนั้นเดี๋ยวไม่สวย
อย่างหลวงพ่อแต่ก่อนตัดผมเดือนละครั้ง หูย เบื่อที่สุดเลย พยายามบอกมันตัดให้สั้นๆ หน่อย ผมยาวๆ รุงรังน่ารำคาญ นี่แค่ผมก็ภาระเยอะแยะแล้ว
ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ดูสิ ภาระทั้งนั้น ของที่พวกเราให้ความสำคัญมากคือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของอื่นๆ ยังเป็นรอง
เพราะฉะนั้นกรรมฐานที่สำคัญคือเรื่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เวลาจะบวชพระ อุปัชฌาย์จะต้องสอนเรื่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
มันเป็นสิ่งที่สร้างภาระมากที่สุดเลย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เพราะมันเป็นสิ่งที่เอาไว้โชว์คนอื่นให้ดูดี
ขี้ฟันเขรอะเลย เป็นสาว เป็นนางงามจักรวาล
แต่ขี้ฟันหนาอย่างนี้ ไหวไหม ไม่ไหว ดูไม่ไหวเลย
ทุกวันนี้ก็มีเรื่องของฟัน ก็มีภาระเยอะแยะ
ฟันจะต้องสีอย่างนั้นอย่างนี้
บางคนติดเพชรติดพลอย
ถ้าไม่ทำอะไรมากก็ต้องไปขูดหินปูน
ต้องไปอุดฟันอะไรอย่างนี้
ฟันไม่สวยต้องไปจัดฟัน
ภาระเยอะแยะเลยเกี่ยวกับฟัน
ต้องแปรงฟัน ถ้าไม่แปรงฟันก็ไม่ไหว
สินค้าที่เกี่ยวกับฟันก็มีเยอะแยะไปหมดเลย
เราเอาผม ขน เล็บ ฟัน หนังไว้หลอกตัวเองให้เห็นว่าเราสวย แล้วเอาไว้หลอกคนอื่นให้เห็นว่าเราสวยเราหล่อ ที่จริงมันของหลอก
ร่างกายเรา ถ้าเราถอนเอาผมออกไป หัวเหน่งๆ น่าเกลียด ลองนึกถึงภาพตัวเอง กำหนดจิตดึงผมออกไปให้หมดเลย เอามือกระชากๆ ออกไป ไม่ต้องกระชากจริง เดี๋ยวหัวล้านแล้วจะมาว่าหลวงพ่อ
เราทำด้วยจิต เรากำหนดลงไป ส่วนกำหนดแล้วผมมันจะร่วงหมดหัวเลย ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม อันนั้นช่วยไม่ได้
คิดดูสิ คนเรามันสวยอยู่ที่ไหน
มันสวยอยู่ที่แค่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเท่านั้นเอง
ข้างในเต็มไปด้วยของสกปรก มันของไม่ดีไม่สะอาด
พอเราเห็นอย่างนี้มากๆ ใจมันเริ่มเอียน
เริ่มเบื่อหน่ายในร่างกาย
มีร่างกาย มันก็มีภาระ มีผมก็มีภาระ มีขนก็มีภาระ
อย่างต้องโกนหนวดโกนเครา โกนขนรักแร้ โกนขนหน้าแข้ง เดี๋ยวนี้ก็มีการผลิตสินค้าใช่ไหม มีบริการ บริการถอนขนอะไรอย่างนี้ ใช้เลเซอร์อะไรอย่างนี้
1
อุปกรณ์หรือสิ่งอะไรที่จะปรนเปรอผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เต็มไปหมดเลย
ทำไมเราต้องไปดูแลมันให้ดี ก็เพื่อให้ตัวเองดูดี
ให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี ลองไปดู
อย่างผิวหนังสวยจริงไหม
ผิวหนังมีรูพรุนๆ อยู่ทั้งตัวเลย
ผิวหนังมีของโสโครกไหลออกมาตลอดเวลา
สวยแค่ไหน ไม่อาบน้ำสัก 2 – 3 วัน ก็ไม่มีใครเขาเข้าใกล้แล้ว เหงื่อไคลสกปรกโสโครก เป็นขี้กลากขี้เกลื้อนอะไรขึ้นมา ไม่ได้สวยไม่ได้งาม
ถ้าเราดูลงไป เราก็จะเห็นร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก
มีร่างกายก็มีภาระอันมากมายเกิดขึ้น
ใจมันก็จะค่อยๆ คลายความรัก ความหวงแหนในร่างกายออกไป
สุดท้ายมันก็รู้สึกร่างกาย มันแค่ของอาศัย
แล้ววันหนึ่งก็แตกสลายไป
ระหว่างที่ยังไม่แตกสลายก็เป็นภาระวุ่นวายไม่เลิก
พอเห็นอย่างนี้มันจะค่อยคลายความยึดถือในร่างกายออกไป
เราก็ภาวนาไปเรื่อยๆ พอจิตมันวางกายได้แล้ว
มันจะรู้เลย กายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง
แต่ตรงที่เห็นกายอันหนึ่ง จิตอันหนึ่ง
บางทีก็วางไม่ได้
อย่างเราเข้าสมาธิ เข้าไปถึงอรูปฌาน
ร่างกายหายหมดเลย โลกธาตุก็ไม่มี เหลือแต่จิต
เหลือจิตสว่างไสวอยู่
พอกลับมามีร่างกายปุ๊บ
มันจะรู้เลยร่างกายกับจิตคนละอันกัน
ร่างกายนี้เป็นภาระมากมาย
ใจจะค่อยๆ เบื่อหน่ายในร่างกาย
แต่มันเบื่อหน่ายไม่ใช่ด้วยปัญญาธรรมดาหรอก
มันเบื่อหน่ายด้วยกำลังฌาน
ถ้ากำลังของฌานมันตกไป
กามราคะมันก็เกิดขึ้นมาอีก
มันยังดับไม่ได้จริงด้วยการเข้าฌาน
แต่มันจะวางกายได้ด้วยปัญญา
มีจิตตั้งมั่น สติระลึกรู้ลงในกาย
เห็นมันเป็นของไม่สวยไม่งาม
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไป
ระลึกไปทีละส่วนๆ ก็ได้
พอชำนิชำนาญแล้ว ดูทีเดียวทั้งตัวเลยก็ได้
จะเห็นมันไม่ใช่ของดีของวิเศษ
ไม่สวยไม่งาม เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อย่างนี้ถึงจุดหนึ่งจิตมันก็จะสลัดกายทิ้งเลย
คราวนี้วางด้วยปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว
ไม่เหมือนวางด้วยฌาน
1
มันเข้าฌานไป เข้าถึงอรูป วางกาย ไม่มีกาย
พอกลับมามีกาย ทีแรกก็จะเห็นกายไม่ใช่ของดีอะไรหรอก
เป็นภาระเป็นทุกข์ อยู่ไปๆ ก็เริ่มหลง
เริ่มรักขึ้นมาอีกแล้ว กลับกลอก ยังกลับกลอกได้
ละด้วยกำลังฌาน เป็นของกลับกลอก
แต่ละด้วยการเจริญวิปัสสนา
เห็นกายอย่างที่กายเป็นไปด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง
ถึงจุดหนึ่งมันรู้ความจริง
กายไม่ใช่ของดีของวิเศษ จิตมันจะวาง
อย่างบางคนภาวนา ดูกายมันทำงานไปเรื่อยๆ
ยืน เดิน นั่ง นอน หายใจออก หายใจเข้า รู้สึกไปเรื่อยๆ
เวลามันเหน็ดเหนื่อย มันทำงานหนัก มีภาระเยอะ
ทำงานหนัก ใช้ร่างกายเยอะ เหนื่อย
ลงไปนอนอย่างนี้ นอนๆ อยู่ก็เห็น
โอ้ ร่างกายนี้มันมีแต่ทุกข์ มันเป็นของบังคับไม่ได้
ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงเลย
ดูไปๆ จิตรวมปึ๊บ มันสลัดกายทิ้งเลย อย่างนั้นก็มี
วางของมันเองแล้ว คราวนี้มันไม่หยิบอีกแล้ว
ถ้ามันวางด้วยโลกุตตรปัญญาอย่างนั้น
มันเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ ไม่ได้เห็นอย่างอื่นหรอก
เห็นจนมันพอ มันจะสลัดทิ้ง
จิตนี้คือตัวทุกข์ล้วนๆ
คราวนี้การภาวนามันก็เหลือแต่จิตนั่นล่ะ
เพราะโลกข้างนอกมันก็ไม่ยึดถือแล้ว
กายนี้มันก็ไม่ยึดถือแล้ว เพราะมันเป็นของไม่ดี
ก็เหลือแต่จิต
ตรงที่จะเห็นจิตเป็นภาระเป็นทุกข์เป็นโทษ ดูยาก
ต้องค่อยๆ ภาวนาไป ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ สังเกตไป
เราจะรู้เลยจิตทำงานหนักกว่ากาย
แต่เดิมเราคิดว่าจิตไม่ต้องทำอะไร
จะทำอะไร กายเป็นคนทำทั้งนั้นเลย
แต่พอภาวนาไปๆ หูย จิตนี่ภาระเยอะจริงๆ
กายเหนื่อย กายยังไปนอนหลับได้
จิตเหนื่อยก็ยังฟุ้งได้อีก ไม่เคยได้พักเลย
จิตของคนที่ไม่ได้ฝึกเป็นจิตที่เหนื่อยที่สุดเลย
เพราะมันไม่เคยพักเลย มันดิ้นรน มันปรุงแต่ง
หาความสงบ หาความสุขอะไรไม่ได้จริงเลย
หรืออย่างมากก็ไปแต่งความสุขความสงบขึ้นมาด้วยกำลังของฌาน ซึ่งก็เป็นภาระอีกล่ะ
จะทำฌานก็เป็นภาระ แล้วอยู่ได้ชั่วคราว ฌานก็เสื่อมอีกแล้ว ที่ทำไว้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สูญไปหมดอีกแล้ว
จะให้เห็นว่าจิตเป็นภาระ จิตเป็นทุกข์
ต้องเฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ รู้จิตนี้เป็นตัวภาระหนักเลย
จิตไม่เคยหยุดคิด คิดทั้งวันเลย
เดี๋ยวจิตก็ไปดูรูป ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ
จิตทำงานหมุนติ้วๆๆ อยู่รอบตัวเลยตลอดเวลา
ร่างกายมันก็อยู่ตรงนี้ล่ะ
แต่จิตเดี๋ยวก็ไปอดีต เดี๋ยวก็ไปอนาคตได้
กายยังอยู่ตรงนี้ จิตไปอเมริกาก็ได้
มันทำงานหนักตลอดเวลาเลย มันไม่เคยได้พักจริง
จะพักด้วยการเข้าฌาน มันก็คือการทำงานอีกแบบหนึ่ง
ก็คือความปรุงแต่งอีกแบบหนึ่ง มันก็ทุกข์ของมันอีก
ต้องค่อยรู้ค่อยดูไป
จิตนี้ไม่ใช่ของดีเลย จิตนี้คือตัวทุกข์ล้วนๆ เลย
พอมันล้างความเห็นผิด
แต่เดิมมันเห็นว่าจิตนี้เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
ตอนไหนจิตได้กระทบอารมณ์ดีๆ ก็มีความสุข
กระทบอารมณ์ไม่ดีก็มีความทุกข์
ภาวนาเข้าจริงๆ ค่อยเห็นเลย จิตนี้มีแต่ภาระ
จิตนี้มีแต่ความทุกข์
อย่างแสวงหาความสุข อยากได้ความสุข
เหนื่อยแทบตายเลย ได้ความสุขมา
ความสุขอยู่แวบเดียว ความสุขหายไปอีกแล้ว
เกิดแล้วดับอย่างรวดเร็วเลย
จะต้องดิ้นหาความสุขไปถึงเมื่อไร มีแต่ภาระ
ที่ดิ้นรนอยากให้จิตมีความสุข อยากให้จิตไม่ทุกข์
ต้องดิ้นรนเป็นภาระมากมาย เป็นทุกข์มากมาย
กระทั่งมานั่งทำกรรมฐานก็เป็นภาระ
แทนที่เราจะสามารถรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตตั้งมั่น เป็นกลาง
เราก็พยายามเข้าไปแทรกแซง
ก็เป็นภาระขึ้นมาอีก ทำกรรมฐานก็มีภาระ
“จิตทำงานหนักตลอดเวลาเลย มันไม่เคยได้พักจริง
จะพักด้วยการเข้าฌาน มันก็คือการทำงานอีกแบบหนึ่ง
ก็คือความปรุงแต่งอีกแบบหนึ่ง มันก็ทุกข์ของมันอีก”
บางคนก็สร้างภาระอะไรขึ้นมามากมาย
เช่น ก่อนจะเจริญสติต้องสวดคาถาอันนี้ก่อน
ต้องจุดธูปเท่านี้ ต้องจุดเทียนเท่านี้
ต้องอาราธนาอันโน้น อาราธนาอันนี้
โอย ภาระเยอะเหลือเกิน
อันนั้นของรุงรัง เอาไว้หลอกเด็ก
ถ้าไม่ใช่เด็ก ถูกหลอก จะปฏิบัติก็ดูมันเข้าไปตรงๆ เลย
ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
ของง่ายๆ ไปทำเสียซับซ้อนเอง
เราเฝ้ารู้ อย่างเราภาวนา วางกายไว้
เฝ้ารู้จิตใจของเราไป
จิตนี้เดี๋ยวก็สุข จิตนี้เดี๋ยวก็ทุกข์
จิตนี้เดี๋ยวก็ดี จิตนี้เดี๋ยวก็ชั่ว
เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง
เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวหดหู่
เฝ้ารู้ลงไปเรื่อยๆ
มันจะเห็นเลยจิตนี้ไม่ใช่ของดี
อารมณ์สุขที่เราแสวงหาก็ไม่ยั่งยืน
อารมณ์ทุกข์ที่เราเกลียดชัง เราก็ห้ามมันไม่ได้
มันจะมา ใจเราจะทุกข์ก็ห้ามมันไม่ได้
กุศล พยายามฝึก มีกุศลขึ้นมา กุศลก็อยู่ชั่วคราว
อกุศล พยายามห้ามมัน มันก็เกิดบ่อยๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูก็จะรู้
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตเป็นภาระทั้งสิ้น เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของควบคุมบังคับไม่ได้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
26 มิถุนายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา