21 ส.ค. 2022 เวลา 01:07 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้ายึดดีก็จะทุกข์อย่างคนดี
ยึดชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว
ไม่ยึดไม่ทุกข์ ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์”
2
“ … มีสติอยู่กับปัจจุบันทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
เราชาวพุทธเราก็ต้องรู้จักการดำรงชีวิต
รู้จักใช้ประโยชน์ของอดีต
รู้จักวางแผนอนาคตเพื่อว่าเราจะไม่ต้องเป็นภาระของคนอื่น
ช่วยตัวเองได้มากที่สุด นานที่สุด
ถ้ามันหมดกำลังแล้วไม่มีใครช่วยเรา
เราก็ยอมรับสภาพ
ชีวิตนี้ก็มีความสุขมานานแล้ว
เคยกระโดดโลดเต้นได้ เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นผ่านไปแล้ว
ก็ดีแล้ว ได้เคยมีความสุขในโลกก็เข้าใจ
เข้าใจโลกมาแล้ว
ถึงตอนนี้เป็นวาระสุดท้ายของเราแล้ว
เราก็จะตายอย่างสง่างาม
ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราตายอย่างสง่างาม
ไม่ใช่ตายแบบดิ้นรนทุรนทุราย
โอ๊ย แย่แล้วๆ หรือห่วงทรัพย์สมบัติ
มีเงินทองอะไรตั้งเยอะตั้งแยะ จะตายแล้ว
จิตจะไปอบายทันทีเลย
ไปอบาย มีเยอะแยะเลย พวกเปรต พวกอะไรนี่
บางทีก็เป็นสัตว์เดรัจฉานเฝ้าสมบัติอะไรอย่างนี้
ไม่มีสาระอะไรเลย
เฝ้าไว้ก็เอาไปทำอะไรไม่เป็น ทำอะไรไม่ได้
ถ้าเรารู้อดีต เราเกิดมาตัวเปล่าๆ
ตอนตายไป เราก็ตายมือเปล่า ไม่ได้เอาอะไรไปเลย
สิ่งที่จะติดตัวเราไป ที่จะฝังลงไปในจิตใจเรา
มีแค่บุญกับบาป
เพราะฉะนั้นตัวนี้ตัวสำคัญ
บาปทั้งหลายอย่าทำ บุญทั้งหลายมีโอกาสทำก็ทำ
แล้วบุญใหญ่ที่สุดคือบุญที่ประกอบด้วยสติ
ประกอบด้วยปัญญา
มีสติอยู่กับปัจจุบันนั่นล่ะดีที่สุดแล้ว
ฉะนั้นเราไม่คร่ำครวญโหยหาอดีต
ไม่ห่วงกังวลเลื่อนลอยถึงอนาคต
มีสติอยู่กับปัจจุบันทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ชีวิตเรามีคุณค่ามากที่สุดเลย
หายใจอยู่ด้วยความรู้สึกตัวอยู่มีประโยชน์มาก
มีคุณค่ามาก
พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเรามีสติอยู่แค่คืนเดียว
แค่วันเดียว คืนเดียวอะไรนี่
มีคุณค่ากว่าคนที่อายุตั้ง 100 ปี
แต่ว่า 100 ปีที่หลงกับอดีตบ้าง หลงกับอนาคตบ้าง
ไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันเลย
คำว่าอยู่กับปัจจุบัน มีสติรู้สึกตัวเองไป
รู้ว่าเราควรจะทำอะไร เรากำลังทำอะไร
ทำไปเพราะอะไร รู้ทันตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วชีวิตมันจะร่มเย็น
ชีวิตที่โหยหาอดีตไม่ร่มเย็น แต่จะทำให้เคลิ้มๆ
แต่ไม่สงบ ไม่เย็น
เพ้อฝันถึงอดีต รู้สึกมีความสุข
แต่มันมีความสุขเหมือนคนติดยา
สุขกับอดีตคือสุขกับสิ่งซึ่งจับต้องไม่ได้ สิ่งซึ่งไม่มีจริง
เหมือนมีความสุขอยู่กับความฝัน สุขกับอดีต
เพราะมันผ่านไปหมดแล้ว
ถ้าเรามีสติอยู่กับปัจจุบันแต่ละขณะๆ
เราเห็นชีวิตนี้ล่วงไปเรื่อยๆ แต่ละขณะ ไม่ประมาท
ถ้าขาดสติเมื่อไรก็คือประมาทเมื่อนั้น
มีสติก็ไม่ประมาทนั่นล่ะ
นี่คือธรรมะสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนเรา
นาทีสุดท้ายที่ท่านจะนิพพาน
ช่วงเวลาสุดท้ายที่ท่านจะนิพพาน
ท่านบอกพวกเราให้ทำประโยชน์ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
คำว่าไม่ประมาทคือเราต้องมีสติอยู่กับปัจจุบันไป
ถ้าเราทิ้งปัจจุบันก็เรียกว่าเราประมาท
คือเราไปเพ้อฝันถึงอดีตเรียกว่าประมาท
เพราะว่าเราทำลายเวลาให้ล่วงไปเปล่าๆ ในความฝัน
ถ้าเราไปห่วงไปกังวลถึงอนาคต
เครียดทั้งๆ ที่ปัญหายังไม่ได้เกิด โง่ไหม เครียด
กลุ้มใจตั้งแต่ปัญหายังไม่เกิดเลย
พอปัญหาเกิดแล้วก็ตีโพยตีพาย
จะให้คนโน้นช่วยจะให้คนนี้ช่วย
ใครเขาไม่ช่วยก็โมโหอีกอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เรื่อง
ฉะนั้นเราใช้ปัจจุบัน มีสติอยู่กับปัจจุบัน
ใช้อดีตเป็นบทเรียน วางแผนถึงอนาคต
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันไป มีสติไปทุกขณะๆ
2
หายใจออก รู้สึกตัว หายใจเข้า รู้สึกตัว
ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตัว
เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง รู้สึกตัว
มีความสุข รู้สึกตัว มีความทุกข์ รู้สึกตัว
ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้สึกตัว
จิตเป็นกุศลก็รู้สึกตัว
จิตโลภ โกรธ หลงก็รู้สึกตัว
จิตไปดู จิตไปฟัง จิตไปดมกลิ่น จิตไปลิ้มรส
จิตไปรู้สัมผัสทางกาย จิตไปคิดนึกทางใจก็รู้สึกตัว
พอรู้สึกตัวมันก็จะไม่หลงไปทางทวารทั้ง 6
ใจก็จะตั้งมั่นเด่นดวง
เรามีความสุขตั้งแต่ปัจจุบัน
เราภาวนา เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เรามีความสุขตั้งแต่ปัจจุบัน
อย่างถ้าเรามีสติอยู่ มีสมาธิอยู่ มันมีความสุขอยู่แล้ว
อย่างพวกเราเรียนกับหลวงพ่อรู้สึกไหม
บางทีไม่ได้ทำอะไรอยู่ๆ มีความสุขผุดขึ้นมา
เพราะใจเราไม่ได้ไปทำชั่ว ไม่ได้ไปคิดชั่ว
ไม่ได้ไปพูดชั่วอะไรอย่างนี้ มันก็มีสมาธิ
ความสุขก็ผุดขึ้นมา มันอิ่ม มันมีความเบิกบาน
มีความสุขในปัจจุบันนั่นล่ะ เป็นระยะๆ
ล้างกิเลสออกจากจิตด้วยสติกับสัมมาสมาธิ
ถ้าเราภาวนาประจำ
เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธอะไรอย่างนี้
หรือเราเดินจงกรม เราเห็นร่างกายเราเดิน
มันจะทำไปด้วยความสุข
ไม่ใช่ทำไปด้วยความเครียด
แต่ถ้าทำด้วยความโลภล่ะก็ไม่มีความสุข
นั่งหายใจแล้วก็เมื่อไรจะสงบๆ
นี่คำนึงไปถึงอนาคต อยากให้มันสงบอะไรอย่างนี้
มันไม่สงบ
อยู่กับปัจจุบัน มีสติอยู่กับปัจจุบันไป
เห็นร่างกายหายใจไป รู้สึก
รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
จิตใจมันก็สงบ มันก็มีความสุข มันก็ประภัสสร
เมื่อเช้าพระล้างบาตรอยู่ข้างหลัง ก็มีองค์หนึ่ง หลวงพ่อก็บอก เรียกชื่อ บอกรู้สึกไหมเมื่อกี้นี้ ใจมันโปร่ง มันเบา มันสบาย ตรงนั้น ธรรมชาติเดิมของจิตมันเป็นอย่างนั้น
ธรรมชาติเดิมของจิตมันสว่างๆ มันเบิกบาน
มันมีความสุข ที่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสมันจรมา
ฉะนั้นอย่างเราอยู่กับปัจจุบัน
กิเลสมาเรารู้ทัน กิเลสก็ไป กิเลสไป เราก็รู้อยู่
ใจเราก็เบิกบาน สว่างไสวขึ้นมา สงบ สว่าง
นั่นก็คือจิตประภัสสร หรือคือตัวจิตผู้รู้นั่นเอง
เป็นจิตที่สงบ จิตที่สว่าง แต่ไม่สะอาด
จะสะอาดต้องเดินวิปัสสนา ทำวิปัสสนา ล้างกิเลสไป
พอล้างกิเลสได้ จิตถึงจะสะอาด
ก็จะสงบ สว่าง สะอาด อันนั้นถึงจะดี
เพราะฉะนั้นจิตโดยตัวของมันมันสว่างอยู่แล้วล่ะ
สังเกตไหม เวลาเราสบายใจ เราปลอดโปร่งใจ
รู้สึกไหมโลกนี้สดใส โลกนี้สว่าง
เวลามีราคะจรมา โลกนี้เริ่มไม่ผ่องใสแล้ว
โลกเริ่มเป็นสีชมพูแล้ว
สีชมพูก็เป็นสีที่แปลกปลอมเข้ามาแล้ว
เวลาโกรธขึ้นมา มีแสงไฟพุ่งขึ้นมาในใจเราเลย
ไม่สว่าง ไม่สะอาดแล้ว
หรือเวลาโมหะเข้ามา โลกมืดเลย ไม่สว่างแล้ว
แต่จิตโดยตัวของมัน มันสว่างอยู่แล้วล่ะ
มันสว่าง มันสงบ มันสบาย
แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมาเป็นคราวๆ
กิเลสไม่ได้มีตลอดเวลา
กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา กิเลสเกิดเป็นคราวๆ
อย่างบางคนก็คิดว่าสังโยชน์ต้องมีตลอดเวลา สังโยชน์ที่เป็นกิเลสที่ผูกมัดเราไว้ในภพ มีตลอด
ไม่ได้มีตลอด เกิดดับเหมือนกัน
อย่างตอนเกิดมาใหม่ๆ
เราไม่ได้ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย
เราไม่มีความสงสัยว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำอย่างไร
มันคิดอะไรไม่เป็นตอนนั้น
ตอนคิดเป็นมันถึงจะเริ่มปรุงขึ้นมา
ตอนเด็กๆ หัว blank ไม่มีสักกายทิฏฐิหรอก
พอเริ่มมีความคิดขึ้นมา
มันถึงจะเกิดสักกายทิฏฐิขึ้นมาได้
ฉะนั้นกิเลสเอง กระทั่งสังโยชน์ก็เกิดๆ ดับๆ
ไม่ได้มีตลอดเวลาหรอก
ช่วงที่กิเลสไม่เกิด จิตมันจะเป็นธรรมชาติเดิมของมัน
มันเสียธรรมชาติเดิมของมันเพราะกิเลสที่แทรกเข้ามา
เราค่อยๆ ภาวนา
ในที่สุดเราก็เข้าถึงจิตที่เป็นธรรมชาติเดิมของมัน
คือจิตมันสว่าง มันสงบ มันสบาย แต่มันโง่ๆ
ถ้าเรามีจิตผู้รู้แล้ว เราก็รู้อยู่เฉยๆ นั่นผู้รู้โง่ ยังใช้ไม่ได้
ต้องมาทำวิปัสสนาอีกทีหนึ่ง
ลำพังทำจิตให้สงบ ให้สว่าง ศาสนาอื่นเขาก็ทำได้
แต่จะทำให้สะอาด
มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
สามารถล้างกิเลสออกไปจากจิตได้
เครื่องมือที่เราใช้ล้างกิเลสออกจากจิต
คือสติกับสัมมาสมาธินั่นล่ะ
จิตเราตั้งมั่นอยู่ กิเลสแปลกปลอมเข้ามา สติรู้ทัน
จิตตั้งมั่น เป็นคนรู้คนเห็น
กิเลสจะกระเด็นหายไปทันทีเลย เกิดแล้วก็ดับ
แทนที่กิเลสจะมาเล่นงานเรา
กิเลสกลับมาสอนธรรมะเรา
ราคะเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป นี่เป็นธรรมะ
โทสะก็มาสอนเรา โทสะเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
เห็นไหม มันก็สอนธรรมะเรา
เพราะฉะนั้นกิเลสเอง
ถ้าเรามีสติแล้วก็สัมมาสมาธิอยู่
กิเลสก็คือครูตัวหนึ่งเหมือนกัน
เป็นครูที่หน้าตาน่าเกลียดเท่านั้นเอง
กุศลก็เป็นครูอีกตัวหนึ่ง
เป็นครูที่ดูดีแล้วก็เป็นครูที่ละยาก
ละกิเลสยังละง่าย ละกุศลละยากกว่าอีก เพราะมันดูดี พวกที่ติด ติดดี มันไม่อยากละ
พวกติดชั่วบางทียังอยากละ เพราะติดชั่วมันทุกข์
ติดดีแล้ว แหม มันมีความสุข ไม่อยากละ
เราภาวนาให้มันแจ่มแจ้งลงไป
สิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในจิตทั้งหมด
จะดีหรือจะชั่ว จะสุขหรือจะทุกข์
คือความปรุงแต่งทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นมาในจิตนั้นนำความทุกข์มาให้ทั้งสิ้นเลย
คือเข้ามาทำให้จิตเกิดความดิ้นรน
ตรงที่จิตมันปรุงแต่งนั้นคือจิตมันสร้างภพ มันดิ้นรน
มันไม่มีความสุข มันเสียสมดุล
ถ้าเรามีผู้รู้ เราก็ได้ความสงบ ได้ความสว่าง
เดินปัญญาไป เราก็จะได้ความสะอาดขึ้นมา
คือปราศจากกิเลส
สะอาดสูงสุดปราศจากกุศลด้วย
กระทั่งกุศลยังไม่ยึดเลย
ฉะนั้นถ้ายึดดีก็จะทุกข์อย่างคนดี
ยึดชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว
ไม่ยึดไม่ทุกข์ ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์
สรุปก็คืออยู่กับปัจจุบันไว้
แต่ไม่ใช่ไม่คิดถึงอดีต
คิดเพื่อสรุปบทเรียน วางแผนอนาคตต้องทำ
ยิ่งเป็นฆราวาสต้องวางแผนอนาคต
ไม่ใช่วางตามกิเลส
วางแผนอนาคตไม่ใช่ทำตามกิเลส ไปเรื่อยๆ ต้องดู
มีเหตุมีผล ทำอย่างไรชีวิตเราจะร่มเย็นเป็นสุข
อย่างวางแผนให้รวยไม่ยากเท่าไร
วางแผนให้รวย วางแผนให้รวยแล้วก็ดีด้วย
แล้วจิตใจเราเข้าถึงความสงบสุขมากขึ้นด้วย
มันต้องมีหลายเงื่อนไข
1
อย่างบางคน แต่เดิมทำงาน อยากรวยอย่างเดียวเลย
ก็เครียดมากเลย โรคประสาทกิน
ได้เงินไว้เยอะแยะเพื่อจะเอาไว้จ่ายให้หมอ
เพราะว่าเดี๋ยวก็ป่วยแล้วโรคประสาทกิน โรคจิตกิน
หรือโรคโน้นโรคนี้เกิดขึ้นเยอะแยะ
หาเงินไว้เยอะแยะเอาไปให้โรงพยาบาลหมดเลย
บางคนเกิดเฉลียวใจ
เราทำงาน ถ้าเราสามารถเลี้ยงชีวิตตัวเองได้
เราก็ปฏิบัติธรรมไปได้ด้วย
แหม อย่างนี้ดี อย่างนี้ดีที่สุดเลย
หลวงพ่อก็คิดอย่างนั้น
เมื่อก่อนนี้ทำงาน ก็เป็นลูกจ้างรัฐบาลบ้าง
ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจบ้าง
แล้วเราก็มีเวลาเหลือ มีเวลาเอามาปฏิบัติธรรม
ไปเรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์อะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นช่วงชีวิตที่ทำงาน
ทำงานอยู่ 20 กว่าปี จิตใจมันก็พัฒนาได้
เราไม่ได้บ้ากับงานแบบจะแย่งชิงตำแหน่ง
อยากเป็นผู้ว่าอะไรอย่างนี้ เราไม่ได้มุ่งไปตรงนั้น
เราทำงานเพื่อจะเลี้ยงชีวิตได้
แล้วเราก็มีเวลาเหลือเพื่อพัฒนาตัวเอง อย่างนี้ก็ดี
อย่างในหลวงองค์ก่อนท่านสอนเรื่องพอเพียง
พอเพียงทางวัตถุ
พอเราอยู่ได้แล้ว ดำรงชีวิตเลี้ยงตัวเองได้แล้ว
อาจจะไม่รวยเหมือนคนอื่น แต่ไม่มีหนี้ ไม่กลุ้มใจ
มีอยู่มีกิน มีเวลาที่จะพัฒนาจิตใจตัวเอง ท่านสอนดี
สรุปก็คืออยู่กับปัจจุบันไว้
อดีตเป็นบทเรียน อนาคตต้องวางแผน
แต่ไม่ใช่เลื่อนลอย ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ให้มันสมจริงหน่อย
แล้วก็วางแผนไปเพื่อว่าเราจะได้มีเวลา
มีโอกาสที่จะได้ปฏิบัติธรรมในอนาคต
ไม่ใช่วางแผนอนาคตเพื่อรวยๆๆ แล้วก็ไม่มีเวลาเลย
อย่างนั้นไม่ฉลาดหรอก
เพราะความรวย มีเงินตั้งเยอะ
สุดท้ายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่น
ของที่จะติดตัวเราไปคือบุญกับบาปต่างหาก
บางทีรวยมากก็ทำบาปมาก
ฉะนั้นเราแค่อยู่ได้ แล้วเราพัฒนาจิตใจตัวเองไปได้
อันนั้นดีที่สุด
แต่อย่าเพ้อเจ้อ อย่าเพ้อฝัน เลื่อนลอย ไม่มีเหตุผล
เท่านี้ก็แล้วกัน เท่านี้ก็ทำยากแล้ว
แค่มีสติอยู่กับปัจจุบันทั้งวันทั้งคืน มีความสุขจะตาย
ทำยากอยู่ เพราะเราชอบหลง
หลงอดีต หลงอนาคต …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
7 สิงหาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา