27 ส.ค. 2022 เวลา 15:47 • ไลฟ์สไตล์
“ทางที่จะปลอดภัย
ถ้าเราอยู่ห่างครูบาอาจารย์
เจริญสติในชีวิตประจำวันไว้”
“ … กรรมฐานอะไรก็ได้
ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเลวกว่ากันหรอก
ถ้าทำถูกแล้วถูกหมด
คือทำกรรมฐานแล้วมีสติรู้ทันจิตตัวเองแล้ว
ถูกหมดเลย
1
ถ้าทำกรรมฐานแล้วไม่มีสติคุ้มครองรักษาจิตเอาไว้
จิตหลงไปคิดบ้าง จิตหลงไปเพ่งบ้าง ก็คือหลงนั่นล่ะ
ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกันหมด
1
ไม่มีกรรมฐานอะไรดีหรือเลวกว่ากัน
อยู่ที่ว่าเราทำถูกหรือไม่ถูก
ถ้าทำไม่ถูก ใช้กรรมฐานวิเศษแค่ไหนมันก็ไม่ถูก
1
อย่างเราได้ยินว่าอานาปานสติเป็นสุดยอดของกรรมฐาน
เราทำอานาปานสติแต่เราเคลิ้มลืมเนื้อลืมตัว
สงบแล้วก็เพลินมัวเมาอยู่ในความสุขความสงบ
นั้นใช้ไม่ได้
หรือทำลมหายใจระงับไป เกิดแสง
คราวนี้อยากรู้อยากเห็นอะไร
แสงส่องไปถึงไหนใจก็รู้ไปถึงนั่น
อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีสติแล้ว ใช้ไม่ได้
ข้อดี ข้อด้อยของการฝึกสมาธิมากๆ
ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราเดินไปทางของสมาธิเยอะๆ
มันก็มีความเสี่ยงสูง มีข้อดีและก็มีข้อด้อย
อย่างการฝึกสมาธิมากๆ มีทั้งข้อดีข้อด้อย
ไม่ใช่ดีอย่างเดียว
อย่างฝึกไปในทางเล่นฤทธิ์ เล่นฌาน เสียเวลา
อย่างน้อยๆ ก็เสียเวลา
ข้อดีของมันก็คือสมาธิเราจะแข็งแรง
ถ้าเราทำสมาธิไปเรื่อย
ลมระงับไปแล้วเกิดแสงสว่าง จิตจับอยู่กับแสงสว่าง
ต่อมาจิตก็วางแสงสว่าง จิตทวนกระแสเข้ามาที่จิต
อันนี้อยู่ในฌานที่ 2 ตัวผู้รู้จะแข็งแรงมากเลย
ออกจากสมาธิแล้ว
ตัวผู้รู้ก็ยังเด่นดวงอยู่ได้เป็นวันๆ เลย ข้อดี
ข้อดีของการทำสมาธิเต็มรูปแบบ
ข้อเสียคือมันช้า แล้วก็มันหลงง่าย
พาให้เราไปรู้โน่นรู้นี่ไปเรื่อยๆ
มันอันตรายอยู่เหมือนกัน
มีครั้งหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้บวช
เตี่ยหลวงพ่อตายเขาเอาศพไปไว้ที่วัดทางฝั่งธนฯ
สมัยนั้นที่เก็บศพมันยังไม่ดี
สมัยนี้เขาทำสวยงามไปหมดแล้ว
สมัยนั้นก็เป็นโลงไม้หลังคาสังกะสี
สวดศพ 7 วันแล้วก็เอาศพเก็บไว้
พอ 50 วันจะเอาศพออกมาทำบุญ 50 วัน
มันเป็นหน้าฝนหลังคาโรงเก็บศพมันรั่ว
น้ำฝนมันหยดทั้งวันทั้งคืน ฝาโลงทะลุ
น้ำเข้าไปขังอยู่ในโลงเต็มเลย
สัปเหร่อก็ไปยกโลงออกมา
สัปเหร่อก็บอก โห ได้ยินเสียงน้ำในนั้นน้ำจ้อกแจ้กๆ อยู่ข้างใน สัปเหร่อก็บอกอย่ามาดู น่ากลัวมาก ศพนี้มันคือศพแช่น้ำ น่ากลัว ทั้งๆ ที่ฉีดยา สัปเหร่อเขาก็เจาะใต้โลงให้ทะลุ แล้วน้ำก็ไหลพรูออกไป
จิตหลวงพ่อมันอยากดู หลวงพ่อไม่อยากดู
หลวงพ่อบอกแล้วหลวงพ่อเป็นคนกลัวผี
ผีเตี่ยเราก็กลัวเหมือนกัน กลัวหมด
แต่จิตมันอยากดู แต่ขาเราไม่ยอมเดินเพราะเราไม่ยอมดู
พอกลับมาบ้านคืนนั้นก็นั่งสมาธิ แล้วเอนตัวลงนอน
พอหัวถึงหมอนปุ๊บจิตมันอยากดู มันพุ่งพรวดเลย
แสงสว่างมันพุ่งไปจิตมันก็พุ่งไปด้วย พุ่งไป
เรารู้เลยว่ามันจะไปดูศพแล้ว
เราก็กลัวรีบหายใจใหญ่ หายใจแรงๆ แรงๆ แรงๆ
ดึงจิตกลับมาที่กายได้ เฮ้อ โล่งใจกลับมาแล้ว
พอกลับมาปุ๊บพุ่งครั้งที่สอง คราวนี้แรงกว่าเก่าอีก
พลังที่ดีดออกไปแรงกว่าเก่า คุมไม่อยู่เลย พุ่งเข้าไป
ไปถึงหน้าโกดังเก็บศพ ไปเบรกได้ตรงประตู
เห็นเลยที่เขาใส่กุญแจเอาไว้
เบรกทันกลับมา เฮ้อ เหนื่อยเต็มทีแล้ว
พุ่งครั้งที่สามเข้าไปสำรวจในโลงศพเลย
ศพโน้น ศพนี้ ศพนั้น คนนี้ครูคนนี้อะไรอย่างนี้
ไปเจอศพของเตี่ยลงไปนอนทับเลย
จิตมันอุตริจริงๆ ลงไปนอนทับอยู่กับศพเลย
เหม็นจนขมในคอเลย เหม็น
นี่มันก็รู้เรียนรู้ศพจนพอใจ มันพอใจแล้วมันกลับมา
โอ้ มันร้ายจริงๆ เพราะจิตมันไม่ใช่เรา
มันอยากดูห้ามมันไม่ได้หรอก
ถ้าเราสมาธิไม่ดี เรากลับมาไม่เป็น
เราก็ไปสิง ไม่ใช่ผีสิงคนนี่คนสิงผี
น่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน
ฉะนั้นเรื่องของสมาธิ
ถ้าเล่นไปทางสมาธิควรจะอยู่กับครูบาอาจารย์
เกิดอะไรขึ้นครูบาอาจารย์ยังช่วยเราได้
ถ้าเราอยู่ห่างครูบาอาจารย์
อย่างเราเป็นฆราวาส เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์
เราอยู่บ้าน ทำสมาธิแต่พอสมควรพอให้จิตได้สงบ
จิตได้พักผ่อน จิตมีกำลังแช่มชื่น
แล้วเจริญปัญญาไปเลย
จะเจริญปัญญาด้วยการดูกาย หรือดูจิตอะไรก็แล้วแต่ถนัด ถนัดอะไรก็รู้อันนั้น
พอจิตเราเป็นผู้รู้ขึ้นมาแล้ว อย่างเราทำกรรมฐาน
เช่นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
จิตหนีไปเรารู้ จิตไปเพ่งลมหายใจเรารู้
แค่นี้พอแล้ว แล้วจิตมันจะค่อยๆ สงบ
มันตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเอง
จะไปไม่ผ่านนิมิตอันตรายทั้งหลายนั้น
มันจะสงบเข้ามาโดยไม่ต้องมีนิมิตอะไรหรอก
ได้อุปจารสมาธิ แล้วก็ถอนออกจากอุปจารสมาธิ
เวลาจิตมันขยับเขยื้อนอะไร
มันสุข มันทุกข์ มันดี มันชั่วอะไร
เราคอยรู้มันไปเรื่อยๆ อยู่ในชีวิตธรรมดานี้ล่ะ
รู้ไปเรื่อยๆ อยู่ในชีวิตธรรมดานี้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ
เราปฏิบัติในรูปแบบเพื่อให้จิตมีกำลัง
พอจิตเรามีกำลังแล้ว เราอยู่ในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติในชีวิตประจำวันทำอย่างไร
… ไม่ยาก เมื่อตาเห็นรูป
จิตเรามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น มีสติรู้ทัน
เมื่อหูได้ยินเสียง จิตเรามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น มีสติรู้ทัน
เช่น เราได้ยินเสียงคนเขาด่าเรา จิตเปลี่ยนแปลง
จิตโกรธขึ้นมาเรารู้ทัน
เราได้ยินเสียงคนเขาชมเรา ใจเราพอง กูเก่ง กูแน่ รู้ทัน
ฝึกอยู่ในชีวิตจริงๆ อย่างนี้
ตาเห็นรูปจิตเราเปลี่ยนแปลง เรามีสติรู้ทัน
หูได้ยินเสียง จิตเรามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทัน
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด
จิตมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทัน
นี่ล่ะเรียกว่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ก็อาศัยสติอีก เห็นไหม ก็ใช้สติอีกล่ะ
ฉะนั้นไม่ว่าจะศีล จะสมาธิ หรือการเจริญปัญญา
ต้องอาศัยสติทั้งนั้นเลย
นี้การเจริญปัญญามันทำได้หลายอย่าง
อยู่ข้างนอกในชีวิตประจำวันก็เจริญได้
ดูกายก็ได้ ดูเวทนาก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำได้สารพัด
เจริญปัญญาไป
หรือถ้าทำในรูปแบบจริงๆ จิตทรงฌานจริงๆ
ไปเจริญปัญญาอยู่ในฌาน
ซึ่งยุคของเราคนทำได้น้อย เพราะคนไม่ค่อยมีสมาธิ
ระดับฌาน ทำยาก
เพราะมือถือมันเข้าไปทุกหนทุกแห่งแล้ว
ของเราวันๆ หนึ่งเพ่งแต่มือถือ ลองดูก็ได้
ถ้าเวลาจ้องมือถือจิตมันถลำลงไปหรือเปล่า
ถลำจากมือถือ ถลำไปที่มือถือก่อน
ช็อตต่อไปถลำลงไปในรูปที่เห็น
ในเสียงที่ได้ยิน ในเรื่องราวที่คิด
ถ้าเรารู้ทันตรงนี้ ผู้รู้ก็เกิดเหมือนกัน
แต่ว่าคนที่จะดูมือถือแล้วเกิดผู้รู้
หลวงพ่อยังไม่เคยเห็นเลย
ทางทฤษฎีมันทำได้ ถ้าเราชำนาญแล้วมันทำได้
แต่ส่วนมากดูๆ จนเดินตกท่อยังไม่รู้เลย
อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง
แล้วจิตมันหลงไปตลอด หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิด
ฉะนั้นพยายามนะ อะไรที่จะยั่วให้สติเราแตก
ห่างๆ มันไว้หน่อย ยุ่งกับมันเท่าที่จำเป็น
ฉะนั้นเราพยายามพัฒนาสติของเราให้ดี
มีสติคุ้มครองจิตของตัวเองไว้
1
อย่างกิเลสเกิดเรามีสติรู้ทัน ศีลอัตโนมัติก็เกิด
เวลาเราทำกรรมฐานอยู่
จิตเราหลงไปหรือจิตเราถลำลงไปเพ่ง เรามีสติรู้ทัน
จิตผู้รู้คือจิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้องก็เกิดขึ้น
เวลาเราเจริญปัญญา ไม่ใช่เรื่องนั่งคิดแต่เราเห็น
เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นจิตเคลื่อนไหว
จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น
ตัวที่ไปเห็นกายเห็นใจเคลื่อนไหวนั่นล่ะ ตัวสติเป็นตัวรู้ทัน
จิตเราตั้งมั่นทรงตัวอยู่แล้ว มันจะแยกออกมา
อย่างเห็นร่างกายขยับ จิตมันเป็นคนรู้คนดู
มันจะรู้สึกทันทีเลย กายกับจิตคนละอันกัน
แยกทันที ขันธ์จะแยกทันทีเลยถ้าจิตเราตั้งมั่น
เพราะฉะนั้นถ้าจิตเราไม่ตั้งมั่น ขันธ์แยกไม่ได้หรอก
อย่างบางคนไปนั่งทำกรรมฐานอะไรต่ออะไร
บอกว่าแยกรูปแยกนามได้ แต่จิตไม่ตั้งมั่น
ไม่ได้แยกได้จริงหรอก แยกด้วยความคิดเอา
ฉะนั้นสมาธิไม่มี ปัญญาไม่เกิด
สมาธิอันนี้หมายถึงสัมมาสมาธิ สมาธิที่จิตตั้งมั่น
มีสติ มีความตั้งมั่น จิตอย่างนี้ถึงจะเจริญปัญญาได้
พอจิตเราตั้งมั่นมันจะรู้สึกเลย
ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่หายใจออก
เป็นของถูกรู้ถูกดู เป็นร่างกายก็เป็นวัตถุ
มีธาตุไหลเข้าไป มีธาตุไหลออกมา
หรือกินอาหารเข้าไปก็เป็นธาตุ
ขับถ่ายออกมาก็เป็นธาตุ
เห็นร่างกายเป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา นี่เดินปัญญา มีจิตตั้งมั่น
ถ้าไม่มีจิตตั้งมั่น เดินปัญญาไม่ได้จริงหรอก
เพราะไม่มีสมาธิ ปัญญาไม่เกิด
ได้อย่างมากก็ปัญญาจากการคิดเอา
ล้างกิเลสไม่ได้จริงหรอก
เพราะฉะนั้นเราจะต้องฝึกสติของเราให้ดี
คอยรู้ทันอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจเรา
คอยรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างตอนนี้จิตเราสุข หรือจิตเราทุกข์
ถ้าจะรู้ จะรู้ได้ไหมว่าตอนนี้จิตเราสุข หรือจิตเราทุกข์
หรือจิตเราเฉยๆ ไม่เห็นมันจะยากตรงไหนเลย
จิตสุขเราก็รู้ จิตทุกข์เราก็รู้ จิตเฉยๆ เราก็รู้
ตรงที่เรารู้ทันจิตใจของตัวเอง จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา
ตอนนี้จิตเราโกรธ ยากไหมที่จะรู้ว่าจิตเราโกรธ
ไม่ยากหรอก เพียงแต่คนทั่วไปละเลย
เวลาโกรธก็จะไปมองคนที่เราโกรธ
ไม่ได้มองว่าจิตกำลังโกรธ
มันพลาดกันตรงนี้เอง
ถ้าย้อนมาเห็นจิตที่กำลังโกรธ
มันจะเห็นความโกรธกับจิตคนละอันกัน
แยกกันทันทีเลย ขันธ์มันแยกทันทีเลย
ความโกรธเป็นขันธ์อันหนึ่งเรียกว่าสังขารขันธ์
จิตที่เป็นคนรู้อยู่ในวิญญาณขันธ์
ขันธ์มันแยก แล้วมันก็แสดงไตรลักษณ์
ไม่ได้ตั้งใจจะโกรธ มันโกรธได้เอง นี่แสดงอนัตตา
มันเห็นความโกรธอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวก็ดับ
พอเรารู้ทันทีจิตก็ดับไป ความโกรธก็ไม่เที่ยง
เส้นทางที่ปลอดภัย
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะพัฒนาสติ พัฒนาปัญญาของเรา ใครๆ ก็ทำได้แต่ละเลยที่จะทำ
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อบอก “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” ท่านสอนแค่นี้เอง
หลักๆ ที่หลวงพ่อเรียนกับท่านครั้งแรกแค่นี้เอง
หลวงพ่อเอามาคลำทางต่อ
“การปฏิบัติไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ”
อย่างเวลาเราเห็นคนที่เราโกรธ
หรือเราขับรถอยู่คนเขาปาดหน้าเรา เรามองอะไร
เรามองคนที่ปาดหน้าเรา
เลยไม่มองว่าจิตกำลังโกรธ
ถ้าเราจะรู้ทันว่าจิตตนเองกำลังโกรธ
แค่เห็นเขาปาดหน้าแล้ว ตัวนี้โกรธเรารู้ตัวนี้
ไม่ใช่ไปรู้ตัวโน้น
ย้อนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจตัวเอง
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเราเป็นนักปฏิบัติจริง
อยู่ในชีวิตประจำวัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ ให้มันกระทบไป
แต่ว่ากระทบแล้วจิตเราเกิดอะไรขึ้น
เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้
เกิดกุศลให้รู้ โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นให้รู้
ง่ายๆ ฝึกไปอย่างนี้
แล้วต่อไปมันจะเห็น จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ
จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วก็ดับ
จิตสุขเกิดแล้วก็ดับ จิตทุกข์เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่เป็นกุศลเกิดแล้วก็ดับ
สุดท้ายจิตมันปิ๊งขึ้นมาเลย จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ
จิตทุกชนิดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ตัวเราไม่มี
อาศัยการภาวนา มีสติไว้ แล้วพัฒนาศีล พัฒนาสมาธิ
พัฒนาปัญญา ขึ้นมา
ปัญญาที่หลวงพ่อแนะนำ ไม่ต้องไปทำในฌานหรอก
เพราะพวกเราไม่ค่อยได้ฌาน
เดี๋ยวไปเคลิ้มๆ เห็นโน่นเห็นนี่แล้วนึกว่าเป็นปัญญา
ที่จริงเป็นความฟุ้งซ่านของจิต
นั่งสมาธิแล้วเห็นพระพุทธเจ้ามาเทศน์ให้ฟัง
เรื่องของนิมิตทั้งสิ้น
เรื่องของนิมิต เรานั่งสมาธิอยู่แล้วเราเห็นพระพุทธเจ้า เราก็ดีใจ เราเจอพระพุทธเจ้า เราลืมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ข้อหนึ่ง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าท่านปรินิพพานแล้ว
มนุษย์และเทวดาจะไม่เห็นท่านอีกต่อไป
เราเก่งแค่ไหน เราไปเห็นท่านได้
ฉะนั้นต้องเห็นของปลอม
พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าไม่มีทางเห็นท่านหรอก
ทำสมาธิแล้วบางทีหลงไป หลงนิมิต
ฉะนั้นทางที่จะปลอดภัย
ถ้าเราอยู่ห่างครูบาอาจารย์
เจริญสติในชีวิตประจำวันไว้
ในรูปแบบทำ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตตัวเองไปเรื่อยๆ จิตจะมีสมาธิขึ้นมา ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ขึ้นมา
พอจิตเราตั้งมั่นแล้ว
อยู่ในชีวิตประจำวันเจริญปัญญาไป
เจริญสติ เจริญปัญญา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์
จิตเราเปลี่ยนแปลง มีสติรู้ทันไป
ถ้าจิตมันเปลี่ยนแปลงเรารู้ทัน
สมมติมันเป็นอกุศลเกิดขึ้น
เห็นคนนี้แล้วใจเราโกรธ
เราเห็นความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็ดับ
รับรองว่าเราไม่คิดชั่ว
คิดชั่วนี้เป็นมโนกรรม
เราไม่พูดชั่วนี้วจีกรรม
เราไม่ทำชั่วนี้กายกรรม ความชั่วก็ไม่มี
เราก็ละความชั่วลงไป
แล้วสติของเราก็มากขึ้นๆ
ศีล สมาธิ ปัญญาของเราก็ดีขึ้นๆ
กุศลของเราก็เจริญขึ้น
ความชั่วเราลดลง กุศลเจริญขึ้น
เรามีความเพียรชอบแล้ว
ค่อยสมเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าหน่อย
ศาสนาพุทธเป็นวิริยวาที
เน้นเรื่องความเพียร ไม่ใช่ไม่ต้องทำอะไรเลย
เมื่อเรามีความเพียรเต็มที่แล้ว
เราเห็นแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ
มีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้
นี่คือเรื่องกฎของกรรมทั้งสิ้นเลย
เราทำกรรมอย่างนี้ก็มีผล
ทำกรรมอย่างนี้ก็มีผล
ทำกรรมดีก็มีผล ทำกรรมชั่วก็มีผล รู้ทัน
ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราเลย มีแต่เรื่องเหตุกับผลทั้งสิ้น
กระทั่งเวลามรรคผลเกิดเราก็รู้
อริยมรรคเกิดขึ้นมาเพราะอะไร
เพราะว่าเราได้พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาของเราเต็มที่แล้ว
จิตก็เข้าถึงนิโรธ ถึงเห็นพระนิพพานได้
ระหว่างโลกุตตร เหตุก็คือมรรคมีองค์ 8
ส่งไปให้เกิดโลกุตตรผล คืออริยมรรค อริยผล
โลกีย เหตุก็คือตัวตัณหา
ส่งผลไปให้เกิดโลกียผลคือทุกข์
มันเป็นเรื่องเหตุ เรื่องผล
เรื่องกฎของกรรมทั้งสิ้นเลย
ไม่มีใครใหญ่กว่ากรรมหรอก
เพราะฉะนั้นหลายคนงมงาย เลิกเสีย
คิดว่ามีพระรุ่นนี้แล้วรวย โง่แล้ว
โง่ตั้งแต่เสียเงินไปซื้อพระเยอะๆ
เสียเงินไปแล้วมันจะรวยไหม
ไม่รวยหรอก ไม่มีสตางค์แล้ว
ฉะนั้นชาวพุทธอย่างมงาย
หลวงพ่อก็มีพระแจก สมัยก่อน
ทำไมต้องแจก
คนเขามาให้หลวงพ่อจะเก็บไว้ทำอะไร
หลวงพ่อก็แจกๆ ไป มันได้มาก็แจกไป
เอาไปขาย ลูกศิษย์มาถามว่า “ผมจนเต็มทีแล้วไม่มีจะกิน เอาไปขายได้ไหม”
หลวงพ่อก็บอก “หลวงพ่อให้ไปแล้วไม่ใช่ของหลวงพ่อแล้ว จะไปทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อ”
ไม่ได้ส่งเสริมให้พวกเรางมงาย
ไม่ใช่รุ่นนั้นดีรุ่นนี้ดี รูปพระพุทธเจ้า
ถ้าใจเรานึกถึงพระพุทธเจ้า ดีหมดเลย
ถ้ามีรูปพระพุทธเจ้าอยู่กับตัวแล้วทำชั่ว มันก็ชั่วนั่นล่ะ
ชั่วแบบไม่อายฟ้าอายดิน ไม่อายพระเลย
ก็ต้องรู้ ชาวพุทธเราอย่างมงาย
..
ลงทุนเพื่อพัฒนาจิตใจตัวเอง
ผลตอบแทนที่เราจะได้รับในวันหนึ่งข้างหน้า คือเราพ้นทุกข์
พวกเราภาวนานะ ตั้งอกตั้งใจเข้า
มีโอกาสเรียนรู้แล้วก็รีบทำไป ทำอย่างมีหลัก
ไม่ใช่ทำด้วยโลภ
มีเครื่องอยู่ ไม่มีเครื่องอยู่ไม่ได้
จิตจะเตลิดเปิดเปิงไปมองไม่เห็นหรอก สติไม่เกิดหรอก
ฉะนั้นต้องมีเครื่องอยู่คือมีวิหารธรรมไว้
แล้วก็มีความเพียรแผดเผากิเลส
อย่างบางคนไม่ได้คิดจะแผดเผากิเลสเลย
เรียกไม่มีอาตาปี
วิหารธรรมก็ไม่มี กิเลสมาก็ปล่อยให้มันครอบ
นี่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย
ไม่มีวิหารธรรม ไม่มีอาตาปี
ไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัวว่าตัวเองควรจะปฏิบัติอะไร
ถ้าไม่มีสติ อะไรเกิดขึ้นในกายไม่รู้
อะไรเกิดขึ้นในใจไม่รู้
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เอาดีไม่ได้
ก็แค่ว่ามาฟังเทศน์เอาบุญ สะสมไว้
อีกหลายภพหลายชาติถ้าบุญบารมีเพิ่มขึ้น
ไปเจอพระเมตไตรย ฟังธรรมแล้วก็บรรลุ
ก็สะสมอย่างนั้นก็แล้วแต่
ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นโลกมันหอมหวานอยู่
คนที่เห็นโลกเป็นทุกข์ถึงจะพ้นจากโลกได้
ถ้าเราเห็นโลกหอมหวานเรายังไม่พ้น
แสดงว่าอินทรีย์เรายังไม่พอ แก่กล้าไม่พอ
แก่กล้าไม่พอแล้วทำอย่างไร
สะสมไป ศีลรักษาไว้ ทุกวันทำในรูปแบบ
เจริญสติในชีวิตประจำวันไว้ สะสมของเราไปให้มากๆ
ถ้าบุญบารมีเราพอแล้ว
เราก็อาจจะได้มรรคผลในชีวิตนี้
ถ้ายังไม่พอมันก็ไปได้ในชาติต่อๆ ไป จะได้ง่ายๆ
ถ้าไม่มีต้นทุนเลย ไปภาวนาเอาโดยไม่มีต้นทุนเก่าเลย มันก็ลำบาก มันเหมือนคนไม่มีทุน จะทำมาหากินอะไรก็อัตคัดไปหมด บางคนมีทุนเยอะแล้วก็ใช้ทุนนั้นลงทุนไป ก็ร่ำรวยขึ้นมา
ในทางธรรมะเหมือนกัน เรามีต้นทุนที่ดี
อย่างพวกเรา หลวงพ่อถือว่าเป็นผู้มีต้นทุน
อย่างน้อยเราศรัทธา เราสนใจในพระศาสนา
ในโลกมีคนตั้ง 7,000 – 8,000 ล้านคน
มีสักกี่คนที่จะสนใจพระพุทธศาสนา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของคนส่วนน้อย
เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะมันเป็นศาสนาของปัญญา
ศาสนาของการช่วยตัวเอง
คนที่จะเดินในเส้นทางนี้มีได้ไม่มากหรอก
เราก็พยายาม พวกเราก็ถือว่ามีต้นทุนอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว
ก็รู้จักลงทุน รู้จักลงทุนเพื่อขยายทุนของเราต่อไป
ลงทุนก็คือปฏิบัตินั่นล่ะ
ศีลรักษา สมาธิต้องฝึก ปัญญาต้องหัดเจริญ
นี่เรียกเราขยายทุนของเราที่เรามีอยู่
ต้นทุนแท้ๆ ของเราที่พวกเรามี
คือเรามีกายนี้ เรามีใจนี้ เรามีขันธ์ 5 ที่ดี
เราไม่ได้บ้า ใบ้ บอด หนวกมาแต่กำเนิด
เรามีขันธ์ 5 ที่สมบูรณ์มาแล้ว
ขันธ์ 5 นี้เป็นต้นทุนเดิมของเรา
เรียกว่าเป็นกรรมเก่าของเรา
เราก็มาทำกรรมใหม่ที่ดี
ทำทาน ถือศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา
สะสมของเราไป
ถ้าบางคนทุนน้อยแต่หากินเก่งก็รวย
ต้นทุนเก่าของเราอาจจะน้อย
แต่ว่าเราตั้งอกตั้งใจภาวนา วันหนึ่งเราก็รวย
รวยด้วยอริยทรัพย์ อาจจะได้มรรคได้ผลอะไรไปเลย
บางคนต้นทุนมากเขาภาวนาง่ายหน่อย
แต่บางคนได้มรดก ได้ต้นทุนมาก
แล้วทำความหายนะ มีไหม
รวยๆ แล้วก็ทำแต่เรื่องไม่ดี เรื่องอบายมุขทั้งหลาย
มีต้นทุนอยู่ก็ละลายหายนะไปหมด
เพราะฉะนั้นพวกเราถือว่ามีต้นทุนดี เรายังมีศรัทธา
เรารู้ว่าสิ่งที่ควรจะเรียนรู้
คำสอนของพระพุทธเจ้าควรจะเรียนรู้
เราก็พยายามมาเรียนรู้ มีวิริยะเข้าไป ขยันภาวนา
ขยันไป มีสติรักษาศีล มีสติเจริญสมาธิ
มีสติเจริญปัญญาไป
เราเพิ่มทุนของเราอย่างรวดเร็วเลย
คนมีเงินแล้วไปลงทุน
เงินเท่าๆ กัน ลงทุนไม่เหมือนกัน ผลตอบแทนก็ต่างกัน
เราทุกคนมีต้นทุนเท่าๆ กันหรือใกล้เคียงกัน
อย่างเรามีขันธ์ 5 มาเหมือนๆ กัน มีขันธ์ที่ดีด้วย
แล้วเราภาวนาถูกต้อง กำไรเยอะ
อาจจะได้มรรคได้ผล
มีต้นทุนดีแต่ภาวนาไม่ดี งมงายอะไรต่ออะไรไป
ก็ไม่ได้เรื่องอะไร ลงทุนแล้วบางทีขาดทุนด้วย
มันก็คล้ายๆ การลงทุนนั่นล่ะ
แทนที่จะลงทุนเพื่อผลประโยชน์อย่างโลกๆ
นี้คือการลงทุนเพื่อพัฒนาจิตใจตัวเอง
ผลตอบแทนที่เราจะได้รับในวันหนึ่งข้างหน้า
คือเราพ้นทุกข์
พ้นทุกข์ก็คือ จิตมันวางขันธ์ ขันธ์นั่นคือตัวทุกข์
พอจิตมันวางขันธ์ได้ จิตมันพ้นทุกข์ได้
มันก็เข้าถึงสันติสุข มันเข้าถึงสันติ
นิพพานคืออะไร
นิพพานคือสันติ นิพพานคือความสงบ
นี้พวกเราจะลิ้มรสชาติ
เราภาวนาไปเรื่อยเราก็จะได้รสชาติของความสงบ
นิพพานเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน
จิตเราได้สมาธิก็เป็นนิโรธชนิดหนึ่ง
สมาธิเป็นนิโรธอย่างหนึ่ง
จิตเราไปเจริญปัญญาเราก็ละความเห็นผิดไป
ก็เป็นนิโรธอย่างหนึ่ง
ตอนเกิดอริยมรรคก็เป็นนิโรธอย่างหนึ่ง
ตอนเกิดอริยผลก็เป็นนิโรธอันหนึ่ง
ตอนนิพพานก็เป็นนิโรธอันหนึ่ง
5 อัน ถ้าเราทำเราก็จะสัมผัสสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ
อย่างใจเราฟุ้ง เราภาวนาจิตสงบก็ได้นิโรธ
ได้วิมุตติในขั้นต้นๆ แต่ยังไม่ใช่ตัวอริยมรรค อริยผล
5 ตัว
- สงบเพราะสมถะ
- สงบเพราะวิปัสสนา
สงบของวิปัสสนาคือสงบจากความโง่
สงบจากสมถะ สงบจากนิวรณ์
สงบด้วยวิปัสสนาสงบจากความโง่
- สงบของอริยมรรค
- สงบของอริยผล
- สงบคือพระนิพพาน สงบอย่างยิ่ง
เราจะพบว่ายิ่งเราสงบเข้าไป เรายิ่งมีความสุข
ยิ่งเราวุ่นวายเรายิ่งมีความทุกข์
ค่อยๆ ภาวนา
เราจะเดินไปสู่ความสงบสุขในวันหนึ่งข้างหน้า …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 สิงหาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา