6 ก.ย. 2022 เวลา 23:08 • ไลฟ์สไตล์
“การสร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในใจของเราเป็น priority แรก”
“ … การที่เราคอยระมัดระวังสังเกตจิตใจของเราให้ดี มันเริ่มมาจากความคิดนั่นล่ะ ถ้าความคิดของเราถูกกิเลสครอบงำ คำพูดและการกระทำของเราก็ถูกกิเลสครอบงำไปด้วย
อย่างคนเมื่อกี้ เขาถือว่าก็ไก่ของเขาเลี้ยงไว้เอง เขาจะฆ่ากินก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้ไปฆ่าไก่คนอื่น ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ลืมไปว่าเบียดเบียนสัตว์ ใจคิดประหัตประหารไก่ มันก็เป็นบาป
บี้มด ไม่เห็นมีใครบอกว่าบี้มดแล้วผิดกฎหมายเลย ไม่ใช่สัตว์สงวน ไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง บี้ๆๆ อกุศลก็ให้ผล อันนี้ทำไปด้วยโมหะ
เบียดเบียนด้วยโมหะ เบียดเบียนด้วยความไม่รู้กฎแห่งกรรม อย่างนี้เรียกว่าจิตมันมีวิหิงสาวิตก มันคิดเบียดเบียนด้วยโมหะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
เพราะฉะนั้นเราพยายามสังเกตจิตใจของเรา
จิตใจของเรามันคิดโน้นคิดนี่
มันคิดไปด้วยอำนาจของราคะหรือเปล่า
คิดไปด้วยอำนาจของโทสะหรือเปล่า
คิดไปด้วยอำนาจของโมหะหรือเปล่า
โมหะอย่างที่เล่าให้ฟัง ตัวอย่างของคุณตาเมื่อกี้ อันนั้นมีโมหะ ไปฆ่าไก่ รู้สึกไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย อันนั้นเบียดเบียนด้วยความไม่รู้ ด้วยโมหะ
ฉะนั้นจุดสำคัญสังเกตใจของเรา
มันคิดทั้งวันล่ะ ห้ามมันไม่ได้
แต่มันคิดเพราะอะไร สังเกตดู
โดยเฉพาะถ้ามันเกิดความคิดที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นทำอย่างไร ปฏิสัมพันธ์ทางวาจา ปฏิสัมพันธ์ทางกาย ไปชกไปต่อยเขา หรือไปลูบไล้เคล้าคลึงเขาอย่างนี้ อะไรที่อยู่เบื้องหลัง
อย่างพระเห็นไหม โยมมาก็ลูบหัวให้อะไรอย่างนี้ อะไรอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นพระไม่ดี เห็นสาวๆ มา ไปลูบ อันนี้สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือราคะ อันนี้ผิดแน่นอน
ถ้าผู้ชายมาก็ไปลูบให้ ผู้หญิงมาก็ให้พร อย่างนี้ทำด้วยใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ด้วยความเมตตา
เราสังเกตดู อย่างเรากอดหมากอดแมวอย่างนี้ เวลาเราอุ้มแมวของเรา สังเกตจิตดูอะไรที่ทำให้เราคิดจะอุ้มแมวนี้ ความเมตตาหรือราคะ เกือบร้อยละ 100 คือราคะ
แค่อุ้มแมว ใครเลี้ยงแมวบ้าง ลองยกมือสิ ในนี้มีไหม มันก็เลี้ยงกันเยอะแยะ ในวัดนี้ก็มีหลายตัว ในวัดนี้คนชอบเอาแมวมาปล่อย พระก็ต้องให้ข้าวมันกิน พาไปฉีดยา
พระเลี้ยงแมว แล้วแมวมันก็ไปเลี้ยงงู ไปเลี้ยงเหี้ย โอกาสรอดยาก เพราะฉะนั้นอย่าเอามาปล่อย เอาหมาเอาแมวมาปล่อยในวัดนี้ไม่ค่อยรอดหรอก สัตว์ที่มันกินเนื้อมีเยอะในนี้
อย่างเราอุ้มแมว ใจเรา หูย น่ารักๆๆ นี่ราคะ
เราเห็นเด็กๆ ไม่ต้องลูกตัวเอง ลูกคนอื่นก็ได้ แต่มันน่ารักหน่อย อุ้ม ราคะก็เกิด ยินดีพอใจ รักใคร่ผูกพันอะไรอย่างนี้
นี่ค่อยๆ สังเกต ไม่ว่าทำอะไร นิดๆ หน่อยๆ
บางทีแค่จะวางจานอาหาร สมมติเราเป็นพนักงานเสิร์ฟ เราเห็นโต๊ะนี้ท่าทางใจดี น่าจะทิปเยอะ เวลาวาง วางนุ่มนวลอะไรอย่างนี้ อีกคนหนึ่งท่าทางมันร้าย เกลียดขี้หน้ามัน แกล้งวางโครมเลย
ทำไมเราวางจานนี้แรง ทำไมวางจานนี้เรียบร้อย
อะไรอยู่เบื้องหลัง
ใจของเรานี้มันผิดตั้งแต่มโนกรรมแล้ว มันคิดไม่ดี
เพราะฉะนั้นเราสังเกตให้ดี
การที่เราคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของเราเรื่อยๆ
กิเลสจะเสื่อมลง กุศลจะเจริญขึ้น
ถ้าเราสังเกตใจของเราได้ การปฏิบัติธรรมจะไม่ใช่เรื่องยากเลย ศีลของเราจะดีอัตโนมัติเลย แล้วก็กิเลสที่มีอยู่จะค่อยๆ ถูกลดถูกละไป กุศลก็จะเจริญขึ้นๆ
อย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็ก การที่เรารู้เท่าทันสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรานั้น มันจะทำให้องค์มรรคที่เหลือเจริญขึ้นได้
พอคำพูด การกระทำ การเลี้ยงชีวิตของเราสะอาดหมดจด
อกุศลที่เคยมีก็ไม่มี ดับไป
อกุศลใหม่ก็ไม่เกิด กุศลที่ยังไม่มีก็มี
กุศลที่มีแล้วก็เจริญ นี่คือสัมมาวายามะ
แล้วการที่เราคอยรู้เท่าทันสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำทั้งหลายของเรา มันจะทำให้สติของเรานี้ดีขึ้นๆ เพราะฉะนั้นสัมมาวายามะที่มากที่บริบูรณ์ ก็จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ขึ้นด้วย
อย่างเรารู้เท่าทัน กิเลสเกิดขึ้นมาเรารู้
ถ้ารู้ตรงนี้ไม่ทัน มันก็ครอบงำความคิด คำพูด การกระทำ
รู้ตรงนี้ก็ยังดี ถ้ารู้ไม่ทัน ใจของเราก็เป็นอกุศลแล้ว เต็มร้อย
เราก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส
แต่ถ้าเรามีสติคอยรู้ทัน สติของเราก็จะไวขึ้น
ทีแรกต้องหลงตั้งนานถึงจะรู้
ต่อมาหลงสั้นๆ ก็รู้
แต่ทีแรกก็ต้องโกรธนานๆ ถึงจะรู้ ต้องโกรธแรงๆ ถึงจะรู้
ต่อไปโกรธปุ๊บรู้ปั๊บ ขุ่นใจเล็กๆ ก็มองเห็นแล้ว
นี่สติมันพัฒนาขึ้น
การที่เราคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของเราเรื่อยๆ กิเลสจะเสื่อมลง กุศลจะเจริญขึ้น ตัวกุศลเริ่มตั้งแต่ตัวสตินั่นล่ะ ศีล สมาธิอะไรพวกนี้ มันจะเกิดขึ้นมาหมดล่ะ
เพราะสติเราจะดีขึ้นๆ กิเลสเกิดปุ๊บรู้ปั๊บๆ หรือกุศลเกิดก็รู้ กิเลสเกิดก็รู้ นั่นล่ะคือการเจริญสติปัฏฐานๆ ในหมวดของจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตเรามีกิเลส เรารู้ จิตไม่มีกิเลส เรารู้
สติปัฏฐานเมื่อเจริญให้มาก จิตจะค่อยๆ มีกำลังๆ มากขึ้นๆๆ สุดท้ายจิตจะรวมลง สัมมาสมาธิในขั้นละเอียดก็จะเกิดขึ้น
ตรงที่เรามีสติเห็นสภาวะ เห็นกิเลสเกิดดับๆ ไปเรื่อย เรามีสมาธิเป็นขณะๆ พอเราสะสมไปเรื่อยๆ จิตมันมีกำลัง จิตมันรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเข้าฌาน
ถึงชาตินี้ยังไม่เคยเข้าฌาน ไม่ต้องตกใจ
มีสติให้ถูกต้อง มีศีลให้ถูกต้อง
จิตมันจะรวมเข้าสมาธิที่ถูกต้องเอง
สัมมาสมาธิคือตรงจิตที่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ พระพุทธเจ้าอธิบายสัมมาสมาธิด้วยฌาน
ไม่ใช่ด้วยขณิกสมาธิ ด้วยอุปจารสมาธิ
ท่านอธิบายสัมมาสมาธิด้วยฌาน
ทีนี้เราเข้าฌานไม่เป็น เราเจริญสติรู้ทันกิเลสตัวเองเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไป จิตมันจะค่อยๆ สะสมกำลัง มีกำลังตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา รวมปุ๊บลงไปโดยไม่เจตนา
ตรงนั้นล่ะ จิตรวมลงไปแล้ว
ตรงนี้ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าอย่างหลวงปู่มั่น
ท่านเรียกจิตรวมตัวนี้ว่าจิตรวมใหญ่
จิตรวมใหญ่คือมันเป็นที่รวมของศีล สมาธิ ปัญญา
ทั้งหมดเลยรวมเข้าด้วยกัน
ตรงที่เรามีสติเห็นสภาวะ เห็นกิเลสเกิดดับๆ อะไรนี่
เราได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งปัญญา
ค่อยๆ สะสมๆ พอมันพอ จิตมันรวมใหญ่เอง
พอจิตมันรวมใหญ่แล้วกระบวนการล้างกิเลสก็จะเกิดขึ้น แต่เดิมเราล้างกิเลสด้วยการมีสติรู้ทันมัน หรือบางทีเราก็ใช้สมาธิ อย่างจิตเรามีราคะรุนแรง เราก็พิจารณาปฏิกูลอสุภะ อันนี้ล้างไปด้วย แก้ไปด้วยสมาธิ
แต่ตอนที่เราเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์แล้ว เพราะสติของเราสมบูรณ์แล้ว จิตรวมลงไป มันจะล้างกิเลสที่ละเอียด ล้างสังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดใจของเราให้เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ไปเรื่อยๆ จะล้างกิเลสตัวนี้ลงไป
เพราะฉะนั้นกระบวนการตรงนี้ จิตมันเป็นเอง มันทำเอง
ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้
มรรคผลเกิดขึ้นเองเมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราบริบูรณ์
ศีล สมาธิ ปัญญาของเราจะบริบูรณ์ได้ ทฤษฎีชี้นำต้องถูก
ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นหรอก เพื่อพ้นทุกข์
จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องรู้
ถ้ากิเลสครอบงำจิตได้
มันก็ปรุงแต่งความคิด คำพูด การกระทำที่เลวออกมา
มันก็เวียนว่ายไปสู่ความทุกข์
ถ้าเรามีสติรู้ทันๆ ไปเรื่อย สติเราก็จะแข็งแรงขึ้น
จิตเราก็จะมีกำลังมากขึ้นๆ
มันตั้งมั่นขึ้นมาเองแล้วปัญญามันก็เกิด
มันก็เห็นสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับไป
ทุกสิ่งเกิดแล้วทุกสิ่งดับ
แต่เดิมภาวนา เราก็อยากให้จิตของเราดีอย่างนี้
ภาวนาไปถึงจุดหนึ่งจะรู้เลยจิตก็ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี
นี่เป็นปัญญาที่มันเกิดขึ้น
แล้วอริยมรรคก็เกิดขึ้นในขณะนั้นล่ะ
ศีล สมาธิ ปัญญาประชุมรวมกันที่จิต
ในขณะจิตเดียวด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ เป็นที่รวม
จิตเป็นที่รวมเป็นภาชนะ
แต่จิตนั้นจะต้องเป็นจิตที่ทรงสัมมาสมาธิจริงๆ
ถึงจะเป็นภาชนะที่รองรับคุณงามความดี
ทุกสิ่งทุกอย่างให้มาประชุมกัน
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ฟังแล้วเยอะ
ภาวนาไปอย่างที่หลวงพ่อบอก มันเกิดขึ้นครบเอง
แล้วมันจะรวมตัวเข้าที่จิตในขณะจิตเดียวด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ แล้วมันจะล้างกิเลส กระบวนการนี้จะเกิด 4 ครั้ง ครั้งที่สี่ก็คือกิเลส คือความไม่รู้อริยสัจถูกทำลายไป นี่คือเส้นทาง
เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตั้งใจปฏิบัติ
คอยรู้เท่าทันจิตใจตนเอง
อะไรที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรา
อะไรที่อยู่เบื้องหลังคำพูด
อะไรที่อยู่เบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของเรา
2
รู้บ่อยๆ นั่นล่ะเป็นสัมมาวายามะในตัวเอง
เป็นสัมมาสติในตัวเอง
เราก็สร้างสมาธิโดยอัตโนมัติขึ้นด้วยตัวเอง
แล้วสุดท้ายมรรคผลมันจะเกิดขึ้น
ถ้าคิดผิด มันก็พูดผิด ทำผิด เลี้ยงชีวิตผิด
สัมมาวายามะก็ไม่มี มีแต่กิเลส ไม่มีการล้างกิเลส
สติก็ไม่มี มีแต่หลง สมาธิก็ไม่มี มีแต่ฟุ้งซ่าน
เพราะฉะนั้นเราไปทำ แล้วชีวิตเราจะได้ร่มเย็นเป็นสุข
ก่อนหลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อก็จะนั่งทำใจสบายๆ แล้วก็ตั้งคำถาม วันนี้เราจะเทศน์เรื่องอะไรดีหนอ บางทีก็มาตั้งคำถามตอนอยู่หน้าพวกเรา
วันนี้ว่างๆ มีเวลาตั้งคำถาม วันนี้จะให้เทศน์เรื่องอะไรดี ที่พวกเราจะได้ประโยชน์อะไรอย่างนี้ ใจมันก็บอกวันนี้ให้เทศน์เรื่องศีล
ฉะนั้นศีลของเราจะเกิดได้ถ้าเรารู้ทันความคิดของเรา
ศีลเราดี คำพูดการกระทำดีหมด
ความเพียรถูกต้อง เกิดความเพียรชอบเองอัตโนมัติ
เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิอัตโนมัติขึ้นมา
ภาวนาทุกวันๆ อย่าละเลย
พวกที่นั่งอยู่ในศาลา ที่หลวงพ่อสอนวันนี้รู้เรื่องไหม อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด
บางทีรู้สึกคิดดีๆ คิดอยากทำความดีอย่างโน้นอย่างนี้ ลึกๆ มีกิเลสแฝงไหม ให้รู้ทัน จะทำบุญ ทำเพื่อจะเอา หรือทำเพื่อจะลดเพื่อจะละอะไรอย่างนี้ สังเกตตัวเองไป
คนที่จะทำเพื่อจะเอา ถ้ามีบุญ มันก็ได้ๆ แต่ไม่ว่าเราได้อะไรมา มันก็เจือความทุกข์มาด้วยล่ะ
มีเงินเยอะๆ ก็ทุกข์ มีโน่นนี่ก็ทุกข์ไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นทำความดี ทำเพื่อลดละกิเลส
เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว
ทำไปเพื่อสงเคราะห์โลก สงเคราะห์ผู้อื่น
สงเคราะห์สัตว์อื่นอะไรอย่างนี้
มีโอกาสทำก็ทำ ไม่มีก็ไม่ต้องกลุ้มใจ ค่อยๆ ทำไป
อย่างพวกเราบางทีเอาเงินมาให้หลวงพ่อ หลวงพ่อรวมๆ ไว้ บางทีก็เอาไปให้โรงพยาบาลให้อะไร ทำบุญตามโรงพยาบาล ตามอะไรอย่างนี้
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยไปทำที่วัด ที่หลวงพ่อทำ ไม่ได้บอกพวกเราว่าอย่าไปทำบุญกับวัด เดี๋ยววัดอื่นเขามาเหยียบหลวงพ่อ
แต่หลวงพ่อมองว่าตอนนี้ชาวโลกเดือดร้อนมาก แทนที่เราจะไปสร้างวัตถุอะไรมากมายท่ามกลางความเดือดร้อนของผู้คนอะไรนี่ มันไม่ใช่ priority แรก ตอนนี้คนลำบากก็ช่วยคนก่อน
ส่วนการรักษาธรรมะ หลวงพ่อพยายามให้ธรรมะ รักษาศาสนา ให้ธรรมะ ไม่ค่อยได้ชวนพวกเราสร้างวัตถุอะไรมากมายนักหรอก
ถาวรวัตถุในศาสนา เราสร้างกันไว้มากมาย เสร็จแล้วก็ต้องบำรุงรักษาๆ ชาวบ้านไม่ศรัทธาก็ต้องหาอุบาย จัดงานโน้นงานนี้ ทำวัตถุมงคลขาย ทำอะไร จำเป็น
ถามว่าวัดจำเป็นไหม ก็จำเป็น มีเสนาสนะ มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ก็ต้องบำรุงรักษาอะไรอย่างนี้
ถ้าเรามัวรักษา เรามัวแต่สร้างแต่วัตถุ แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับสร้างชาวพุทธ ต่อไปวัตถุอันนี้ก็ไม่มีอะไร ก็เป็นที่ท่องเที่ยวเฉยๆ
คนที่มาเที่ยวไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะชาวพุทธสูญพันธุ์ไปแล้ว เหมือนในหลายๆ ประเทศใช่ไหม เขามีพุทธศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ แต่มันไม่มีชาวพุทธ
เพราะฉะนั้นจุดสำคัญในการรักษาศาสนา ตอนนี้ไม่ใช่การสร้างโน่นสร้างนี่หรอก แต่คือการสร้างชาวพุทธ สร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในใจพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย
เราเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้ว ใจมันจะอยากรักษาพระศาสนาเอง อยากรักษาวัดขึ้นมาเอง ไม่ต้องหลอกลวง อย่างวัดหลวงพ่อไม่เห็นต้องเคยเรี่ยไรสักบาทหนึ่งเลย พวกเราก็มาช่วยกันทำ สร้างโน้นสร้างนี้ ต้องคอยห้ามด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นอย่างทำบุญทำอะไร เราดู อะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุด เงินทองของเรามีจำกัด อันไหนทำไปแล้วได้ประโยชน์กับคนอื่น ไม่ใช่ได้ประโยชน์ของเรา
พูดอย่างนี้ไม่ได้บอกว่าอย่าไปทำบุญกับวัด เดี๋ยวขอแถลงข่าวก่อน เดี๋ยวถูกตื้บไม่ใช่อะไรหรอก วัดต่างๆ เขาก็ลำบาก
อย่างพระเราปล่อยกุฏิทรุดโทรมก็ไม่ถูก พระมีหน้าที่รักษาเสนาสนะ ไปสร้างกุฏิ สร้างวิหาร สร้างอะไรกันไว้ใหญ่โต แต่พระไม่มี วัดหนึ่งๆ มีพระนิดเดียว แค่กวาดวัดก็ไม่มีแรงจะกวาดแล้ว มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์มันน้อย
ฉะนั้นการสร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในใจของเราเป็น priority แรก
พอเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราก็รู้แล้วอะไรควรอะไรไม่ควร
อันไหนก่อนอันไหนหลัง
อย่างคนจะจมน้ำตายกับเราจะหล่อพระประธาน ควรจะทำอะไรก่อน จะไปงานหล่อพระแล้ว คนกำลังจะจมน้ำ ก็ต้องรู้จัก คนจะอดตายอยู่ เรี่ยไรอุตลุด มันถูกไหม ก็ต้องรู้จักนะเป็นชาวพุทธ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์​ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
21 สิงหาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา