22 ธ.ค. 2022 เวลา 01:00 • ไลฟ์สไตล์
“สามารถปลอดภัยอยู่ได้ในท่ามกลางสิ่งซึ่งมันไม่ดี
อันนี้อยู่ที่เราฝึกฝนตัวเอง”
“ … ความสุขทางโลกหลวงพ่อรู้จักมาอย่างดี เพราะกว่าหลวงพ่อจะบวชอายุมาก 48 แล้วกว่าจะได้บวช
ถามว่าชีวิตลำเค็ญหรือถึงมาบวช ไม่ใช่ หลวงพ่อมีทุกอย่างที่ชาวโลกเขาว่าดี เรามีทั้งนั้น แต่เราเห็นความไม่มีสาระแก่นสาร
แย่งชิงสิ่งต่างๆ มา วันหนึ่งก็เอาไว้ไม่ได้
มันสู้ลงมือปฏิบัติธรรมไม่ได้ ชีวิตมันร่มเย็น
มีความสุขท่ามกลางความวุ่นวาย
ท่านพุทธทาสท่านเปรียบบอกเหมือนลิ้นของงู
อยู่ในปากของงู อยู่ในที่ที่ไม่ดี อันตรายแต่ปลอดภัย
สามารถปลอดภัยอยู่ได้ในท่ามกลางสิ่งซึ่งมันไม่ดี
อันนี้อยู่ที่เราฝึกฝนตัวเอง
เรียนธรรมะแล้วลงมือปฏิบัติให้ถูกมันจะไม่เครียด
แต่ถ้าปฏิบัติผิดก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก
คนก็ชอบคิดแปลกๆ ว่าคนปกติไม่ควรปฏิบัติธรรม เดี๋ยวเป็นบ้า แต่คนบ้าชอบเอาส่งมาให้บวช กะว่าจะได้หายบ้า คิดพิลึกๆ มาก
อย่างคนจะมาบวช หรือคนจะปฏิบัติธรรม ร่างกายต้องพร้อม จิตใจต้องพร้อม ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
การปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะอย่างถ้าจะบวช มันเหมือนเข้าสนามรบเลย เป็นนักรบที่ร่างกายก็อ่อนแอ จิตใจก็อ่อนแอ มันสู้กับใครไม่ได้ สู้กิเลสไม่ไหว
ฉะนั้นพวกเราตอนนี้ยังมีกำลังอยู่ ตั้งอกตั้งใจภาวนา วันข้างหน้าชีวิตทุกข์แน่นอน เงียบเหงาอะไรต่ออะไรเป็นแน่นอน เพราะว่าต้องอยู่ตามลำพัง
ฝึกอยู่กับกรรมฐานของเราให้ได้
เป็นเพื่อนคู่ชีวิตของเราให้ได้
คนอื่นไม่ใช่คู่ชีวิตที่แท้จริงของเรา
ถึงจุดหนึ่งก็ต้องจากกันไปหมด
จากเป็นบ้าง จากตายบ้าง
คนที่จะเป็นคู่ชีวิตของเราก็คือตัวอารมณ์กรรมฐานของเรานี่ล่ะ
อย่างหลวงพ่อฝึก กรรมฐานที่หลวงพ่อใช้ ใช้อานาปานสติควบกับพุทโธ
เราสามารถอยู่คนเดียวได้ ไม่เงียบไม่เหงา
อยู่ตรงไหนเราก็มีความสุข มีความสงบอยู่ได้
เห็นทุกอย่างมันผ่านไปเรื่อยๆ
แต่ใจเราไม่เข้าไปยินดีไม่เข้าไปยินร้ายกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ใจมันมีความสุข สงบ ไม่ยุ่ง
เคยไปนอนโรงพยาบาลติดต่อกันรอบแรก 4 เดือนครึ่ง คนมาถามเรื่อยว่าหลวงพ่อเบื่อไหมอยู่โรงพยาบาล
ไม่เบื่อ เรามีเพื่อน เราหายใจของเราไป
รอบหลังไปปลูกถ่ายไขกระดูก อยู่ 28 วันออกมาแล้ว โดยเฉลี่ย เขาอยู่กัน 45 วัน
ออกมาได้เร็วเพราะสุขภาพจิตเราดี
เราไม่เครียด เราไม่กลุ้ม
เจ็บเราก็เห็นร่างกายมันเจ็บ ใจมันไม่ได้เจ็บ
ปวดตรงโน้นปวดตรงนี้
เห็นร่างกายมันเป็น ใจเราไม่เกี่ยว
ใจเราเป็นคนรู้คนเห็นเท่านั้นเอง
เมื่อจิตใจมันเข้มแข็ง มีความสุข มีความสงบ มันก็มีกำลัง
ถ้าเราตั้งใจมั่นว่าเราจะหายเร็วๆ มันก็หายเร็ว
ถ้าใจเราอ่อนแอ ไม่สบายขึ้นมานิดๆ หน่อยๆ
ใจอ่อนแอก็เป็นหนัก แป๊บเดียวก็ตายแล้ว
ฝึกตัวเองตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่
มีครูบาอาจารย์ทางอีสานท่านเล่าให้ฟัง ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว แต่ก่อนท่านเป็นเจ้าคณะภาค อยู่วัดสุทธจินดา
ท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟัง ญาติท่านจะมาตรวจร่างกายในโคราช ที่โรงพยาบาลที่โคราช ก็นั่งปิคอัพมากัน มาหลายคนสดชื่นรื่นเริงมาเลย กะว่าเดี๋ยวตรวจร่างกายแล้วก็จะออกเที่ยวในเมืองอะไรอย่างนี้
ตอนเช้าไปตรวจยังไม่รู้ผล ตอนบ่ายก็เที่ยวเฮฮาสนุก เช้าวันรุ่งขึ้นไปฟังผล เป็นมะเร็งขั้นแรก ตกใจ เดินไม่ได้แล้ว
จากคนแข็งแรงเฮฮากลายเป็นเดินไม่ได้
เพื่อนต้องหิ้วปีก ญาติๆ หิ้วปีกมาที่วัด
มาลากลับบ้าน กลับไปไม่กี่วันตายไปแล้ว
ไม่ได้ตายเพราะมะเร็ง
แต่ตายเพราะใจมันเสีย กังวลมาก เครียดมาก
ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกตัวเองตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่ ยังมีกำลังอยู่ต้องฝึก เดินจงกรมได้ก็เดิน นั่งสมาธิได้ก็นั่ง แต่ต้องทำด้วยความมีสติ
ถ้าเดินจงกรมไม่มีสติ
เดินแล้วบางคนก็เดินใจลอย เสียเวลา
ไม่มีประโยชน์
บางคนเดินแล้วก็บังคับตัวเอง เคร่งเครียด
กำหนดจนเครียดไปหมดเลย
อันนั้นก็ไม่มีประโยชน์
ไปเดินทำไมให้มันทุกข์มากขึ้น
ถ้าเดินก็เดินให้เป็น เดินด้วยความมีสติ
เห็นร่างกายมันเดิน ใจเป็นคนดูไป
พวกอภิธรรมบอก
รูปมันเคลื่อนไหว นามเป็นคนรู้
ก็พูดภาษาที่คนไม่ค่อยรู้เรื่อง
ถ้าพูดภาษาที่รู้เรื่องก็คือร่างกายมันเดิน จิตใจเราเป็นคนรู้คนดูไป
ฝึกไป ถ้ายังเดินไหว ยังนั่งไหวก็นั่งไป
ถึงเวลาก็แบ่งเวลาไว้ทุกวันๆ
จะนั่งสมาธิอะไรก็นั่ง นั่งกับพื้นไม่ได้ก็นั่งเก้าอี้
ไม่ได้มีข้อห้าม
จะนั่งเก้าอี้ก็ได้ ถ้านั่งพื้นไม่ไหว
แต่อย่านั่งเก้าอี้ที่สบายจนนั่งหลับ
ถ้านั่งก็นั่งด้วยความมีสติ
นั่งแล้วก็หายใจไป ถ้าจิตใจมันหนีไป เรารู้ทัน
จิตใจมันเพ่งลงมาในร่างกาย เรารู้ทัน
ตรงนี้ผิดทั้งคู่
จิตที่หลงไปหนีไปมันย่อหย่อนไป
จิตที่เพ่งที่จ้องจนมันเครียดมันตึงเกินไป
ถ้ารู้ตัวจริงๆ ก็จะเห็นร่างกายมันนั่ง จิตเป็นคนรู้
เหมือนกับที่ร่างกายมันเดินแล้วจิตเป็นคนรู้นั่นล่ะ
อย่างขณะนี้พวกเราส่วนใหญ่นั่งอยู่
เราก็แค่รู้สึกลงไปว่าร่างกายมันนั่ง รู้สึกไหม
ร่างกายมันนั่ง จิตมันเป็นแค่คนรู้เท่านั้นเอง
แต่ต้องนั่งปกติ อย่านั่งเครียดๆ
นั่งเครียดไปแล้ว จงใจแรงไป
มันจะสุดโต่งไปข้างบังคับตัวเอง
เพราะฉะนั้นเรายังเดินได้เราก็เดิน วันข้างหน้าเราอาจจะเดินไม่ได้ แล้วมานั่งเสียดายว่าตอนเดินได้เราไม่ได้เดินจงกรม
หรือบางคนลุกขึ้นนั่งไม่ได้แล้ว ป่วยหนัก ถ้าเคยนั่งก็ยังนึกถึง มันก็ยังอบอุ่นใจว่าเราเคยนั่งสมาธิเคยอะไร
มีคราวหนึ่งหลวงพ่อไปเยี่ยมญาติที่ศิริราช ตึก 72 ปี ตอนนั้นโรงพยาบาลคนเยอะ เดินผ่านไปตามทางเดิน มีเตียงคนไข้จอดเรียงกันเป็นแถวอยู่ คนไข้ก็นอนอยู่อย่างนั้น เห็นแต่ละคนดูไม่มีความสุขเลย เครียด
เดินๆ ไปเจอเตียงหนึ่งเป็นพระ เป็นพระผู้เฒ่านอน หลวงพ่อเห็น โห ดูดีจัง เข้าไปไหว้ท่าน ถามท่าน โห หลวงพ่อภาวนาดูสดใส ป่วย มีท่อน้ำเกลืออะไรเสียบๆ ไว้ ดูสงบ ดูผ่องใส
ท่านก็มองหลวงพ่อออกเหมือนกัน ท่านถามว่าแล้วโยมภาวนาอย่างไร บอกผมใช้อานาปานสติ
ท่านก็ถาม แล้ววันหนึ่งไม่สบายหายใจเองไม่ได้จะทำอย่างไร
หลวงพ่อก็เลยถาม แล้วหลวงพ่อใช้อะไร ท่านบอกอาตมาใช้พุทโธ จมูกตันไปหมดแล้วก็ยังพุทโธได้
เรา เออ พุทโธก็ดีเหมือนกัน แล้วแต่ความถนัด ให้หลวงพ่อไปพุทโธเฉยๆ เรารำคาญ ต้องหายใจ
ท่านก็บอกว่า อ้าว ถ้าหายใจไม่ได้จะทำอย่างไร
หายใจไม่ได้ก็ตายไป เราก็เห็นร่างกายมันหายใจไปจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็ไม่มีปัญหาอะไร
จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยคนอื่นเขาทุกข์ เราก็ยังมีความสุขอยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธ อยู่กับการบริกรรมอะไรของเราที่เราถนัด ทำไป
แต่ตอนป่วยหนักแล้วเราทำได้
ก็ต้องหมายความว่าก่อนจะป่วยเราต้องฝึกไว้ก่อน
เพราะฉะนั้นพวกเราทุกวันต้องซ้อม
ซ้อมเจ็บ ซ้อมตาย ต้องซ้อม
ส่วนแก่ไม่ต้องซ้อม ก็แก่ขึ้นทุกวันๆ ไม่ต้องซ้อมแก่
เดินหลังงออะไรไม่จำเป็น
ซ้อมเจ็บก็เป็นต้นว่าเวลาเราไม่สบายจิตใจเราทุรนทุรายไหม
ถ้ายังทุรนทุรายเรียกเราสอบไม่ผ่าน
พอสอบมิดเทอมไม่ผ่าน ไปสอบไฟนัลก็ตก …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
27 พฤศจิกายน 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา