28 ก.พ. 2023 เวลา 13:25 • ไลฟ์สไตล์
“คอยรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง”
1
“ … การปฏิบัติถ้าขาดความรู้สึกตัวเสียอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติแล้ว กิเลสมันเกิดตอนหลง ตอนไม่รู้สึกตัว ฉะนั้นเราต้องฝึก ต้องหัดรู้สึกตัวให้มากที่สุด
หลวงพ่อพุธท่านสอนง่ายๆ บอกว่า “ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้รู้สึกตัวไว้ ให้มีสติไว้”
อย่างเราเห็นร่างกายมันยืน เราก็รู้ร่างกายมันยืนอยู่
ร่างกายมันเดิน มันนั่ง มันนอน เรารู้สึกไป
จะกินอาหารก็รู้สึกไป มันขับถ่ายก็รู้สึกไป
มันจะพูด ร่างกายมันพูด รู้สึก
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด มันออกมาจากคิด ฉะนั้นหลวงพ่อพุธจะสอน “ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด”
ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จิตมันสั่ง มันคิดขึ้นมาตอนนี้มีธุระแล้วต้องเดินไป เราก็เห็นร่างกายมันเดิน
ตอนนี้ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว เหนื่อยเต็มที ง่วงแล้ว จิตมันก็สั่งสมควรนอนแล้วก็นอน
เวลาจะกินเราก็มีสติ สมควรกินเราก็กิน ไม่สมควรกินเราก็ไม่กิน กินพร่ำเพรื่อก็ไม่กิน มีสติกำกับตัวเองไป คอยรู้ทัน
จุดตั้งต้นของการปฏิบัติที่ลัดสั้น
1
ถ้าเรารู้เข้ามาได้ถึงตัวความคิดได้ มันจะครอบคลุมตัวอื่นๆ ไปหมดเลย
เรายืนเพราะจิตมันเป็นคนสั่ง มันคิดให้ยืน ร่างกายมันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอน จิตมันสั่งทั้งนั้น มันจะกิน อยู่ๆ ร่างกายมันหยิบอาหารเข้าปากไม่ได้หรอก
อย่างถ้าจิตมันไม่คิด ไม่สั่งให้มือหยิบอาหารเข้าปาก มันก็เข้ามาไม่ได้ ไปนั่งมองเฉยๆ ร่างกายไม่เคลื่อนไหว
จะกิน จะดื่มเพราะจิตมันสั่ง
ไม่ว่าทำอะไรจิตมันก็สั่ง
ให้ทำดีจิตมันก็สั่ง ทำชั่วจิตมันก็สั่ง
มันสั่งผ่านความคิดออกมา
ฉะนั้นท่านลงท้าย “ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด” ตัวสุดท้าย “คิด”
ฉะนั้นเราหัดรู้ทันใจมันคิด มันคิดดี หรือมันคิดร้าย
ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อ ท่านสอนดี เหมือนกัน หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านบอก “คิดดีก็ใจเย็น”
คือถ้าเราคิดไม่ดีมันก็ใจร้อน
ท่านก็ให้รู้ทันความคิดเหมือนกัน
หลวงปู่ดูลย์ก็สอนเรื่องความคิด อันนี้เป็นขั้นของวิปัสสนา ท่านบอก “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงจะรู้ แต่ก็อาศัยคิด”
เห็นไหม ทิ้งความคิดไม่ได้
เพราะจิตมันมีหน้าที่คิดมันก็ต้องคิด
ธรรมชาติของจิต มันรู้สึกนึกคิด
เราไม่ได้ไปดัดแปลงมัน ให้จิตหมดความรู้สึก
ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง
ไปนั่งปั้นจิตขึ้นมาแบบนั้น ก็ใช้ไม่ได้
เพียงแต่ว่าจิตมันคิด ให้เรารู้ทัน
มันคิดเพราะอะไร
มันคิดดีๆ มันคิดเพราะกุศลไหม
หรือว่ามันคิดชั่วๆ เพราะอกุศลไหม
มันคิดไปด้วยความโลภหรือเปล่า
คิดไปด้วยความโกรธไหม
คิดด้วยความหลงหรือเปล่า
หรือมันคิดด้วยจิตที่เป็นกุศล
อย่างเราเห็นแมวเห็นหมาจรจัด สงสาร เอาข้าวให้กิน จิตมันเกิด อะไรอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่เกิดคือความกรุณาเกิดขึ้นในจิต เราก็หาข้าวให้มันกิน
พอมีคนมาดู เขารู้สึก แหม ดีจังเลย คนนี้ใจดี เอาข้าวให้หมาให้แมว เราเกิดคิดขึ้นมาอีก แหม เท่น่าดูเลย นี่คิดด้วยอำนาจกิเลสแล้ว หาของอร่อยๆ ไปให้มันกิน ตอนยังไม่มีคนเห็น ยังไม่ให้ มีคนเห็นแล้วถึงจะให้
พฤติกรรมอันเดียวกัน คือให้อาหารสัตว์
แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง มันคนละอันกัน
ถ้ามันเป็นกุศล ให้ด้วยความกรุณา หรือด้วยความเมตตา นั้นก็เป็นบุญของเรา
ถ้าให้โดยการเจือกิเลสลงไป บุญนั้นกระพร่องกระแพร่ง ไม่สมบูรณ์ ได้บุญเล็กน้อย แต่ก็สะสมกิเลสให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เหมือนบางคนทำบุญ เรียกทำบุญเอาหน้า
ทำบุญแล้ว จะได้เข้าใกล้ครูบาอาจารย์
ถวายเงิน ถวายโน่นถวายนี่
สิ่งที่แฝงเร้นอยู่หลังความคิดที่จะทำบุญ
มันกลายเป็นกิเลสไป
ฉะนั้นเราพยายามรอบคอบ
สังเกตจิตใจของเราอย่างซื่อตรง ระมัดระวัง
ค่อยๆ สังเกตไป อะไรมาอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา
กุศลหรืออกุศล
โลภหรือเปล่า โกรธหรือเปล่า หลงหรือเปล่า สังเกตไป
ถ้าเราทำตรงนี้ได้ คำพูด การกระทำ การเลี้ยงชีวิตของเรา จะสะอาดหมดจดมากขึ้นๆ แล้ว
การที่เราคอยรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง
เราไม่คิดไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ
แต่คิดไปด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ
ขณะที่เราคอยรู้เท่าทันจิตใจตัวเองอย่างนั้นอยู่
สัมมาวายามะมันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
เพราะเราอาศัยมีสติรู้เนื้อรู้ตัว อ่านจิตอ่านใจตัวเองไป
พอความชั่วมันมาครอบงำความคิดเราไม่ได้
คำพูดเรามันก็ดี การกระทำของเรามันก็ดี
การดำรงชีวิตของเราก็ดี
แล้วทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นก็คือความเพียรชอบ
แล้วก็มีความเพียรชอบ ในขณะนั้นเรากำลังมีความเพียรละกิเลส ละอกุศลที่กำลังมีอยู่ แล้วก็ปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด
ในขณะที่เรามีสติอ่านจิตใจตัวเองออก
อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา
ขณะนั้นเรามีสติ กุศลเกิด
กุศลที่ยังไม่เกิดก็เกิด
ที่เกิดแล้วก็เกิดบ่อยขึ้น ชำนิชำนาญขึ้น
เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติที่ลัดสั้นมากเลย ทำแป๊บเดียวองค์มรรคทั้ง 8 มันสมบูรณ์ขึ้นมา อาศัยความคิดถูก
แต่มันคิดถูกได้อย่างนี้ ก็เพราะมีความเห็นถูก
ความเห็นถูกอย่างที่พวกเรานั่งฟังหลวงพ่อ
มันเกิดความเห็นถูกในภาคปริยัติ
แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ
ด้วยการรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง
ว่าอะไรอยู่เบื้องหลัง
อโลภะ อโทสะ อโมหะ
หรือโลภะ โทสะ โมหะ อยู่เบื้องหลังความคิด
ถัดจากนั้นองค์มรรคที่เหลือ มันจะก้าวกระโดด สัมมาวาจามันก็เกิดเอง เพราะเรารู้ทัน จิตเราโกรธ เราอยากด่าแล้วเรารู้ทัน ความโกรธก็ดับ เราก็ไม่ด่าใคร
หรือเราอยากประจบสอพลอ เราชอบเขา เราจะไปจีบสาว สาวจะจีบหนุ่ม ตอนจะจีบกัน มุสาวาทจะรุนแรงมากเป็นพิเศษ สังเกตให้ดีเถอะ
อย่างเห็นสาว โอ๊ย สวยที่สุดในโลก แค่ประโยคเดียว มันก็มุสาแล้ว ไปประจบเขา รู้ได้อย่างไร ว่าสาวคนนี้สวยที่สุดในโลก สวยไม่มีสภาวะ เราว่าสวย คนอื่นเขาว่าน่าเกลียดก็ได้
คำพูดซึ่งมันไม่มีสติปัญญากำกับจิตใจอยู่
มันก็พูดไปตามราคะบ้าง โทสะบ้าง พูดเพราะหลงบ้าง
การกระทำ พอความคิดเราไม่ดี
การกระทำมันก็ออกมาในทางไม่ดี
ความคิดเราดี
การกระทำก็ออกมาในทางดี …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
11 กุมภาพันธ์ 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา