Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
9 มี.ค. 2023 เวลา 03:32 • ปรัชญา
“นิพพานไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นใหม่
นิพพานมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยเห็น
เพราะจิตของเรามีกิเลสตัณหาขวางอยู่”
“ … สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
คำว่า “ไม่เที่ยง” ก็คือสิ่งที่เคยมีมันไม่มี
สิ่งที่เคยไม่มีมันเกิดมี เรียกมันไม่เที่ยง
คำว่า “เป็นทุกข์” หมายถึงว่าสิ่งที่กำลังมี กำลังถูกบีบคั้นให้ไม่มี ให้แตกสลายไป นี่เรียกว่าทุกขัง ทุกขตา
ส่วนอนัตตา ก็คือสิ่งทั้งหลายจะมีก็เพราะมีเหตุ
ไม่มีเหตุมันก็ไม่มี
ไม่ได้เป็นไปตามอำนาจที่เราสั่ง
แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มากำหนด
นี่คือหลักของไตรลักษณ์
อย่างร่างกายจิตใจของเรา อันนี้เรียกว่าสังขาร
เป็นรูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เราดูสิ ร่างกายเราเที่ยงไหม
ตอนแต่ก่อนก็เป็นเด็ก
เดี๋ยวนี้เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่ม เป็นสาว ต่อไปก็แก่
ร่างกายนี้ไม่เที่ยง
ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวหิว เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวปวดอึ เดี๋ยวปวดฉี่
หมุนเวียนไป นานๆ ก็ป่วยหนักเสียทีหนึ่ง
พออายุเยอะขึ้นๆ เรื่องนิดเดียวก็ป่วยหนักไปแล้ว ดีไม่ดีตายไปแล้ว แค่หกล้มทีเดียวก็ตายแล้ว ร่างกายมันทนอยู่ไม่ได้ มันถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
แล้วก็สังขารนี้เป็นอนัตตาด้วย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามที่เราสั่ง
เหตุปัจจัยที่เกิดร่างกายของเรา มีกรรมกำหนดมา ให้เราเกิดกับพ่อแม่คนนี้ เราก็เลยได้ยีน ได้พันธุกรรมของพ่อแม่คนนี้มา
สิ่งที่เราได้มา เบื้องลึกที่กำหนดให้เราได้พันธุกรรมอย่างนี้ คือกรรม อย่าไปโทษพ่อโทษแม่ กรรมจัดสรรให้เราได้มีพ่อแม่แบบนี้ เช่น พ่อแม่ยากจน หรือบางคนกรรมจัดสรร ให้ได้พ่อแม่ร่ำรวย กรรมของตัวเอง ไม่ใช่กรรมของพ่อแม่
แต่ถ้ามีลูกอกตัญญู นั่นเป็นกรรมของพ่อแม่ พ่อแม่ทำกรรมไม่ดี มีลูกที่ไม่ดีเกิดขึ้น
ร่างกายเรา ชนกกรรมทำให้เกิดมา แล้วอาศัยอะไร
อาศัยธาตุของพ่อของแม่ คนละครึ่งเซลล์มารวมกัน
ถัดจากนั้นก็อาศัยแม่หล่อเลี้ยงอยู่ในท้อง
อาศัยน้ำ อาศัยอากาศ อาศัยอาหาร ผ่านทางรก
จนกระทั่งคลอดออกมา
คราวนี้ต้องดิ้นรนช่วยตัวเองแล้ว ต้องหายใจเอาเองแล้ว
เวลาจะดูดนม ก็ต้องออกแรงดูดเอาเองแล้ว
ไม่ใช่ผ่านทางสายรกมาแล้ว
แล้วก็อาศัยอาหาร อาศัยน้ำ อาศัยอากาศ ของโลกข้างนอกนี้ เลี้ยงร่างกายนี้โตขึ้นมา พอแตกสลายไป น้ำก็คืนสู่น้ำ ดินก็คืนสู่ดิน ก็สลายตัวไป คนอื่นก็เอาธาตุอันนี้กลับไปใช้อีก
อย่างพวกเราว่ารังเกียจซากศพ ร่างกายเราประกอบด้วยซากศพจำนวนมาก เมื่อเช้านี้ใครกินเนื้อสัตว์บ้าง นั่นล่ะเรากินศพ เพียงแต่เราไม่เรียกว่าศพ เราเรียกว่าไก่ย่างอะไรอย่างนี้ ไม่เรียกว่าศพเท่านั้นเอง จริงๆ ก็คือศพ
จากสิ่งที่เคยเป็นเนื้อเป็นหนังของสัตว์ มาเป็นเนื้อเป็นหนังของเรา
พอเราตายลงก็ไปเป็นอาหารของตัวอื่นต่อไป
กลายเป็นปุ๋ย กลายเป็นดิน ต้นไม้เอาไปกิน สัตว์ไปกินต้นไม้
เพราะฉะนั้นธาตุที่เป็นร่างกายเรานี้ ไม่ใช่ของใหม่ เป็นสมบัติดั้งเดิมของโลก เลือดเราทุกหยดในตัวเรานี้ น้ำทุกๆ หยดในตัวเรา มันมีอยู่มาก่อนที่เราจะเกิดอยู่แล้ว เราไปแค่อาศัยหยิบยืมเขามาใช้
ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องคืนเจ้าของ
สังขารมันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ของเรา
มันเป็นของที่เราหยิบยืมโลกมาใช้
เราเฝ้ารู้เฝ้าดูความจริง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี้ในเรื่องไตรลักษณ์
ท่านจะมีคำที่น่าสังเกตอันหนึ่ง ท่านบอก
“สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลาย รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง”
“สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมนามธรรม เป็นทุกข์”
คือถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
“สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา”
ทำไมใช้คำต่างกัน อันแรกใช้ “สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์”
พอถึงอนัตตา ท่านใช้คำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา”
สังขารมันเป็นส่วนหนึ่งของธรรม ธรรมะมี 2 ส่วน
ธรรมะที่เป็นสังขาร กับธรรมะที่ไม่ใช่สังขาร
ธรรมะที่ไม่ใช่สังขาร อย่างมรรคผล นิพพาน ไม่ใช่สังขาร
เป็นธรรมะที่พ้นจากความเป็นสังขาร
ในขณะที่ขันธ์ 5 ของเรานี้ ส่วนใหญ่มันก็จะไปอยู่ในกองของสังขาร
ฉะนั้นสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ถึงจุดนี้เราจะตอบได้
นิพพานเป็นอนัตตา นิพพานเที่ยงไหม
นิพพานเที่ยง เพราะไม่ใช่สังขาร
นิพพานเป็นทุกข์ไหม ไม่เป็น เพราะไม่ใช่สังขาร
แต่นิพพานเป็นอนัตตา ไม่มีเจ้าของ เป็นของกลาง
ฉะนั้นพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ก็ไม่ได้เอานิพพานไปด้วย นิพพานก็ยังคงอยู่
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา เราปฏิบัติธรรมไปเรื่อย
รู้ทุกข์ไป รู้กายรู้ใจไป จนกระทั่งรู้แจ้ง
กายนี้คือทุกข์ จิตนี้คือทุกข์ มันก็ละสมุทัย ละความอยาก
หมดความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข
หมดความอยากที่จะให้กายให้ใจพ้นทุกข์
ทันทีที่จิตหมดความอยากนั่นล่ะ
นิพพานคือสภาวะที่สิ้นความอยาก
ก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าเรา
นิพพานไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นใหม่
นิพพานมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยเห็น
เพราะจิตของเรามีกิเลสตัณหาขวางอยู่
สันติธรรม
เราภาวนาจนเราลดละ ทำลายกิเลสตัณหาออกไปแล้ว
เราก็จะเห็นพระนิพพานปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตา
นิพพานไม่มีการเข้า ไม่มีการออก
ไม่ใช่กำหนดจิตเข้าพระนิพพาน
กำหนดจิตออกจากพระนิพพาน อันนั้นไม่ใช่
นิพพานไม่มีเข้า ไม่มีออกหรอก
เพราะไม่มีขอบ ไม่มีเขต
สิ่งที่เราจะเข้าจะออกได้ ต้องมีขอบเขต
อย่างเข้าศาลานี้ เข้ามาได้ ออกจากศาลาได้ เพราะอะไร
เพราะศาลานี้มีขอบเขตอยู่
นิพพานไม่มีขอบ ไม่มีเขต
เพราะฉะนั้นไม่มีใครเข้า ไม่มีใครออกนิพพานหรอก
เมื่อก่อนหลวงพ่อยังไม่บวช หลวงพ่อภาวนา แล้ววันหนึ่งก็นึกถึงคำครูบาอาจารย์ ท่านให้เดินทางสายกลาง
ก็กำหนดจิตลงไป
พอสติเคลื่อนไป จะไปจับที่อารมณ์ หลวงพ่อก็ไม่จับ
ถ้าจับอารมณ์ก็สุดโต่งไปข้างอันหนึ่ง
ทวนกระแสของจิตกลับเข้ามาที่ผู้รู้ แล้วก็ไม่ให้จับที่ผู้รู้
ถ้าจับที่ผู้รู้ก็สุดโต่งมาอีกข้างหนึ่ง
จิตกับอารมณ์เป็นของคู่กัน
เรายึดจิต หรือเรายึดอารมณ์ มันก็คือยึดนั่นล่ะ
หลวงพ่อเลยกำหนดไปเรื่อย
เคลื่อนไปหาอารมณ์ แล้วก็ไม่จับ
เคลื่อนเข้ามาที่ผู้รู้ แล้วก็ไม่จับ
เคลื่อนไป เคลื่อนมา ในที่สุดจิตรวมปุ๊บลงไป
หมดความคิดนึกปรุงแต่ง ว่าง สว่าง ไม่มีเวลา
ขณะนั้นไม่มีความรู้สึกว่าเป็นกี่โมงกี่ยาม
เหลือแต่ธาตุรู้อยู่อันเดียวนั้นล่ะ
พอเล่นตรงนี้ เล่นตรงนี้ไปอยู่ช่วงหนึ่ง
คิดว่า เออ เราเห็นพระนิพพานแล้ว
ว่างๆ เราก็เข้ามาดูพระนิพพานทีหนึ่ง
แล้วต่อมาก็สังเกตว่า นี่มันเรื่องของสมาธิ
มันไม่ใช่นิพพานจริงหรอก เป็นสมาธิ
แล้วพอดีไปเจอครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ชื่อหลวงปู่บุญจันทร์ หลวงพ่อไม่รู้จักท่าน แต่ท่านมีฤทธิ์เยอะ ท่านรู้จักหลวงพ่อ ท่านให้พระมาเรียกหลวงพ่อไปหา แล้วท่านก็ถามว่า หลวงพ่อภาวนาอย่างไร
ก็กราบเรียนท่านว่า “ไม่จับผู้รู้ ไม่จับสิ่งที่ถูกรู้ ว่าง สว่าง ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่ง ไม่มีเวลา”
ท่านตวาดเอาบอก “เฮ้ย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก” ท่านตวาดเอา
หลวงพ่อก็เลยเลิกเล่น รู้แล้วว่าเล่นอย่างนี้ ไม่นิพพานหรอก มัวแต่เล่น ใช้ไม่ได้
มันเหมือนๆ นิพพานแต่มันไม่ใช่
มันยังมีการเข้า ยังมีการออก
นิพพานที่ยังเข้าได้ออกได้ เป็นนิพพานแคบๆ
นิพพานปลอม มีขอบ มีเขต มีจุด มีดวง มีที่ตั้ง
มีการไป มีการมา
เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ มันก็มีจุติ มีอุบัติ
คือมีตายมีเกิดอีก ใช้ไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้นพวกเรามีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ทำไปเรื่อยๆ แล้วถ้าดูกายหรือดูจิตไม่ได้ ก็ทำสมถะสลับไป เพื่อเป็นการชาร์จจิตให้มีพลัง
พอจิตมันมีพลังตั้งมั่น สงบ ตั้งมั่นดีแล้ว เราก็เดินปัญญา ดูกายอย่างที่กายเป็น ดูจิตอย่างที่จิตเป็น โดยใช้หลัก “มีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
ทำไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งมันรู้ความจริง
กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์
พอรู้ความจริงอย่างนี้มันจะหมดสมุทัย
มันจะปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิต
มันจะไปอยากอะไรอีก มันปล่อยทิ้งแล้ว
ทันทีที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยเป็นอันถูกละ
ในขณะนั้นนิโรธคือนิพพานปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว
ใช้คำว่า “ปรากฏ” ไม่ใช่ “เกิด”
มันมีอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น
ตอนที่เราหมดตัณหานั่นล่ะ
นิพพานคือความสิ้นตัณหา
บางทีท่านก็ใช้คำว่า “นิพพาน คือสภาวะที่สิ้นตัณหา”
พอสิ้นตัณหาแล้วมันเป็นอย่างไร มันสงบ มันสันติ
นิพพานมีสันติลักษณะ คือมันสงบ
อย่างวัดนี้ชื่อวัดสวนสันติธรรม
สิ่งที่เรียกว่า “สันติธรรม” คือนิพพาน แปลให้ออก
ถ้าใครเขาถามว่า ลูกศิษย์วัดสวนสันติธรรม
“สันติธรรม” คืออะไร
คือพระนิพพาน
นี่คืออุดมการณ์ของพวกเราชาววัดสวนสันติธรรม
เราจะต้องนิพพานให้ได้
ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป
นี่เป็นอุดมการณ์ที่เราตั้งวัดนี้ขึ้นมา …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันสวนสันติธรรม
25 กุมภาพันธ์ 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
https://www.dhamma.com/principles-of-suansantidham/
เยี่ยมชม
dhamma.com
อุดมการณ์ของชาววัดสวนสันติธรรม
นิพพานมีสันติลักษณะ คือมันสงบ สันติธรรมคือพระนิพพาน นี่คืออุดมการณ์ของพวกเราชาววัดสวนสันติธรรม เราจะต้องนิพพานให้ได้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป
Photo by : Unsplash
4 บันทึก
8
12
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
อ่านธรรม : อ่านใจ
4
8
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย