[Introverted investor] 🟢“One stock per week” [EP.5] : แนะนำหุ้นไทย🟢 ✅บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) : [ASIAN]

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Introverted investor

•

5 ก.ค. 2023 เวลา 15:35 • ธุรกิจ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand)

🟢“One stock per week” [EP.5] : แนะนำหุ้นไทย🟢

✅บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) : [ASIAN]

🔥ผลพลอยได้จากการแปรรูปปลาทูน่า สร้างมูลค่ามากกว่าที่คุณคิด🔥

"ASIAN" ดำเนินธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำแช่เยือกแข็ง จำหน่าย/ส่งออกทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า ปัจจุบันมีกำลังการผลิตคิดเป็นน้ำหนักผลิตภัณฑ์สำเร็จประมาณ 8,600 ตันต่อปี (ไม่รวมบริษัทย่อย กำลังการผลิตรวมทุกกลุ่มธุรกิจ 173,900 ตันต่อปี)

🟢ผลิตภัณฑ์หลักของ “ASIAN” แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (ไม่รวมบริษัทย่อย)

▪ ปลาทรายแช่เยือกแข็ง ได้แก่ ปลาทรายสดที่แล่แบบผีเสื้อ และปลาทรายแล่ชุบแป้ง

▪ อาหารทะเลพร้อมปรุงแช่เยือกแข็ง ได้แก่ กุ้งปะแป้งแช่เยือกแข็ง และกุ้งปะแป้งทอดแช่เยือกแข็ง หมึกปะแป้งทอดแช่เยือกแข็ง ฯลฯ

🟢“ASIAN” แบ่งธุรกิจเป็น 4 กลุ่ม ผ่านบริษัทย่อย ได้แก่

🔹 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง (แปรรูปกุ้ง หมึก ปลา)

▪ ASIAN

▪ SURAT

▪ AFOOD

🔹 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (อาหารสุนัขและแมว แบบเปียกและแบบเม็ด)

▪ AAI (ASIAN ถือหุ้น 70%)

▪ APCC (ถือหุ้นโดย AAI)

▪ THAIYA (ถือหุ้นโดย APCC)

🔹 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ทูน่า (อาหารพร้อมทานในภาชนะปิดผนึก)

▪ AAI (ASIAN ถือหุ้น 70%)

🔹 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ (อาหารกุ้งและปลา เม็ดจมและเม็ดลอย)

▪ AFEED

🟢โครงสร้างรายได้รวม เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง แบ่งตามประเภทธุรกิจและบริษัทย่อย

🔸 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง

▪ ASIAN : 17%

▪ SURAT : 19%

▪ AFOOD : 3%

🔸 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง

▪ AAI (ASIAN ถือหุ้น 70%) : 52%

▪ APCC (ถือหุ้นโดย AAI) : 1%

▪ THAIYA (ถือหุ้นโดย APCC) : ไม่มีนัยสำคัญ

🔸 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ทูน่า

▪ AAI (ASIAN ถือหุ้น 70%) : 12%

🔸 กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ

▪ AFEED : 14%

📌กลุ่มธุรกิจ ASIAN มีรายได้เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังจากในประเทศ 19% และจากต่างประเทศ 81%

📌ตลาดส่งออกหลักของกลุ่ม ASIAN คือ สหรัฐอเมริกา และยุโรป คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด

🟢ปัจจุบัน ASIAN มีโรงงาน 5 แห่ง

🔲 โรงงานผลิตอาหารพร้อมปรุงแช่เยือกแข็ง (สมุทรสาคร) : เนื้อที่ 41 ไร่ / กำลังการผลิตรวม 8,600 ตันต่อปี ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 43%

🔲 โรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และผลิตอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (สมุทรสาคร) : เนื้อที่ 97 ไร่ / กำลังการผลิตรวม 65,500 ตันต่อปี

▪ อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก 42,000 ตันต่อปี (ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 85%)

▪ อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก 17,500 ตันต่อปี (ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 30%)

▪ ผลพลอยได้จากการแปรรูปปลาทูน่า 6,000 ตันต่อปี (ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 50%)

▪ คลังสินค้าอัตโนมัติ จัดเก็บสินค้า 15,000 พาเลท

🔲 โรงงานผลิตอาหารทะเลแปรรูปแช่เยือกแข็ง (สุราษฎร์ธานี) : เนื้อที่ 182 ไร่ / กำลังการผลิตรวม 7,800 ตันต่อปี ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 62%

🔲 โรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำ (เพชรบุรี) : เนื้อที่ 41 ไร่ / กำลังการผลิตรวม 96,000 ตันต่อปี

▪ อาหารประเภทเม็ดจม 60,000 ตันต่อปี (ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 34%)

▪ อาหารประเภทเม็ดลอย 36,000 ตันต่อปี (ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 20%)

🔲 โรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด (ประเทศจีน) : เนื้อที่ 12 ไร่ / กำลังการผลิตรวม 20,000 ตันต่อปี ปี 2022 ใช้กำลังการผลิตประมาณ 20% / ดำเนินการโดยกิจการร่วมค้า MEISI

🟢ภาพรวมห่วงโซ่อุปทานของบริษัทย่อยในกลุ่ม ASIAN

▪ AFEED : ทำโรงเพาะเลี้ยงลูกกุ้ง และผลิตอาหารสัตว์น้ำ / ส่งลูกกุ้งให้ฟาร์มกุ้ง และส่งอาหารให้ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลา

▪ ASIAN, SURAT : รับกุ้ง ปลา จากฟาร์ม เรือประมง นายหน้า และผู้นำเข้า มาผลิตอาหารพร้อมรับประทาน และอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง

▪ AAI : รับเนื้อและชิ้นส่วนปลาทูน่าจากโรงงานแปรรูป มาผลิตอาหารพร้อมรับประทาน ปลาทูน่าในน้ำปรุงรส และอาหารสัตว์เลี้ยง

▪ MEISI : ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด

🟢รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่

☑ กลุ่มตระกูล อมรรัตนชัยกุล : 67%

☑ นักลงทุนต่างชาติ : 7%

☑ กองทุนรวมไทย : 2%

☑ สมเกียรติ ลิมทรง 1%

🟢ความเสี่ยงทางธุรกิจของ ASIAN

🔺 ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดส่งออกที่อาจกระจุกตัวอยู่ในบางภูมิิภาค นั่นคือ สหรัฐอเมริกา สินค้าหลักคือ อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และอาหารพร้อมปรุงแช่เยือกแข็ง

🔺 ความเสี่ยงจากการจัดหาและความผันผวนของราคาวัตถุดิบหลัก ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นวัตถุจากธรรมชาติในภาคเกษตรกรรม

🔺 ความเสี่ยงจากการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีอำนาจควบคุมการบริหารจัดการบริษัท ASIAN มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยมี ครอบครัวอมรรัตนชัยกุล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คิดเป็น 67% ของทุนจดทะเบียน และเป็นผู้บริหาร รวมถึงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอีกด้วย

🟢ข้อมูลจากคำวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (MD&A-Q1/2023)

🔘 กลุ่ม ASIAN มีรายได้รวม ณ ไตรมาสที่ 1/2023 = 2,272 ล้านบาท ลดลง 20% (จากการลดลงของรายได้กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง)

🔘 กำไรขั้นต้น = 209 ล้านบาท หรือ 9.20% / ลดลง 56% (จากการผลิตที่ลดลง และต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น)

🔘 กำไรสุทธิ ณ ไตรมาสที่ 1/2023 = 51 ล้านบาท ลดลง 80% (จากกำไรขั้นต้นที่ลดลง)

🔘 ตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 จากฐานสูงในปีก่อน ไตรมาสที่ 2 จะยังคงได้รับผลกระทบ และเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

🔘 ตลาดส่งออกหลักของ ASIAN คือ สหรัฐอเมริกา และยุโรป คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งไตรมาสนี้มีปริมาณขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ตลาดส่งออกหลักอยู่ในช่วงระบายสินค้าคงคลังซึ่งมีจำนวนมาก ทำให้มีการชะลอคำสั่งซื้อ)

🟢เป้าหมายจากผู้บริหาร / Opportunity Day Q1-2023 / Outlook 2023

✴ ปรับเป้าหมายรายได้รวมทั้งปี 2023 ลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว เป็น 10,700 ล้านบาท (จากการลดลงของรายได้กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง)

✴ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง คาดการณ์รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 12%

✴ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่า คาดการณ์รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 14%

✴ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง คาดการณ์รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 2,900 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 16%

✴ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ คาดการณ์รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 38%

✴ อัตรากำไรขั้นต้น 13 – 14% บนพื้นฐานอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน 33 – 34.50 บาท

✴ งบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 1,371 ล้านบาท

▪ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 1,173 ล้านบาท (เพิ่มกำลังการผลิตและคลังสินค้าอัตโนมัติ)

▪ ธุรกิจผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็ง 144 ล้านบาท (การติดตั้ง Solar rooftop)

▪ ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ 54 ล้านบาท (ปรับปรุงเครื่องจักรผลิตอาหาร)

✴ ผู้บริหารให้ข้อมูลเรื่องสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีปัญหาการเคลียร์สินค้าคงคลังที่สหรัฐอเมริกา ว่าสถานการณ์น่าจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้

🟢ข่าวสารเพิ่มเติม

🔗 ASIAN เพิ่งจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว ชื่อว่า “บริษัท เอเชี่ยน เวลเนส เรสซิเดนส์ จำกัด (AWR)” เพื่อดำเนินธุรกิจการลงทุนโดยการถือหุ้นในโครงการที่เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คอนโมมิเนียม และวิลล่า

🔗 AWR ลงนามร่วมทุนกับบริษัทย่อยของ ORI จำนวน 4 บริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจในกิจการโรงแรม คอนโดมิเนียม และที่อยู่อาศัยแนวราบ

🔗 บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด ขายหุ้น ASIAN เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ประมาณ 0.04% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมด

🟢ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์

♻ P/E เฉลี่ย ย้อนหลัง 5 ปี = 11 เท่า

♻ P/E ณ ปัจจุบัน = 9 เท่า

♻ P/E เฉลี่ย อุตสาหกรรมอาหารในตลาดหุ้นไทย = 19 เท่า

♻ รายได้รวมเฉลี่ย ย้อนหลัง 5 ปี = 9,500 ล้านบาท

📌เราจะสังเกตได้ว่าการวิเคราะห์คาดการณ์กำไรในอนาคตของ ASAIN ขึ้นอยู่กับบริษัท AAI ซึ่งเคยเขียนถึงไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เหตุเพราะรายได้ทั้งหมดมากกว่า 60% ของ ASIAN มาจากการดำเนินธุรกิจของ AAI (ASIAN เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 1 / 70%) คิดเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด (ยังไม่ได้คำนวณตามสัดส่วนการถือหุ้น) รวมถึงตัวเลขแนวโน้มการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักของ ASIAN กว่า 60% จากปริมาณการส่งออกทั้งหมด

สรุปแล้วสิ่งที่ต้องวิเคราะห์หลักๆเลยคือ รายได้และกำไรของ AAI / การส่งออกอาหารแช่เยือกแข็ง / ตัวเลขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป

📌AAI ยังมีแนวโน้มการเติบโตจากแผนขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกอีกเกือบเท่าตัวจากปัจจุบัน แต่ปัญหาก็คือ เราจะทราบได้อย่างไรว่า รายได้จะเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น? เพราะสินค้าเกือบทั้งหมดมาจากการรับจ้างผลิต (OEM) พวกเขาจะรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มลูกค้าใหม่ได้อย่างไร? กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดรวมนั้นล้นเกินไปแล้วหรือยัง? การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโลก ในอนาคตจะสูงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากพอที่จะถมกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นหรือไม่?

📌โดยส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆในอนาคต อย่างน้อยก็ 3-5 ปีนับจากนี้ เพียงแต่ว่า การเติบโตในภาพรวมนั้น บริษัทที่เราสนใจจะได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้มากน้อยเพียงใด คงเป็นเรื่องที่ต้องหาข้อมูลกันต่อไปอีกสักหน่อยว่าพวกเขามีความสามารถในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน?

สุดท้ายข้อที่ยังกังขาอยู่ในใจก็คือ การรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ อย่างเช่น ธุรกิจโรงแรมและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยสร้างการเติบโตใหม่ๆ กระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม หรือจะเป็นการหลับหูหลับตาก้าวข้ามขอบเขตความเชี่ยวชาญของตนเองกันแน่?

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

🟢“One stock per week” : แนะนำหุ้นไทย🟢

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🟢“One stock per week” [EP.5] : แนะนำหุ้นไทย🟢

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน