[Introverted investor] 🟢“One stock per week” [EP.14] : แนะนำหุ้นไทย🟢 ✅ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Introverted investor

•

10 พ.ย. 2023 เวลา 15:46 • ธุรกิจ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand)

🟢“One stock per week” [EP.14] : แนะนำหุ้นไทย🟢

✅ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)

👨‍✈จุดเริ่มต้นจาก ‘จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์’ สู่บริษัทประกันภัยที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในประเทศไทย

“บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)” หรือ ‘TIPH’ ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2021 ด้วยวิธีพิเศษ กล่าวคือเป็นการที่ ‘TIPH’ เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ ‘TIP’ หรือ “บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)” บริษัทประกันวินาศภัยรุ่นคุณปู่ ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 72 ปี ที่เราคนไทยต่างเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาเป็นอย่างดี

สรุปคือเป็นการก่อตั้งบริษัทแม่ขึ้นมาใหม่ เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ ‘ทิพยประกันภัย’ และจับเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น จากนั้นนำบริษัทแม่เข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นแทน

คำถามคือแล้วจะทำแบบนี้ไปทำไม? คำตอบอย่างง่ายและรวบรัดมากที่สุดคือ “เป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจและองค์กร เพื่อการบริหารจัดการให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น” เหตุเพราะเดิมที ‘ทิพยประกันภัย’ คือบริษัทประกันเต็มตัว มีหน่วยงานกำกับดูแลชัดเจนและเข้มงวด มีกฎระเบียบซับซ้อนตายตัวในแบบฉบับของการเป็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแล จึงยากต่อการบริหารจัดการ หากผู้นำองค์กรต้องการที่จะมีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น และต้องการสร้างการเติบโตใหม่ๆในอนาคต หรือการลงทุนในธุรกิจอื่น

สุดท้ายการสลัดคราบตนเองออกมาจากบ่วงรัดต่างๆจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่แน่นอนว่า ‘TIPH’ ยังคงมุ่งเน้นไปยังธุรกิจแก่นหลักเดิมนั่นคือ ‘การรับประกันวินาศภัย’ ซึ่งนับเป็นแหล่งรายได้หลักในสัดส่วนเกือบทั้งหมดของพวกเขาในปัจจุบัน

✴หากเราจะวิเคราะห์ ‘TIPH’ ก็คงต้องมากล่าวถึงประวัติของ ‘ทิพยประกันภัย’ กันสักเล็กน้อย ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนสถานะกลายเป็น ‘บริษัทลูกนอกตลาด’ ของ ‘TIPH’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ‘ทิพยประกันภัย’ ก่อตั้งเมื่อปี 1951 (72 ปีผ่านมาแล้ว) โดย ‘จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’ นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 11 ที่คนไทยทุกคนต้องเคยได้ยินชื่ออย่างแน่นอน บริษัทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการและประกันภัยธุรกิจต่างๆที่ ‘จอมพล สฤษดิ์’ กำกับดูแลอยู่ในยุคสมัยนั้นนั่นเอง

🕞ภายหลังการเสียชีวิตของ ‘จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’ เมื่อปี 1963 ท่ามกลางกระแสข่าวการทุจริตเงินงบประมาณรัฐบาลของเขา การยึดทรัพย์มูลค่า 600 ล้านบาทภายหลังการเสียชีวิต โดย ‘จอมพลถนอม กิตติขจร’ ผู้นำรัฐบาลสมัยต่อมา และคดีข้อพิพาทศึกแย่งชิงทรัพย์สินมรดกของ ‘จอมพล สฤษดิ์’ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ระหว่างทายาทด้วยกันเอง ซึ่งถือเป็นคดีใหญ่และประชาชนไทยให้ความสนใจอย่างมากในยุคสมัยนั้น (สันนิษฐานว่า ‘จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’ และ ‘จอมพลประภาส จารุเสถียร’ น่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของทิพยประกันภัยในเวลานั้น)

🕞ไม่กี่ปีต่อมาทางราชการไทยได้รับโอนหุ้น ‘TIP’ ส่วนหนึ่งจากทายาทของ ‘จอมพล สฤษดิ์’ และ ‘จอมพลประภาส’ ส่งผลให้ ‘กระทรวงการคลัง’ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด เมื่อกาลเวลาดำเนินผ่านเรื่อยมา กระทรวงการคลังได้กระจายหุ้น TIP บางส่วนออกไปให้หน่วยงานรัฐอื่นถือครอง ซึ่งยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นแปรสภาพองค์กร จดทะเบียนบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 1996 สิริรวมอายุอานาม 72 ปีพอดิบพอดีในปีนี้

และปัจจุบันทายาท ‘จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’ ยังคงมีบทบาทอยู่ 3 ราย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วนประมาณ 4% และกรรมการบริษัท

🌐สรุป ‘TIPH’ มีสถานะเป็นบริษัทแม่ มีรายได้หลักมากกว่า 95% มาจากการรับเงินปันผลจากการเป็นผู้ถือหุ้นใน “ทิพยประกันภัย : TIP” ที่ออกจากตลาดหุ้นไปเป็นบริษัทลูกแทน และบริษัทอื่นที่พวกเขาเข้าร่วมลงทุน “เราต้องศึกษา ‘ทิพยประกันภัย’ เพราะรายได้เกือบทั้งหมดของ ‘TIPH’ ณ ปัจจุบัน มาจากเงินปันผล ‘TIP’ นั่นเอง”

🟢‘ทิพยประกันภัย’ แบ่งกลุ่มธุรกิจเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

1⃣ ธุรกิจประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance) : ดำเนินธุรกิจรับประกันภัยโดยตรงจากลูกค้า (ผู้เอาประกันภัย) ตามประเภทของการประกันภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่

“การประกันอัคคีภัย” ให้ความคุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดจากแก๊สเพื่อใช้ในการหุงต้ม สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมภัยน้ำท่วม ภัยแผ่นดินไหว ภัยลูกเห็บ และภัยลมพายุ ได้อีกด้วย

“การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง” ให้ความคุ้มครองความเสียหายหรือสูญหาย ของทรัพย์สินเอาประกันภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น การ ประกันภัยสินค้า การประกันภัยตัวเรือ และการประกันภัยความรับผิดของผู้รับขนส่งในระหว่างทำการขนส่งซึ่งอาจเกิดความเสียหาย หรือสูญหายจากสาเหตุภัยทางธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ

“การประกันภัยรถยนต์” ทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดย ‘TIP’ มีนโยบายกำหนดสัดส่วนเพดานเบี้ยประกันภัยรับจากส่วนนี้ไม่ให้เกิน 30% เพื่อลดการแข่งขันด้านราคา และการกระจายความเสี่ยง

“การประกันภัยเบ็ดเตล็ด” การประกันความเสียหายที่เกิดกับบุคคลหรือทรัพย์สินประเภทอื่น ซึ่งนอกเหนือจากการประกันภัยที่กล่าวมาข้างต้น ได้แก่ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันการเดินทาง ประกันภัยสุขภาพ ประกันภัยโรคร้ายแรง ประกันภัยโจรกรรม ประกันภัยเครื่องจักร ประกันภัยเครื่องบิน ประกันภัยปิโตรเคมีและพลังงาน ประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด ประกันภัยวิชาชีพ ประกันภัยผลิตภัณฑ์

2⃣ ธุรกิจการลงทุน : ประกอบธุรกิจการลงทุนตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ.โดยนำเงินที่เหลือจากการดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้นสามัญ

🟢รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่

🔹บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) : 13.46%

🔹ธนาคารออมสิน : 11.31%

🔹บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 10.00%

🔹ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 10.00%

🔹กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ : 4.72%

🔹ครอบครัวธนะรัชต์ : 4.06% (กรรมการ)

🔹จารุณี ชินวงศ์วรกุล : 2.11%

🔹SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED : 1.99%

🔹บริษัท ที ดับบลิว ดับบลิว ซี จำกัด : 1.57%

ลักษณะลูกค้าและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย : ลูกค้าประเภทบุคคลธรรมดาทั่วไป ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทางการขาย Online และลูกค้าองค์กร ประกอบด้วย บริษัทเอกชน หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TIP ในปัจจุบัน และกลุ่มบริษัทในเครือของบริษัทดังกล่าว รวมไปถึงลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร ซึ่ง ‘TIP’ ไม่มีการพึ่งพิงลูกค้าหรือตัวแทนจำหน่ายรายใดรายหนึ่งเกิน 30% ของรายได้รวมใน 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา

🟢โครงสร้างเบี้ยประกันภัยรับตรง เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (2020 - 2022) ประมาณ 29,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น

🔹การประกันภัยเบ็ดเตล็ด : 13,000 ล้านบาท (45%)

🔹การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล : 7,300 ล้านบาท (25%)

🔹การประกันภัยรถยนต์ : 6,100 ล้านบาท (21%)

🔹การประกันอัคคีภัย : 2,200 ล้านบาท (8%)

🔹การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง : 600 ล้านบาท (2%)

🟢โครงสร้างรายได้ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (2020 - 2022)

🔸เบี้ยประกันภัยรับ : 29,200 ล้านบาท

🔸เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ : 8,000 ล้านบาท (27%)

🔸รายได้ค่าจ้างและค่าบำเหน็จ : 5,000 ล้านบาท (17%)

🔸รายได้จากการลงทุนสุทธิ : 600 ล้านบาท (2%)

🔸กำไรจากการลงทุน : 170 ล้านบาท (0.6%)

✴รวมรายได้เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง = 14,000 ล้านบาท (48% ของเบี้ยประกันภัยรับรวม)

✴กำไรสุทธิเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง = 1,700 ล้านบาท (12% ของรายได้รวม)

***เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรับ หักด้วย เบี้ยประกันภัยจ่ายจากการเอาประกันภัยต่อ และ สำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้เพิ่ม (ลด) จากงวดก่อน

✴‘TIP’ มีเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด (รวมอุบัติเหตุส่วนบุคคล) เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังสูงถึง 20,300 ล้านบาท (70% ของเบี้ยประกันภัยรับทั้งหมด) ถือได้ว่าครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยที่ยกเว้นประกันภัยรถยนต์

✴‘TIP’ มีเบี้ยประกันภัยรับตรงเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย (Top Gainer) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และมีเบี้ยประกันภัยรับตรงประเภทอัคคีภัยและเบ็ดเตล็ดสูงสุดในอุตสาหกรรม เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิของ ‘TIP’ แยกตามประเภทของประกันภัยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยเบ็ดเตล็ดอื่น ประกันอัคคีภัย และประกันภัยทางทะเลและขนส่ง ตามลำดับ

✴‘TIP’ มีรายได้จากเบี้ยประกันอัคคีภัยและประกันภัยเบ็ดเตล็ดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง และมีส่วนแบ่งการตลาดจากรายได้เบี้ยประกันภัยรวมทุกผลิตภัณฑ์ เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย ทำให้ยังคงความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ขั้นตอนการดำเนินงานรับประกันภัยของ ‘TIP’ กล่าวแบบง่ายๆ เรียงลำดับตามนี้คือ ติดต่อลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ศึกษาประวัติการเรียกร้องค่าสินไหมในอดีต ประเมินความเสียหายสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น พิจารณากำหนดเบี้ยประกันภัย พิจารณากระจายความเสี่ยง (การประกันภัยต่อ) ลงนามและจัดส่งกรมธรรม์ให้ลูกค้า

🟢มาดูบริษัทแม่กันบ้าง “บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)” หรือ ‘TIPH’ โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทยังคงมาจากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘TIP’ ซึ่งเป็นบริษัทแกนหลัก โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มคือ

1⃣ ธุรกิจประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance) ประกอบด้วย

▶บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) : TIP / ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัยทุกประเภท และธุรกิจลงทุน (ถือหุ้นในบริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (สปป.ลาว))

▶บริษัท ทิพย ไอบี จำกัด : TIP IB / ดำเนินการลงทุนในธุรกิจประกันภัย (ถือหุ้นในบริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจรับประกันวินาศภัยทุกประเภทและธุรกิจลงทุน)

2⃣ ธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย (Insurance Supported) ประกอบด้วย

▶บริษัท ทิพย ไอเอสบี จำกัด : TIP ISB / ดำเนินการลงทุนในธุรกิจสนับสนุนธุรกิจประกันภัย (ถือหุ้นในบริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ จำกัด ตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย / บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ ลอว์ จำกัด สำรวจอุบัติเหตุและประเมินความเสียหายในธุรกิจประกันวินาศภัย ตรวจสภาพรถยนต์ก่อนทำประกันภัย / บริษัท ศูนย์ฝึกอบรมทิพย จำกัด ให้บริการด้านการฝึกอบรม สัมมนา และเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ)

3⃣ ธุรกิจอื่น ประกอบด้วย

▶บริษัท ทิพย เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด : TIPX2 / ดำเนินการลงทุนในธุรกิจอื่น (ถือหุ้นในบริษัท มีที่มีเงิน จำกัด บริการสินเชื่อที่ดิน และขายฝากที่ดิน)

🔺‘TIPH’ มีเป้าหมายจะนำบริษัทย่อยบางบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปี นับจากนี้

🟢สภาพการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย ปี 2022

ธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตตามสภาวะทางเศรษฐกิจ เบี้ยประกันภัยรับตรงในปี 2022 อยู่ที่ 275,505 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 3.60% ซึ่ง ‘TIP’ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในอันดับที่ 2 ประมาณ 11% แยกย่อยตามประเภทได้ดังนี้

การประกันอัคคีภัย 9,881 ล้านบาท (4%) / ในส่วนนี้ ‘TIP’ ครองส่วนแบ่งไป 22% รั้งอันดับที่ 1 มาตลอดหลายปี

การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 6,983 ล้านบาท (2.5%) / ‘TIP’ แย่งไป 9% ยังอยู่ใน Top 10

การประกันภัยรถยนต์ 156,028 ล้านบาท (57%) / ตลาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมประกันภัย และ ‘TIP’ ครองไป 4% ยังอยู่ใน Top 10 เช่นกัน ทั้งนี้ TIP มีนโยบายรักษาสัดส่วนไม่ให้ประกันภัยรถยนต์เกินกว่า 30% จากเบี้ยรับรวม เพราะไม่อยากแข่งขันด้านราคา

การประกันภัยเบ็ดเตล็ดรวม 102,610 ล้านบาท (37%) / ‘TIP’ กวาดส่วนแบ่งไป 20% ครองอันดับที่ 1 มานับสิบปี

การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 31,448 ล้านบาท (11%) / แยกย่อยมาจากเบ็ดเตล็ดรวม และ ‘TIP’ ครองส่วนแบ่งไป 23%

การประกันภัยเบ็ดเตล็ดอื่น 71,162 ล้านบาท (26%) / แยกย่อยมาจากเบ็ดเตล็ดรวม และ ‘TIP’ ครองส่วนแบ่งไป 18%

🟢จำนวนคู่แข่งขันในปี 2022 มีบริษัทประกันภัยทั้งหมด 51 บริษัท ส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 5 อันดับแรก คือ

1⃣ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 15% (40,991 ล้านบาท)

2⃣ ‘TIP’ 12% (32,174 ล้านบาท)

3⃣ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) 9% (24,878 ล้านบาท)

4⃣ บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 7.5% (20,710 ล้านบาท)

5⃣ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 6% (17,655 ล้านบาท)

จากบริษัทประกันภัยในประเทศไทยทั้งหมด 51 บริษัทนั้น เพียง 5 บริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมก็ครองส่วนแบ่งทางการตลาดไปแล้วเกือบ 50%

🟢แนวโน้มตลาดประกันวินาศภัยในปี 2023

อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยมีการคาดการณ์อัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.0 - 4.0% อันเป็นผลมาจากการที่ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตตามที่คาดการณ์ได้ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ การลงทุนของทั้งภาคธุรกิจและประชาชน

🟢ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย

การเติบโตเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยรับตรง ย้อนหลัง 20 ปี (2002 - 2022) อยู่ที่ประมาณ 7 – 8% ต่อปี สูงขึ้นจาก 60,000 ล้านบาทในปี 2002 มามีมูลค่าประมาณ 270,000 ล้านบาทในปี 2022 ขณะที่การเติบโตย้อนหลัง 5 ปีล่าสุดเฉลี่ยประมาณ 4 – 5% ต่อปี สัดส่วนประเภทเบี้ยประกันวินาศภัยต่อปีโดยประมาณคือ

🔗ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ : 50% (135,000 ล้านบาท)

🔗ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล : 12% (32,000 ล้านบาท)

🔗ประกันภัยทรัพย์สิน : 11% (30,000 ล้านบาท)

🔗ประกันภัยเบ็ดเตล็ด : 8% (22,000 ล้านบาท)

🔗ประกันสุขภาพ : 7% (19,000 ล้านบาท)

🔗ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ : 7% (19,000 ล้านบาท)

🔗ประกันอัคคีภัย : 4% (11,000 ล้านบาท)

🔗ประกันภัยทางทะเล : 2% (5,000 ล้านบาท)

ประเภทประกันวินาศภัยที่มีการจ่ายค่าสินไหมสูงสุดเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยรับที่ถือเป็นรายได้ (แปลง่ายๆคือ ประกันที่ลูกค้าใช้สิทธิตามสัญญา เคลมเยอะ เคลมบ่อย บริษัทประกันจึงต้องจ่ายเงินประกันเยอะและบ่อยครั้ง) โดยวิเคราะห์จาก ‘Loss Ratio’ สูงสุดเรียงตามลำดับคือ ประกันสุขภาพ ประกันภัยเบ็ดเตล็ด ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยรถยนต์

ในทางตรงกันข้ามสัญญาประเภทที่มีการเคลมน้อยที่สุดเรียงตามลำดับคือ ประกันการท่องเที่ยว ประกันอัคคีภัย ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก และประกันภัยทรัพย์สิน

ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทยมี ‘Loss Ratio’ อยู่ที่ประมาณ 60 – 70% กล่าวคือรายได้จากเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งหมดที่บริษัทได้รับจากลูกค้า จะถูกนำจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันประมาณ 60 – 70% เหลือเป็นรายได้สุทธิคร่าวๆ เข้าบริษัทจริงๆประมาณ 30 – 40%

มาดูให้ลึกลงไปอีกสักหน่อย

🟢“ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเบี้ยประกันอัคคีภัย ณ ปี 2018”

🔸บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 17%

🔸บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 16%

🔸บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 12%

🔸บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 11%

🔸บริษัท ศรีอยุธยา เจนเนอรัล ประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 7%

🟢“ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด ณ ปี 2018”

...

🔸บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 16%

🔸บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 10%

🔸บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 9%

🔸บริษัท เอ็ทน่า ประกันสุขภาพ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) : 7%

🔸บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 6%

🟢“ส่วนแบ่งทางการตลาดรวมของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ณ ปี 2018”

🔸บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 25%

🔸บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 7%

🔸บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) : 6%

🔸บริษัท ประกันคุ้มภัย จํากัด (มหาชน) : 6%

🔸บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) : 5%

📌กล่าวโดยสรุป

“บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)” หรือ ‘TIPH’ มีรายได้หลักจากการรับเงินปันผลจาก “บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)” หรือ ‘TIP’ ซึ่งถือเป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรับรวมทุกประเภท และครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 1 สูงสุดในประเทศไทย เมื่อคำนวณจากเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ดรวม เมื่อวิเคราะห์บริษัทในแง่ของความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม

ก็ถือว่า ‘TIPH’ เป็นบริษัทที่เข้าเกณฑ์ และน่าสนใจลงทุนไม่น้อยเลยทีเดียว รายได้และกำไรของพวกเขาเติบโตมากขึ้นทุกปี มาตลอดทางนับสิบปี ยังมีของแถมที่ไม่เหมือนกับบริษัทอื่น นั่นคือ ‘สายสัมพันธ์อันแนบแน่น’ ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่กับหน่วยงานราชการ ส่งผลให้มีโอกาสได้รับงานประกันภัยซึ่งมีเบี้ยมหาศาล ดังที่เกิดขึ้นตลอดมาในอดีตกาล

♻การเติบโตของรายได้รวม ย้อนหลัง 8 ปี = 6.18% ต่อปี

♻การเติบโตของกำไรสุทธิ ย้อนหลัง 6 ปี = 7.19% ต่อปี

♻การเติบโตของเงินปันผล ย้อนหลัง 8 ปี = 10.71% ต่อปี

🟡ในขณะที่อัตราการเติบโตย้อนหลังของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย

♻การเติบโต 5 ปีย้อนหลัง (2018 – 2022) = 4.00 – 5.00%

♻การเติบโต 20 ปี ย้อนหลัง (2002 – 2022) = 7.00 – 8.00%

✅“ธุรกิจประกันคือเครื่องจักรผลิตเงินสดในทัศนะของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ รับเงินไปใช้ก่อน ค่อยจ่ายคืนทีหลัง (หรือไม่ต้องจ่ายเลย?)” ด้วยอัตราการเติบโตย้อนหลังที่น่าสนใจ แนวโน้มการเติบโตในอนาคตก็น่าลุ้น น่าติดตาม ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้เรื่อยๆ หากบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแล้วนั้นรายได้ก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนจนเกินไป และยังมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงพอสมควร

❌อย่าลืมดูความเสี่ยงในทิศทางตรงกันข้าม กรณีที่หลายๆสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังด้วยนะครับ

⭕สุดท้ายบทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลบริษัทและภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีเจตนาในการแนะนำ โน้มน้าว ให้เกิดการลงทุน หรือเชิญชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินใดๆทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ จากบุคคลอื่น การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้ความรู้และความเข้าใจ เพื่อกำหนดเส้นทางการลงทุนของตนเอง

⭕ผมมี ‘Bias’ นะครับ อาจเป็นเพราะชอบโครงสร้างทางธุรกิจนี้เป็นพิเศษ แถมยังได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ด้านมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจประกันมากพอสมควร ไม่ได้มีความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใดๆ ที่จะสามารถให้คำแนะนำที่ดีได้มากมายอะไร เอาเป็นว่าเลือกเอง รักเอง ช้ำเอง นะครับ ฮ่าๆ ธุรกิจการเงินค่อนข้างซับซ้อน และเข้าใจยากสำหรับมือใหม่ ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

🟢“One stock per week” : แนะนำหุ้นไทย🟢

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🟢“One stock per week” [EP.14] : แนะนำหุ้นไทย🟢

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน