28 ก.ค. เวลา 07:05 • ธุรกิจ

🟢“One stock per week” [EP.18] : แนะนำหุ้นไทย🟢

✅ “บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน)” : [SABINA]
🔥แบรนด์ชุดชั้นในอันดับหนึ่งของเมืองไทย ฝันใหญ่ระดับเอเชีย!! พร้อมกำลังการผลิตมากกว่า 10 ล้านชิ้นต่อปี!!
🏆Doomm Doomm!! กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเกือบจะ 20 ปีแล้ว ‘SABINA’ ยังคงเป็นที่จดจำสำหรับคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะสาวคัพเล็กจนถึงปัจจุบัน จนได้รับฉายาว่า “King of ดันทรง”
🕑ย้อนวันเวลาถอยหลังกลับไปกว่า 50 ปีผ่านมาแล้ว “ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างยกทรงจินตนา” ย่านตลาดพลู ธนบุรี ภายใต้การบุกเบิกของครอบครัว “ธนาลงกรณ์” (กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารปัจจุบัน) รับจ้างผลิตยกทรงยี่ห้อคนอื่นเป็นหลัก ก่อนที่จะพัฒนาแบรนด์ตนเองในภายหลัง ปัจจุบัน บริษัท ซาบีน่า หรือ “SABINA” คือผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นใน ทั้งแบรนด์ตนเองและรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ดังในต่างประเทศ (ส่วนใหญ่คืออเมริกา อังกฤษ และยุโรป)
ปัจจุบันแบรนด์ SABINA นอกจากวางขายในไทยแล้วยังส่งออกไปยังเวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า และฟิลิปปินส์ ฯลฯ โดยมีเป้าหมายขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในตลาดอาเซียนและชาวต่างชาติ เพื่อปูทางสู่การเป็น ‘Regional Brand’ ในท้ายที่สุด
🟢ผลิตภัณฑ์ของ ‘SABINA’ แบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆคือ
1️⃣ ชุดชั้นใน (เสื้อ/กางเกงชั้นใน เสื้อทับบังทรง กางเกงกันโป๊ ชุดกระชับสัดส่วน)
🔹 กลุ่มสินค้าเด็ก (Sabina Kids) ช่วงอายุ 6-14 ปี เน้นวัตถุดิบที่ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวบอบบาง ลวดลายสวยงามซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
🔹 กลุ่มสินค้าวัยรุ่น ช่วงอายุ 15-25 ปี เน้นภาพลักษณ์สีสันสดใส ดูทันสมัย สร้างความมั่นใจ ใส่สบาย
🔹 กลุ่มสินค้าผู้ใหญ่ ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป เน้นประโยชน์ใช้สอย รูปแบบสวยงามทันสมัย เสริมบุคลิกภาพตามรูปแบบการใช้ชีวิตอันแตกต่างหลากหลาย
2️⃣ ชุดว่ายน้ำ ชุดออกกำลังกาย ชุดชั้นในที่สามารถใส่เป็นชุดชั้นนอกได้
3️⃣ Everyday Wear: SBN Sport / ชุดชั้นในแบบสปอร์ต
4️⃣ Soft Collection / ชุดชั้นในที่ใช้นวัตกรรมการผลิตแบบ ‘Seamless Fit’ เรียบเนียนสบาย ให้ทรงสวย ไร้ตะเข็บ
5️⃣ Maternity / ชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ หรือให้นมบุตร เช่น ชุดชั้นในพยุงท้อง รวมถึง ‘Fill up Bra’ เสื้อชั้นในสำหรับผู้ป่วยที่ตัดเต้านม
6️⃣ Happy Price / กลุ่มสินค้าราคาประหยัด
🔺ราคาขายสินค้าของ ‘SABINA’ ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันในตลาด มีการพัฒนาและออกสินค้าใหม่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความหลากหลายและครอบคลุมการใช้งานในทุกช่วงวัยของสุภาพสตรี มีช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกระบวนการผลิตชุดชั้นในไม่สามารถใช้เครื่องจักรแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด จึงมีราคาขายสูง
🟢โครงสร้างการขายแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1️⃣ โครงสร้างหลักคือการขายแบรนด์ ‘SABINA’ ผ่านหน้าร้านภายในประเทศ กว่า 518 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นการฝากขาย โดยมีพนักงานของบริษัทเองบริการให้คำแนะนำอยู่ ณ จุดขาย อีกทั้งยังมีจุดขายภายใต้แบรนด์ ‘SABINA’ ในอีก 5 ประเทศ คือ พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาว ดูไบ และบาร์เรน ผ่านตัวแทนจำหน่ายอีกกว่า 100 แห่ง
2️⃣ การขายแบบไม่มีหน้าร้าน (Non-Store Retailing-NSR) ช่วยเร่งอัตราการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกช่องทางซึ่งไม่ทับซ้อนกับหน้าร้านที่มีพนักงานขาย เช่น ออนไลน์ แคตตาล็อค ทีวีช้อปปิ้ง และตู้อัตโนมัติ ฯลฯ
3️⃣ การรับจ้างผลิต (OEM) ปัจจุบันจัดเป็นรายได้เสริมของบริษัทซึ่งควบคุมสัดส่วนไว้ตามความเหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป แต่ยังจำเป็นอยู่เนื่องด้วยเป็นช่องทางพัฒนาเทคนิคการผลิต และการเชื่อมต่อองค์ความรู้กับต่างประเทศ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ดังมีชื่อเสียงจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งบริษัทสามารถผลิตสินค้าอื่นๆได้หลากหลายด้วยการปรับใช้เครื่องจักรชุดชั้นในที่มีความละเอียดสูง เช่น เสื้อผ้า หน้ากาก ผ้าพันคอ ฯลฯ
🔺สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการทำ OEM ให้ประเทศฝั่งยุโรป คือ ‘SABINA’ สามารถรับรู้ข้อมูลทั้งองค์ความรู้และเทรนด์แฟชั่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตล่วงหน้าถึง 2 ปีเลยทีเดียว
🔺กลยุทธ์ทางการตลาดของ ‘SABINA’ เน้นทำการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (ไม่เหมารวม) โดยอาศัยข้อมูลจากการวิจัยเป็นฐานหลักสำหรับการตัดสินใจในทุกกิจกรรม (Data-Driven Organization)
🟢โครงสร้างรายได้ (เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง)
🔹แบรนด์ ‘SABINA’ : 90%
▪️ ค้าปลีก (Retail) ประมาณ 60%
▪️ ออนไลน์ (Non Store Retailing : NSR) ประมาณ 30%
🔹OEM : 10%
🟢การแข่งขันภายในประเทศ
ตลาดชุดชั้นในภายในประเทศแข่งขันกันสูงมากในทุกระดับราคา เจ้าอื่นส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ รวมถึงยังมีรายย่อยที่ไม่มีแบรนด์อีกจำนวนมากซึ่งตอบโจทย์กับตลาดผู้บริโภคที่ใช้ราคาในการตัดสินใจซื้อ
สำหรับการรักษาความสามารถในการแข่งขันของ ‘SABINA’ คือการมุ่งเน้นควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐาน ทั้งการปรับปรุงระบบโรงงาน (Lean Manufacturing Systems) และการนำแนวคิดไคเซน (kaizen) จากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้อีกด้วย (พัฒนา ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดขั้นตอน ลดต้นทุน แต่สามารถรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ในกรณีของ ‘SABINA’ คือการลดจำนวนพนักงาน และพัฒนาให้พนักงานมีทักษะหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพรวดเร็ว บริษัทลดต้นทุน พนักงานที่เหลือมีค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น
🟢วัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ (ทั้งหมดคิดเป็น 85% จากวัตถุดิบทั้งหมด)
🔹วัตถุดิบหลักคือ ผ้า ลูกไม้ ยาง ฟองน้ำ และอุปกรณ์ตกแต่ง
🔹บรรจุภัณฑ์คือ ไม้แขวน กล่อง สายรัด ถุงพลาสติก
✴️ฟองน้ำขึ้นรูป (ฟองโมล์ด) คือวัตถุดิบหัวใจสำคัญของชุดชั้นใน ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการวิจัยของ ‘SABINA’ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล บริษัทจึงติดตั้งเครื่องจักรขึ้นรูปเพื่อผลิตงานในส่วนนี้เอง นอกจากรักษาข้อมูลความลับแล้วยังส่งผลต่อการลดต้นทุนการผลิตด้วย (ค่าใช้จ่าย R&D มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี)
‘SABINA’ มีการสั่งซื้อวัตถุดิบจากผู้ขายกว่า 200 ราย โดยรายใหญ่ 10 รายแรกมีมูลค่าการสั่งซื้อประมาณ 60% จากทั้งหมด ซึ่ง ‘บริษัทเอเชียนอิโนแอค’ ผู้จำหน่ายฟองน้ำสำหรับขึ้นรูปนั้นมียอดสั่งซื้อประมาณ 16% จากยอดการสั่งซื้อวัตถุดิบรวม เหตุเพราะสินค้ามีคุณภาพและราคาเหมาะสม
การสั่งซื้อวัตถุดิบทั้งหมดเป็นการสั่งซื้อภายในประเทศไทย 70% และต่างประเทศอีก 30% (ฮ่องกง เกาหลี จีน ไต้หวัน ฯลฯ)
🟢กำลังการผลิต
‘SABINA’ มีโรงงานผลิต (รวมบริษัทย่อย) ทั้งหมด 5 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดชัยนาท ยโสธร บุรีรัมย์ นครปฐม และกรุงเทพฯ รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นมากกว่า 10.1 ล้านชิ้นต่อปี และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากจุดสูงสุดได้อีก 20% หากจำเป็นโดยการทำงานล่วงเวลา (OT) ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องจักรหลายพันเครื่อง
สำหรับตลาดในต่างประเทศ บริษัทยังมีอีกหลายแบรนด์เช่น ‘SABINE’ และ ‘SBN’ ซึ่งจดทะเบียนตราสินค้าเรียบร้อยแล้ว และเป็นการขายขาดให้ตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศเพื่อนำไปวางขายในร้านค้าของตนเอง
🟢ผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘SABINA’
🧍‍♂️ครอบครัวธนาลงกรณ์ (ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารปัจจุบัน) : 52%
🧍‍♂️กองทุนต่างๆประมาณ 10 กอง : 12%
🧍‍♂️กลุ่มนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ 2%
🔴ความเสี่ยงสำคัญ
การพึ่งพิงคู่ค้ารายใหญ่น้อยราย เพื่อการสั่งซื้อวัตถุดิบหลัก ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
🟩สถานการณ์ปัจจุบัน
ปี 2023 เข้าซื้อกิจการ (M&A) ตัวแทนจำหน่ายในประเทศฟิลิปปินส์ (MODA SBN INC.)
ชุดชั้นในประเภทเนียนเรียบ ไร้รอยต่อ ไร้ตะเข็บ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ปี 2023 ยอดขายของ ‘SABINA’ พุ่งแซงบริษัทคู่แข่งสำคัญ คือ ‘WACOAL’ ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของไทยเป็นครั้งแรก
🟩กลยุทธ์และความเห็นจากผู้บริหาร
🔹มีเป้าหมายให้ ‘SABINA’ เป็นมากกว่าแบรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่ต้องการเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค ภายในปี 2026
🔹ปี 2024 มีเป้าหมายด้านยอดขายเติบโตทุกช่องทางการจัดจำหน่าย 5-10% อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) 51% และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) 14% ไม่เน้นกำไรขั้นต้น แต่เน้นผลักดันกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้น
🔹ไม่เน้นดูการเติบโตยอดขายของแต่ละร้านสาขา (SSSG) แต่เน้นดูกำไร/ขาดทุน ปิดร้านที่ไม่ทำกำไร และเปิดร้านใหม่สำหรับพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น แต่ก็ไม่เน้นขยายหน้าร้าน เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพร้านค้าที่มีอยู่และออนไลน์ เพิ่มความหลากหลายของสินค้า
🔹บริษัทเริ่มให้น้ำหนักการจ้างผลิตมากกว่าผลิตเอง (ยกเว้นฟองน้ำขึ้นรูป) ในกลุ่มสินค้าระดับกลาง-ล่าง และขายช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่าย/ต้นทุนน้อยกว่า
🔹การขยายไปตลาดต่างประเทศก็ดูไว้อีกหลายที่ ในอนาคตอาเซียนทั้งหมดต้องมี ‘SABINA’ วางขายแน่นอน โดยเริ่มจากตัวแทนจำหน่าย ถ้าที่ไหนมีแนวโน้มดีก็เข้าซื้อกิจการ (M&A) หากไม่มีตัวแทนดีๆ ก็ค้นหาคนเก่งๆในพื้นที่มาทำออนไลน์
🔹มองตลาดฟิลิปปินส์ว่าเหมือนประเทศไทยเมื่อปี 2006 ตลาดยังเล็ก ‘SABINA’ อยู่ในไทยมาเกือบ 20 ปียังสร้างยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท เราหวังว่าที่ฟิลิปปินส์จะโตแบบนั้น แต่ไม่รีบร้อน ค่อยๆโตดีกว่า ส่วนเวียดนามก็สนใจแต่ไม่ใช่เวลานี้ ภาพรวมสถานการณ์ยังไม่เอื้อเท่าไหร่นัก
🔹ถึงอนาคตเราตั้งใจจะลดการผลิตด้วยตนเองและจ้างผลิตมากขึ้น แต่เราจะไม่ปิดโรงงานที่มีอยู่ คงค่อยๆ Downside ไปเรื่อยๆ แต่ธุรกิจต้องเติบโต ชุดชั้นในเป็นสินค้าที่ผลิตยาก ใช้ ‘Know How’ สูง ไม่แน่อนาคตข้างหน้า ‘SABINA’ อาจจะผลิตเอง 20% จ้างผลิต 80% เราไม่ได้กำหนดตายตัว สินค้าของเราที่ผลิตยากๆ มีนวัตกรรมใหม่ๆ เราไม่ปล่อยให้คนอื่นผลิต เราจะจ้างผลิตเฉพาะสินค้าระดับกลาง-ล่าง ได้ราคาดี
🔹ปัจจุบันยอดขายในห้างสรรพสินค้า เรายังแพ้ ‘WACOAL’ อีกเยอะ เขาทิ้งห่างเราประมาณ 30% แต่หากเป็นร้านค้าปลีกและโลกออนไลน์ ‘SABINA’ คือเจ้าตลาดเบอร์หนึ่ง เอายอดขายของเบอร์2และเบอร์3 มารวมกันยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเราเลย กลยุทธ์ต่อจากนี้คือการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากเบอร์หนึ่งฐานล่าง (WACOAL) และฐานบนของชุดชั้นในไม่มียี่ห้อ (Non Brand)
🔹คนส่วนใหญ่เปลี่ยนชุดชั้นในปีละ 2 ครั้ง แต่จากการวิจัยกลุ่มลูกค้าของเราซื้อเพราะอารมณ์ ชอบ อยากได้ เพิ่มความถี่ในการซื้อ
🔹เราทดลองทำสินค้าหลายประเภท เช่น ถุงเท้า หมวก เสื้อ และวางขายทางออนไลน์เพื่อดูตลาดก่อน หากผลตอบรับดีค่อยลงมาทำเต็มตัว
🔹ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ณ จุดเริ่มต้น เราจะไม่ตั้งโรงงาน เราจะค้นหาคนเก่งเรื่องงานออกแบบ นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของธุรกิจนี้!!
🔹ปัจจุบัน ‘SABINA’ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ประมาณ 40-50%
🔹ปัจจุบัน ‘SABINA’ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทย 13-18% ในเอเชีย 2% (ไม่ยืนยัน) ส่วนอีก 98% ที่เหลือมันเปิดกว้างมาก โอกาสยังลอยในอากาศอีกมากมาย อยู่ที่เราจะไขว่คว้าไว้ได้หรือเปล่า?
⭐ “ข้อมูลเพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์”
♻ หุ้น SABINA ในตลาดหลักทรัพย์ไทยจัดอยู่ในหมวด “สินค้าอุปโภคบริโภค / แฟชั่น”
💰P/E เฉลี่ยอุตสาหกรรม = 30 เท่า
💰P/E เฉลี่ยของ SABINA (5 ปีย้อนหลัง) = 21 เท่า (ดีที่สุด 25 / แย่ที่สุด 16)
💰P/E ณ ปัจจุบัน = 16 เท่า
💰รายได้รวมเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง = 3,100 ล้านบาท
💰กำไรสุทธิเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง = 400 ล้านบาท
✳️กล่าวโดยสรุป บริษัท ‘SABINA’ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เจาะตลาดระดับกลาง-ล่างมากขึ้น (มีมุมมองเศรษฐกิจไม่ดี) ลดการผลิตสินค้าด้วยตนเอง ไปจ้างผลิตมากขึ้น มุ่งมั่นเติบโตในต่างประเทศและแย่งส่วนแบ่งการตลาดเจ้าอื่นเพิ่มมากขึ้น รายได้และกำไรสม่ำเสมอ หนี้สินน้อย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง (วงจรเงินสดค่อนข้างนาน เฉลี่ยประมาณ 300 วัน)
✳️ROA, ROE สวย เฉลี่ย 20%+ / NPM มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 10%+ / Current ratio สูง, Asset turnover ถือว่าโอเค / GPM ดี เฉลี่ยๆ 50% / เจ้าของและผู้บริหารถือหุ้นเยอะมากกว่า 50% / สภาพคล่องหุ้นถือว่าสูงประมาณ 47%
🚨แล้วคุณล่ะคิดว่า ‘SABINA’ เป็นบริษัทที่ดี น่าลงทุนหรือเปล่า? มีความเสี่ยงอะไรที่เรายังมองไม่เห็นและคาดไม่ถึงอีกบ้าง?
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา