13 มี.ค. เวลา 22:55 • ท่องเที่ยว

เหยียบเลยามค่ำคืน

ขอเกริ่นนำก่อนว่า 'อะไรเป็นเหตุที่ได้มานอนริมเลเฉกเช่นนี้' ซึ่งช่วงที่มาแข่งขันมันใกล้กับวันที่โรงเรียนมาเลี้ยงครูเกษียณที่ริมหาดระยองพอดีเป๊ะ จึงทำให้ครูพาเด็กชายในวัยสิบสองทั้งสองคนหยิบกระเป๋า เพื่อลงเรียนวิชาเปิดหู เปิดตา เปิดประสบการณ์ของชีวิต
แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง หากไม่มีงานเกษียณของคุณครูท่านนี้ พวกเราคงได้กลับไชยปราการไปแล้วเพราะก่อนที่จะเดินทาง ครูแคนเซิลงานไปเรียบร้อยแล้ว แต่ครูเกษียนท่านนั้นอยากจะให้มาร่วมงานในหนนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ได้ติดสอยห้อยตามไปเยี่ยมพระอภัยที่ชายทะเลเช่นนี้แล
กลับเข้าสู่ประเด็นหลักกันดีกว่า เมื่อข้าน้อยรอนแรมมาได้รังนอนที่ใกล้เลขนาดนี้แล้ว หากจะไม่ออกไปสูดอากาศข้างนอกเลยก็จะดูกระไรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจออกไปเดินริมชายหาดเพียงลำพังเพื่อสูดบรรยากาศที่ยังไม่เคยได้ดอมดม
ในยามคำคืนที่มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งคอยกล่อมให้จิตผ่อนคลาย ระหว่างนั้นก็ก้าวย่างบนฟุตบาต เพื่อขยับเขยื้อนร่างกายให้เข้าสู่หาดทรายและสายลมที่เริ่มพัดเข้าหาร่างกายตลอดเวลา
อีกชั่วครู่เมื่อเท้าสัมผัสกับหาดทราย ผมแอบมองแสงจันทร์ที่สว่างไสวซึ่งกำลังสาดส่องลงมายังผืนน้ำทะเลที่สะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับราวกับบรรยากาศอันแสนจะโรแมนติกในละครหลังข่าวของช่องสามอะไรประมาณนั้นเลยทีเดียวเชียว
แต่แล้วความเงียบสงบก็เริ่มทำให้มีความรู้สึกแปลกๆ คืบคลานเข้ามาในดวงใจเหมือนมีสายตาบางคู่จับจ้องอยู่ในเงามืดด้านหลัง แม้จะมองไปก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาของตัวเอง แต่สัญชาตญาณในดวงมานกระซิบข้างๆใบหูทั้งสองข้างว่า "เราต้องรีบกลับฐานทัพอย่างด่วนจี๋ ก่อนที่อะไรบางอย่างจะโผล่มาให้เราเห็น"
เมื่อกลับมาถึงปากทางเข้าที่พัก ท้องมันร่ำร้องอยากลิ้มลองอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงตัดสินใจแวะเข้าร้านค้าตรงหน้าโรงแรม ซื้อน้ำโซดาสิงห์รสเลมอนมากระป๋องหนึ่งเพื่อไปดื่มในห้องสุดหรูหรามาเห่าหอนจนกลอนประตูเลื่อนเปิดเองขนาดนั้นเลยเชียวหนาออเจ้าเอย
โฆษณา